Disney ใกล้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่มีรหัสเรียกว่า Keychest ซึ่งมันจะช่วยจัดการ "ความเป็นเจ้าของ" ของภาพยนตร์ที่ลูกค้าซื้อ
เทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบรับวิธีการดูหนังที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่ซื้อแผ่นดีวีดีมาดูกับทีวีที่บ้านเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันผู้ชมดูหนังผ่านอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ หรือเครื่องเล่นเกม มากขึ้น เทคโนโลยี Keychest ใช้แนวคิดว่าเมื่อเราจ่ายเงินซื้อหนัง เราย่อมเป็นเจ้าของ "สิทธิ์ในการดูหนัง" เรื่องนั้นๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของแผ่นดิสก์หรือสื่อทางกายภาพอีกต่อไป
เมื่อลูกค้าซื้อหนังผ่านร้านที่เข้าร่วมกับ Keychest จะได้รหัสมาหนึ่งชุด เมื่อรหัสชุดนี้ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Keychest ด้วยวิธีการต่างๆ (เช่น ถ้าเป็น Blu-ray เครื่องเล่นจะส่งรหัสให้อัตโนมัติ แต่ดีวีดีอาจต้องป้อนเองผ่านเว็บ) มันจะจำไว้ว่าเราเป็นเจ้าของหนังเรื่องนี้แล้ว และเตรียมไฟล์รอไว้ให้บนเซิร์ฟเวอร์ ในกรณีที่เราอยากดูหนังบนอุปกรณ์อื่นๆ เช่น มือถือ ก็เพียงแค่ดาวน์โหลดไฟล์มาจากเซิร์ฟเวอร์อีกรอบเท่านั้น
Disney ยังไม่บอกรายละเอียดอื่นๆ เช่น จำนวนครั้งในการเล่นหรือการส่งไฟล์ต่อให้คนอื่นว่ามี DRM หรือไม่ เทคโนโลยี Keychest เป็นคู่แข่งของเทคโนโลยี DECE ที่กำลังพัฒนาโดยโซนี่ ไมโครซอฟท์ อินเทล และมีค่ายหนังอย่าง Paramount กับ Warner เข้าร่วม มีความเป็นไปได้สูงว่าแอปเปิลน่าจะอยู่ฝั่ง Keychest ครับ เราอาจได้เห็น format war ภาคอินเทอร์เน็ตในเร็วๆ นี้
ที่มา - WSJ
Comments
ผมนึกถึง Keygen ขึ้นมาทันที...
+1 อิอิ Key ของหนัง
เย้ๆ จะได้ดูสงครามสองค่ายอีกแล้ว lolz
รอบนี้อนาถเลยนะครับ เพราะไปควบคุมสิทธิ์การใช้งาน แปลว่า ณ จุดสิ้นสุดของสงคราม ถ้าเราเลือกระบบ DRM ผิด DRM Server ของระบบที่เราเลือกอาจจะไม่อยู่ให้บริการอีกต่อไป
หมายความว่า เราซื้อมา ก็อาจจะมีปัญหาว่า เราอาจจะเปิดดูไม่ได้ในอนาคต!!!
ผมว่าจุดประสงค์ของเทคโนโลยีนี้คือการขยายสิทธิ์มากกว่าจำกัดสิทธิ์นะครับ (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด)
ดูจากตัวอย่าง หมายถึงว่าถ้าเราซื้อ Blu-ray หนังมาดู (ซึ่งก็เอาไปเปิดที่ไหนก็ได้ตามปกติ) เรายังได้สิทธิ์ในการเข้าถึงหนังเรื่องนั้นๆ ผ่านช่องทางอื่นๆ ตรงๆ ด้วย แทนที่จะต้องมานั่ง rip เอง encode เองให้วุ่นวาย (ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์) วิธีการนี้ก็จะเปิดช่องให้ผู้ใช้สามารถเปิดหนังดูด้วยช่องทางอื่นๆ ได้โดยไม่ต้องไปละเมิดลิขสิทธิ์อะไร ในขณะที่ทางผู้ผลิตก็ยังรักษาผลประโยชน์ที่ตัวเองต้องการไว้ได้ (ก็คือไม่ให้ copy ข้ามคน)
" เมื่อรหัสชุดนี้ถูกส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ของ Keychest ด้วยวิธีการต่างๆ"
หมายความว่า เมื่อจะดูหนัง บ้านนั้นๆต้องต่อ net ได้?
ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นล่ะครับ และจากข้อความ "เพียงแค่ดาวน์โหลดไฟล์มาจากเซิร์ฟเวอร์อีกรอบเท่านั้น" หมายถึงโหลดไฟล์หนังทั้งเรื่องมาเลยเหรอ หุหุ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ผมเข้าใจว่า "วิธีการ" จะเป็นอะไรก็ได้นะครับ อาจเป็นส่งไปรษณียบัตรที่แนบมากับกล่อง DVD ก็ได้เหมือนกัน ถึงช้าหน่อยแต่มันก็ถึง
ดูเหมือน dece จะมีภาษีดีกว่า
ต่อไป เราคงใช้แต่จออย่างเดียว
ไม่ว่าจะ ดูหนัง, ฟังเพลง, เล่นเกม, ทำงาน, เรียน
เพราะจะทำงานที่ servers ทั้งหมด
ไม่ครับ ผมขอ DVD-recorder อีกเครื่องนึง ^^"
เอาไว้ดูดอัดไอ่พวก DRM เนี่ยแหละเก็บไว้
ผมว่าถ้ามีก็แค่ Account ไว้ login ดูที่ไหนกับเครื่องอะไรก็ได้ที่มีจอ
แล้ว Account นั้นอาจเป็น ม่านตา หรือลายนิ้วมือก็ได้ ในอนาคต
อ่าฮะ เข้าใจฮะผม ^^" ผมก็เห็นด้วยเลยนะว่าต่อไปนี้อะไรๆ คงเอาไปเก็บใน server หมด เวลาดูก็ไปดูดจาก server มาใช้
แต่พฤติกรรมผมชอบอะไรที่เก็บไว้กับตัวไว้อย่างถาวรมากกว่า (แม้แต่ Video DVD ลิขสิทธิ์ที่กันก๊อปปี้ไว้ ก็มิวายพยายามดูดเก็บ หรือแม้แต่ youtube ถ้าชอบอันไหนก็ใช้ downloadhelper เอา) ถ้าซักวันมันถึงยุคที่เวลาซื้ออะไรแล้วต้องดูแบบ Streaming หมดนี่ (หรือติด DRM) ผมขอ DVD recorder ซักเครื่องไว้ดูดเก็บดีกว่า :P
ว่าแต่เรื่อง Keychest นี่ดีนะครับ ผมว่าเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ามากขึ้นอีก เพราะถ้าอย่างมีคนซื้อ DVD ที่ไม่ให้ rip มาเนี่ย ถ้าเค้าอยากจะเอามาดูใน ipod มันก็ยากแน่ มีอย่างนี้ก็คงอำนวยความสะดวกขึ้นเยอะ
ถึงแม้ว่าอันไหนจะชนะ คนเสียตังก็คือเราอยู่ดี
ผมมองว่าเรื่องนี้น่าจะทำให้เราเสียตังค์น้อยลงนะครับ ถ้าเราซื้อซีดีเพลงมาฟังในคอมแล้ว แล้วก็โหลดเข้ามือถือได้โดยตรงเลยแบบไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม ก็น่าจะดีนี่ครับ? ไม่ต้องยุ่งยาก rip เพลงหรือส่งไฟล์อะไรด้วย
อยากดูฟรี?
per person ไม่ใช่ per copy ใช่ไหมครับ
แนวคิดนี้ ถ้านำไปใช้กับ software/os จะเกิดอะไรขึ้น
ถ้าผมจ่ายเงินค่า windows ไปแล้ว ผมสามารถใช้ windows เครื่องไหนๆ ในโลกนี้ก็ได้?
ไม่ว่าในบ้านจะมี pc กี่เครื่อง ผมจ่ายครั้งเดียว copy ใส่เครื่องอื่นได้หมด
แต่วันใดผมมีลูก ต้องซื้อสิทธิการใช้งานให้ลูกด้วย?
หรือตายไป ต้องทำพินัยกรรม ยก windows ให้ลูกไหม?
เข้าท่า แต่ถ้า windows มันอัพเกรดเวอร์ชั่นล่ะ จะทำยังไง
คงไม่ได้ใช้เวอร์ชั่นเดิมๆไปตลอดใช่ใหม
เหมือนเราซื้อ windows xp มาใช้ เราก็ยังคงเสียเงินซื้อ windows 7 ใหม่อยู่ดี
ถ้าเอาจริงๆ ผมว่ามันเทียบกันไม่ค่อยได้นะ อย่างทุกวันนี้ ไลเซนส์ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์มันก็ออกแนว per machine อยู่แล้ว เวลาเราซื้อมันก็บอกว่าเราใช้ได้กี่เครื่อง
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เป็นสินค้าที่ยึดไปกับอุปกรณ์มากกว่า อย่างนี้เกิดเป็นสำนักงาน มีคอม สิบเครื่อง มีคนร้อยคน จะต้องซื้อไลเซนส์สำหรับคนร้อยคนแทน?
ไอเดียดีอะชอบ ทำให้นึกถึงกล่องเก็บรูป
ชอบนะ จริง ๆ มันแฟร์กว่าเดิมด้วย
ซื้อทีเดียวก็ควรจะได้ทุกฟอร์แมท ถูกต้องแล้ว
ผมชอบไอเดียนี้นะ ... มันเป็นการขยายสิทธิ์มากกว่าจริงๆด้วย
การที่เราซื้อ หนัง หรือ เพลง มา เราซื้อมาเพื่อดูเพื่อฟัง อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้น Media น่าจะเป็นแค่สิ่งที่ใช้ในการกระจายสิทธิ์มากกว่า
อย่างซื้อ CD เพลงมา จำกัดไหมว่าเพลงนั้นๆเราจะต้องฟังจาก CD เท่านั้น?
ถ้าอย่างนั้นการที่เราแปลงเพลงจาก CD มาลงในเครื่องเล่น MP3 หรือ Computer
ก็เป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย? ผมมองว่ามันไม่แฟร์เท่่าไหร่
เพราะการที่เราซื้อ Media มาเป็นการซื้อสิทธิ์ในการเข้าถึง ข้อมูล(ในที่นี้คือ หนัง/เพลง) ได้อย่างอิสระ
+1 ครับ