The Walt Disney Company
ดิสนีย์กำลังนำระบบไอทีมาใช้แก้ปัญหา "คิวยาว" ในดิสนีย์แลนด์ทุกแห่ง ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนเครื่องเล่นเฉลี่ยที่ลูกค้าได้เล่นใน 1 วัน จากเดิม 9 เครื่องมาเป็น 10 เครื่อง
ดิสนีย์ตั้งศูนย์ Disney Operational Command Center อยู่ชั้นใต้ดินของดิสนีย์แลนด์ ใช้กล้องตรวจสอบความยาวของคิวเครื่องเล่นแต่ละแห่ง ถ้าคิวยาวเกินพิกัดก็จะส่งสัญญาณบอกให้ผู้จัดการเครื่องเล่นนั้นให้เพิ่มจำนวนรอบให้ถี่ขึ้น และอาจส่งตัวละครของดิสนีย์ไปเดินใกล้กับคิวเพื่อสร้างความบันเทิงแก่คนที่รอคิวอยู่
ในทางกลับกัน ถ้าเครื่องเล่นโซนใดโซนหนึ่งคนน้อย ดิสนีย์จะจัดขบวนพาเหรดขนาดเล็กไปยังบริเวณนั้น เพื่อดึงให้คนกระจายไปเล่นเครื่องเล่นในแถบนั้นแทน
แม้ว่าแอปเปิลจะยังไม่ประสบความสำเร็จกับ iAd มากนัก แต่แนวทางโฆษณามัลติมีเดียเต็มรูปแบบของ iAd ก็น่าสนใจ และล่าสุด iAd ชิ้นแรกบน iPad จะถูกปล่อยออกมาแล้ว
เจ้าของโฆษณาชิ้นนี้คือดิสนีย์ ซึ่งต้องการโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง Tron: Legacy ที่จะเข้าโรงเร็วๆ นี้ โฆษณาชิ้นนี้จะมีทั้งภาพยนตร์ตัวอย่างยาว 10 นาที, ภาพจากภาพยนตร์, โปรแกรมช่วยหาโรงใกล้บ้านพร้อมรอบฉาย, ตัวอย่างเพลงประกอบภาพยนตร์พร้อมลิงก์เพื่อซื้อเพลงจาก iTunes Store
ในอนาคตโฆษณา iAd บน iPad จะใช้ฟอร์แมตลักษณะนี้ และเริ่มขยายไปยังผลิตภัณฑ์อื่นๆ ช่วงต้นปีหน้า
ที่มา - AdAge
คนส่วนมากอาจรู้จัก Disney ในฐานะผู้ผลิตการ์ตูนและภาพยนตร์ แต่เอาจริงแล้ว Disney เป็นเครือสื่อขนาดยักษ์ของโลก เป็นเจ้าของสถานีทีวีรายใหญ่อย่าง ABC และ ESPN รวมถึงล่าสุดเพิ่งเข้าซื้อบริษัทการ์ตูน Marvel อีกด้วย
ในงานสัมมนา Appnation ผู้บริหารของดิสนีย์ซึ่งดูแลสถานี ABC ได้กล่าวกับผู้ร่วมสัมมนาว่า ดิสนีย์ไม่สนใจพัฒนาแอพพลิเคชันด้วย HTML5 ด้วยเหตุผลสองประการคือ มีพื้นที่แสดงโฆษณาน้อย และ HTML5 ไม่มีมาตรการป้องกันลิขสิทธิ์ของเนื้อหาที่ดีพอ ดังนั้นแนวทางของดิสนีย์บนมือถือจะเน้นการสร้างแอพพลิเคชันเฉพาะของตัวเองแทน เนื่องจากควบคุมได้มากกว่า
ที่มา - Business Insider
เมื่อเดือนเมษายน Twitter เปิดเผยแพลตฟอร์มโฆษณาของตัวเอง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Promoted Tweets”
ตอนนี้มันถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการแล้ว (ดูได้จากหน้าบัญชี Twitter ของทุกท่าน) โดยมันจะถูกแสดง 2 จุดคือ
ลูกค้ารายแรกของ Twitter คือ Disney/Pixar กับภาพยนตร์ Toy Story 3
ที่มา - TechCrunch
ข่าวนี้ต่อเนื่องจาก Disney กำลังพัฒนาเทคโนโลยีการเป็นเจ้าของหนังแบบใหม่ ย้อนกลับไปอ่านกันเองนะครับ
สรุปว่าระบบจัดการสิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพยนตร์ของดิสนีย์ ที่มีชื่อเรียกว่า KeyChest ไม่มีความเกี่ยวข้องกับ DRM ของไฟล์ภาพยนตร์ แต่เป็นระบบฐานข้อมูลการซื้อภาพยนตร์ของลูกค้า ซึ่งอนุญาตให้บริการขายหนังออนไลน์ต่างๆ (เช่น iTunes, Comcast, Netflix, etc.) เข้ามาเรียกข้อมูลได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าผมซื้อหนังจาก iTunes ซึ่งต่อกับ KeyChest แล้ว ผมสามารถดูหนังเรื่องเดียวกันบน Comcast ได้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
เรียบง่ายกว่าที่คิด ที่เหลือขึ้นกับว่าดิสนีย์จะหาพรรคพวกเข้าร่วมวงได้มากน้อยแค่ไหน
Disney ใกล้เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ที่มีรหัสเรียกว่า Keychest ซึ่งมันจะช่วยจัดการ "ความเป็นเจ้าของ" ของภาพยนตร์ที่ลูกค้าซื้อ
เทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นเพื่อตอบรับวิธีการดูหนังที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่ซื้อแผ่นดีวีดีมาดูกับทีวีที่บ้านเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันผู้ชมดูหนังผ่านอุปกรณ์ชนิดอื่นๆ เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ หรือเครื่องเล่นเกม มากขึ้น เทคโนโลยี Keychest ใช้แนวคิดว่าเมื่อเราจ่ายเงินซื้อหนัง เราย่อมเป็นเจ้าของ "สิทธิ์ในการดูหนัง" เรื่องนั้นๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของแผ่นดิสก์หรือสื่อทางกายภาพอีกต่อไป
ดิสนีย์เตรียมปรับกลยุทธ์ด้านร้านขายปลีกของตัวเองใหม่หมด โดยจะเปลี่ยนรูปแบบของร้านขายของเล่นแบบเดิม ให้มีพื้นที่โชว์สินค้าและทำกิจกรรมสำหรับเด็กๆ แบบเดียวกับ Apple Retail Store ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ใช่ใครอื่น สตีฟ จ็อบส์นั่นเองครับ
ร้าน Disney Stores ประมาณ 340 แห่งทั้งในสหรัฐและยุโรปจะทยอยเปลี่ยนชื่อเป็น Imagination Park ในอีก 5 ปีข้างหน้า Jim Fielding ประธานฝ่ายร้านขายปลีกของดิสนีย์ให้สัมภาษณ์ว่าของเล่นและสินค้าของดิสนีย์มีขายตามร้านขายของเล่นทั่วไปอยู่แล้ว ร้านของดิสนีย์เองไม่จำเป็นต้องเน้นการขายเป็นหลักอีกต่อไป แต่ควรขาย "ประสบการณ์ของดิสนีย์" มากกว่า
ดิสนีย์สาขาญี่ปุ่นเตรียมขายภาพยนตร์ที่บรรจุใน microSD เดือนพฤศจิกายนนี้ โดยจะขายรวมเป็นแพ็กเกจเดียวกับดีวีดี (ซื้อหนึ่งกล่องได้สองอย่าง) ราคาทั้งชุดอยู่ที่ 4,935 เยน (1,800 บาท) ซึ่งแพงกว่าแบบดีวีดีอย่างเดียว 1,000 เยน
กลุ่มเป้าหมายของตลาดภาพยนตร์ microSD คือผู้ใช้มือถือ, เครื่องเล่นมัลติมีเดียพกพา และกลุ่มดูหนังในรถ หนังสองเรื่องแรกที่จะลง microSD คือชุด Pirates of the Caribbean และ National Treasure ส่วน microSD ใช้ของ Panasonic ยังไม่มีแผนการใดๆ สำหรับประเทศอื่นนอกจากญี่ปุ่น
ที่มา - Yahoo! News, Hot Hardware
ดิสนีย์ (Disney) ยักษ์ใหญ่แห่งวงการภาพยนตร์และสวนสนุก ประกาศออกมาวันนี้ว่าจะเป็นผู้บริการโทรศัพท์มือถือในประเทศญี่ปุ่นในปีหน้า โดยจะจับมือกับบริษัทซอต์แบงก์ (Softbank) ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่นที่ให้บริการอยู่แล้ว โดยทางดิสนีย์ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีผู้ใช้บริการมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งยังคงต้องแข่งกับบริษัท NTT DoCoMo และ KDDI ซึ่งเป็นสองบริษัทใหญ่ที่ให้บริการเครือข่ายอยู่แล้ว
นักวิเคราะห์ยังคงกล่าวว่าการลงทุนในครั้งนี้ ดิสนีย์อาจต้องใช้เงินกว่า 1,000,000,000,000 เยน (ตกประมาณ 33,000,000,000 บาท)
ที่มา: ซีเอ็นเอ็น