แอปเรียกรถโดยสารอย่าง Uber และ Grab (โดยเฉพาะ GrabCar) สร้างความไม่พอใจกับผู้ขับขี่รถโดยสารเดิมไปทั่วโลก ล่าสุดอินโดนีเซียพยายามหาจุดร่วมระหว่างสองกลุ่มด้วยการเปิดทางให้รัฐบาลท้องถิ่นควบคุมราคาและปริมาณรถของแอปเหล่านี้ หลังจากออกกฎควบคุมแล้วแต่คนขับแท็กซี่ยังแสดงความไม่พอใจอยู่
กฎหมายใหม่เปิดทางให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถกำหนดราคาขั้นต่ำและสูงของแอปเรียกรถ พร้อมกับจำกัดปริมาณรถได้ด้วย สำหรับเหตุผลการออกกฎครั้งนี้ ทางขนส่งอินโดนีเซียยอมรับตรงๆ ว่าเป็นการหาจุดร่วมระหว่างคนขับรถโดยสารเดิมกับกลุ่มใหม่ที่ให้บริการผ่านแอป
Jeff Jones ผู้บริหารระดับสูงของ Uber ตำแหน่งประธานบริษัท (president ซึ่งในระบบอเมริกาจะเป็นเบอร์สองรองจากซีอีโอ) ประกาศลาออกแล้ว หลังเข้ามาทำงานได้เพียง 6 เดือน
Jones ให้เหตุผลว่าแนวทางการทำงานของ Uber ไม่ตรงกับแนวทางของเขา จึงไม่สามารถนั่งทำงานในตำแหน่งนี้ต่อไปได้ ส่วนซีอีโอ Travis Kalanick ส่งโน้ตภายในถึงพนักงานว่า Jeff ไม่เห็นอนาคตของเขาที่ Uber ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับบริษัท
The Verge รายงานข้อมูลโดยอ้างอิงจากจดหมายภายในของ Spotify ที่ถูกเขียนโดย Gustav Söderström หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของ Spotify และ Uber
Spotify นั้นเปิดให้ผู้ใช้ฟังเพลงแบบสตรีมมิ่งบนรถ Uber ตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งตอนนี้ทางบริษัทกำลังคิดจะยกเลิกการให้ Uber เข้าถึง API แล้ว โดยในจดหมายให้เหตุผลว่าการร่วมงานกับ Uber ไม่ใช่การตัดสินใจที่ทำให้บริษัทเดินไปข้างหน้า แต่การตัดสินใจยกเลิกการสนับสนุน API ทันทีก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนักสำหรับผู้ใช้ ซึ่งทางบริษัทจะลองเปลี่ยนพฤติกรรมโดยแสดงให้เห็นว่าเรากำลังเชื่อมั่นในเรื่องใด
ทั้งนี้ทาง Uber และ Spotify ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกับข่าวนี้
สิงคโปร์เดินหน้ากระบวนการนำ Uber และ GrabCar เข้ามาในระบบการควบคุม ด้วยการเปิดลงทะเบียนคนขับแท็กซี่แบบไม่เต็มเวลา (Private Hire Car Driver Vocational License - PDVL) ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ผ่านมาเพียงสองวันทางขนส่งทางบกสิงคโปร์ก็ออกมาแถลงว่ามีคนลงทะเบียนแล้วประมาณ 5,000 คน
ทางขนส่งทางบกสิงคโปร์ให้โอกาสลงทะเบียน PDVL ก่อนบังคับว่าคนขับรถรับจ้างเหล่านี้ต้องลงทะเบียนและตรวจสุขภาพ ภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ สิทธิประโยชน์ของคนลงทะเบียนล่วงหน้าคือทางขนส่งทางบกจะยืดระยะเวลาสอบใบขับขี่สาธารณะไปให้อีก 1 ปีจนถึง 30 มิถุนายน 2018 โดยระหว่างนี้ยังขับรถได้ไปพลาง
สงครามรถยนต์ไร้คนขับเริ่มต้นแล้ว หลัง Waymo ยื่นฟ้องอดีตพนักงานและผู้ร่วมก่อตั้ง Otto เหตุแอบขโมยไฟล์ลับสุดยอดก่อนลาออก เนื่องจากทั้งสองบริษัทต่างมีสังกัดคือ Waymo อยู่ภายใต้ Alphabet ส่วน Otto ถูก Uber ซื้อกิจการไป มันเลยกลายเป็นศึกระหว่าง Alphabet vs Uber ไปโดยปริยาย
ล่าสุด Waymo ยื่นคำขอให้ศาลสั่งคุ้มครอง ห้ามไม่ให้รถยนต์ไร้คนขับของ Uber ลงสู่ถนนชั่วคราว (Uber มีรถไร้คนขับประมาณ 30 คัน) เพื่อคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของ Waymo
ตามข้อมูลจากทนายของ Waymo ระบุว่าผู้ก่อตั้ง Otto ซึ่งตอนนั้นเป็นพนักงานของกูเกิล ดาวน์โหลดข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับกว่า 14,000 ไฟล์ ขนาดรวม 9.7GB เพื่อไปใช้งานในบริษัทใหม่ที่เขามีแผนจะก่อตั้งขึ้น
อาชีพการขับรถ Uber กำลังเป็นอาชีพแขนงหนึ่งที่กำลังมาแรง มีคำศัพท์เรียกอาชีพลักษณะนี้ว่า Gig Economy ซึ่งหมายถึงอาชีพแบบพาร์ทไทม์ที่ไม่ต้องทำงานประจำเหมือนในอดีต
แม้ว่า Gig Economy มีจุดเด่นที่ทำงานเวลาไหนก็ได้ที่ต้องการ และถูกโฆษณาว่า "มีโอกาสสร้างรายได้" มากกว่างานแบบดั้งเดิม แต่ชีวิตจริงของผู้ประกอบอาชีพ Gig Economy ก็ไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น และผู้ขับ Uber อาจต้องทำงานอย่างหนักกว่าเดิม เพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับการดำรงชีพของตัวเอง
ประเด็นการให้บริการ Uber ในเชียงใหม่กลายเป็นชนวนให้เจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกลงมือปราบปรามการใช้รถยนต์ผิดประเภทอย่างหนัก เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาส่งเจ้าหน้าที่ไปล่อซื้อเพื่อจับปรับ เมื่อวานนี้ก็มีอีกกรณีคือ คุญปริญญา ชาวสุพรรณบุรี ได้รับจดหมายแจ้งจากขนส่งเชียงใหม่ว่าเขาใช้รถยนต์ผิดประเภท โดยใช้ภาพการรับชายต่างชาติสองคนขึ้นรถเป็นหลักฐาน
คุณปริญญายืนยันว่าการรับคนครั้งนั้นเป็นการรับเพื่อนที่นัดกันไปพบในเชียงใหม่
ทางขนส่งเชียงใหม่ระบุกับคุณปริญญาว่ามีคนส่งภาพมาร้องเรียนจึงส่งหนังสือเปรียบเทียบ 2,000 บาท หากยืนยันว่าบริสุทธิ์ ก็ต้องเดินทางไปให้ปากคำที่ขนส่งเชียงใหม่ในเวลาราชการอยู่ดี
ท่ามกลางกระแสข่าวของความขัดแย้งระหว่างภาครัฐและผู้ให้บริการเรียกรถอย่าง Uber จนเกิดความเข้าใจผิดว่าแอพเรียกแท็กซี่อย่าง Grab Taxi, All Thai Taxi นั้นเข้าข่ายผิดกฎหมายไปด้วย ล่าสุดกรมการขนส่งออกายืนยันอีกครั้งแล้วว่าแอพที่ผิดกฎหมายนั้นคือกลุ่ม Uber, Grab Car ที่เรียกรถป้ายดำมาให้บริการ ไม่ใช่แอพเรียกแท็กซี่ข้างต้น
กรมการขนส่งระบุเหตุผลว่า เนื่องจากเป็นการใช้รถยนต์ผิดประเภทจากที่จดทะเบียนไว้, ไม่ใช้มาตรค่าโดยสารตามที่กฎหมายกำหนด, ผู้ขับรถไม่มีใบอนุญาตขับรถสาธารณะ, ไม่เคยผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม และคนขับไม่ได้เข้าสู่ระบบทะเบียนของศูนย์ข้อมูลประวัติผู้ขับรถสาธารณะของกรมการขนส่งทางบก ซึ่งหากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ประชาชนจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย
1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา Uber ประเทศไทยได้เผชิญกับปัญหาด้านกฎหมายอีกครั้ง ไล่ตั้งแต่การโดนล่อซื้อในเชียงใหม่ มาจนถึงในกรุงเทพเอง และกรณีที่กรมการขนส่งระบุว่าอาจใช้ ม.44 สั่งปิดแอพ
และด้วยกระแสในบ้านเราที่สนับสนุน Uber เสียส่วนใหญ่ อาจมีส่วนให้ Uber ตัดสินใจเปิดหน้าเว็บเชิญชวนให้ประชาชนมาลงชื่อ เรียกร้องและสนับให้รัฐบาลรองรับบริการ Ride-Sharing ในลักษณะนี้
จากข่าว Uber ใช้ Greyball เครื่องมือเพื่อปล่อยรถปลอมให้ตำรวจที่มาล่อใช้บริการ จนเป็นประเด็นให้ Uber ถูกวิจารณ์อย่างหนักในแง่เลี่ยงการตรวจสอบจากภาครัฐ
วันนี้ Joe Sullivan ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายความปลอดภัย (Chief Security Officer) ของบริษัทออกมาอธิบายผ่านบล็อกว่าเครื่องมือสร้างรถปลอม Greyball มีจุดประสงค์ใช้งานหลายอย่าง เช่น ให้พนักงานทดสอบฟีเจอร์ใหม่ๆ, ทำโปรโมชั่น, ป้องกันปัญหา fraud รวมไปถึงป้องกันไม่ให้ลูกค้าใช้งานแอพอย่าง "ผิดเงื่อนไขบริการ"
ชาติในอาเซียนที่สนับสนุนแอปเรียกรถรับจ้างที่ใช้รถส่วนบุคคลมาให้บริการ นอกจากสิงคโปร์แล้ว มาเลเซียก็เป็นอีกชาติหนึ่งที่มีท่าทีต่อแอปเหล่านี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปี 2016 ที่ผ่านมา หลังจากที่ช่วงปี 2015 ขนส่งทางบกมาเลเซีย (Suruhanjaya Pengangkutan Awam Darat - SPAD) ไล่กวาดล้างทั้ง Uber และ GrabCar อย่างแข็งขัน การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2016 กลับเปลี่ยนท่าทีเป็นการหาทางอยู่ร่วมกันระหว่าง Uber, Grab และแท็กซี่ดั้งเดิม
ลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ แสดงท่าทีแบบเดียวกันหลังมติคณะรัฐมนตรีของมาเลเซียประมาณสิบวัน (พูดวันที่ 22 สิงหาคม 2016)
Coalition of Taxi Companies and Associations กลุ่มพันธมิตรสหกรณ์แท็กซี่ในมาเลเซียประกาศลงนามความร่วมมือกับ Uber ในวันนี้แต่ต้องเลื่อนการลงนามออกไปหลังมีคนขับแท็กซี่กว่า 100 คนมาชุมนุมประท้วงหน้าคลับที่เป็นสถานที่ลงนาม
ข้อตกลงระหว่างกลุ่มพันธมิตรสหกรณ์แท็กซี่กับ Uber จะเปิดให้คนขับแท็กซี่ 500 คนเพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้คนขับเหล่านี้
Shamsubahrin Ismail ผู้ก่อตั้งสหกรณ์แท็กซี่ Big Blue Taxi Services ที่เป็นผู้สนับสนุนความตกลงครั้งนี้ระบุว่าข้อตกลงจะช่วยให้แท็กซี่กับ Uber อยู่ร่วมกันได้ โดยตัว Shamsubahrin เคยลงทุนถึง 700,000 ริงกิต (5,600,000 บาท) เพื่อสร้างแอปเรียกรถแท็กซี่ของตัวเองแต่ล้มเหลว
Travis Kalanick ซีอีโอ Uber ได้โพสต์ข้อความวันนี้ ระบุว่าเขากำลังมองหาซีโอโอเพื่อมาทำงานร่วมกับเขา และเขียนบทใหม่ของการเดินทางต่อไป
ช่วงที่ผ่านมา Uber ประสบกับข่าว แง่ ลบ หลาย ข่าว (ไม่เกี่ยวกับในไทยนะครับ) ทำให้ซีอีโอ Travis จำเป็นต้องมีผู้บริหารมืออาชีพมาช่วยจัดการเรื่องราวต่างๆ
Recode อ้างแหล่งข่าวระบุว่าบอร์ดบริหาร Uber ต้องการให้ซีโอโอคนนี้เป็นผู้หญิง ซึ่งน่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ดีเหมือนกับที่ Facebook เลือก Sheryl Sandberg เข้ามาเมื่อปี 2008 และทำให้ Facebook ผ่านช่วงยากลำบากไปได้
วันนี้มีข่าวว่ากรมการขนส่งทางบกอาจจะใช้คำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อปิดบริการ Uber หากมีการใช้งานจริงก็น่าจะเป็น "ยาแรง" ที่สุดเท่าที่เคยมีมา หลังจากก่อนหน้านี้ไต้หวันเพิ่มค่าปรับการใช้รถรับผู้โดยสารโดยไม่ได้รับอนุญาตจน Uber ยอมถอยออกจากไต้หวันไป
แต่มุมมองของ ลี เซียน ลุง นั้นต่างออกไป เขาพูดถึงมุมมองต่อเรื่องนี้ในงาน National Day Rally เมื่อเดือนสิงหาคม 2016 ที่ผ่านมา
ไม่เพียงแต่ปัญหาภายในประเทศไทย Uber ก็กำลังมีปัญหาเชิงวัฒนธรรมองค์กรในสหรัฐ ไล่มาตั้งแต่ประเด็น #DeleteUber เพราะสนับสนุน Trump ตามมาด้วยปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในองค์กร และล่าสุดประเด็นเรื่องซีอีโอโต้เถียงกับคนขับ
อย่างไรก็ตามปัญหาที่ยังคงคาราคาซังและเป็นกระแสโจมตีในสหรัฐอยู่ คือเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ เนื่องจากหลังการเปิดเผยของอดีตวิศวกรซอฟต์แวร์หญิงในครั้งนั้น ยังมีอดีตพนักงานหญิงออกมาแฉกระล่วงละเมิดทางเพศ และวัฒนธรรมองค์กรที่เน่าเฟะของ Uber อีกถึง 2 ราย
ถัดจากการล่อจับในเชียงใหม่เมื่อสัปดาห์ทีแล้ว เมื่อวานก็มีข่าวว่ากรมการขนส่งได้ล่อจับ Uber ไปได้ถึง 18 คัน ซึ่งล่าสุดนายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบกเผยว่ากรมอาจจะใช้ ม.44 เป็นยาแรงสั่งปิด Uber จากการที่แอพลักษณะนี้ทำลายระบบขนส่งสาธาณะ
รองอธิบดีกรมการขนส่งระบุว่าว่าต้องสร้างความเข้าใจให้กับคนไทยว่าบริการเช่น Uber นั้นผิดกฎหมาย และหากเกิดอุบัติเหตุขึ้น ประชาชนจะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมาย รวมถึงเรียกร้องให้กลุ่มผู้ให้บริการแท็กซี่ปรับปรุงการให้บริการ เพื่อกระตุ้นให้คนใช้บริการมากขึ้น
ที่มา - The Nation
หลังจากที่เปิดบริการในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่แล้ว แม้จะต้องเจออุปสรรคฯ จากการบังคับใช้กฎหมายอย่างหนักมาโดยตลอด (1, 2) จนต้องออกเครื่องมือตอบโต้
ล่าสุด Uber ประกาศเปิดให้บริการเฉพาะ UberX ในพื้นที่ชลบุรีและบางแสนรวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงแล้ว โดยคิดอัตราการให้บริการดังนี้
เราเห็นข่าวเรื่องการติดตามข้อมูลส่วนบุคคลและที่ตั้งของ Uber มาเนืองๆ ขณะเดียวกันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีข่าวว่ากรมขนส่งของเชียงใหม่ ล่อซื้อ Uber ไปเพื่อปรับฐานให้บริการผิดกฎหมาย ซึ่งดูเหมือนในต่างประเทศการล่อจับ Uber ในลักษณะนี้มีมาซักระยะแล้วเช่นกัน และ Uber เองก็มีมาตรการป้องกันและรับมืออยู่แล้วด้วย จากการติดตามข้อมูลและที่ตั้งนี้เอง
ข้อมูลนี้ถูกเปิดเผยโดยอดีตพนักงาน Uber กับทาง The New York Times ซึ่งระบุว่า Uber มีโปรแกรมลับที่เรียกว่า Violation of Terms of Service (VTOS) สำหรับจัดการผู้ใช้ที่บริการของตนเองอย่างผิดที่ผิดทาง โดยหนึ่งในเครื่องมือของโปรแกรม VTOS มีชื่อเรียกว่า Greyball เพื่อหลอกเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามจะล่อซื้อ Uber
Ed Baker ผุ้บริหารระดับสูงของ Uber ที่ดูแลงานด้านผลิตภัณฑ์ ลาออกบริษัทหลังทำงานมานาน 3 ปี
ข่าวนี้อาจดูเป็นข่าวการลาออกธรรมดา แต่ช่วงเวลาที่สอดคล้องกับข่าวอดีตพนักงานหญิงออกมาแฉปัญหาล่วงละเมิดทางเพศ ส่งผลให้เกิดการคาดเดากันไปหลายอย่าง
เว็บไซต์ Recode อ้างว่าได้ข้อมูลจากคนในบริษัทว่า Baker มีความสัมพันธ์กับพนักงานอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ยืนยันว่านี่เป็นการล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่
จะเรียกว่าเคราะห์ซ้ำกรรมซัดก็คงพอได้ เพราะช่วงนี้ Uber มีแต่เรื่องอื้อฉาว ทั้งแคมเปญประท้วง #DeleteUber จากกรณี Donald Trump และปัญหาวัฒนธรรมการเหยียดเพศในองค์กร ส่งผลให้ชื่อเสียงของบริษัทติดลบอย่างหนัก
แต่เท่านั้นยังไม่พอ ล่าสุดมีคลิป Travis Kalanick ซีอีโอของบริษัทขณะนั่งรถ Uber หลุดออกมา คลิปนี้เกิดขึ้นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ โดย Kalanick ขึ้นรถมาพร้อมกับผู้หญิงสองคน เมื่อคนขับรถทราบว่าเขาเป็นซีอีโอของ Uber จึงชวนคุยเรื่องสถานะของบริการ UberBlack และวิจารณ์ว่าปัจจุบันความต้องการเรียกรถระดับ Black ลดลง ส่งผลให้รายได้ของเขาลดลงตามไปด้วย ในขณะที่รถระดับ Black มีต้นทุนสูงกว่ามาก
แคมเปญ #DeleteUber นั้นเกิดขึ้นมาสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน ครั้งแรกเพื่อประท้วงซีอีโอบริษัทไปเป็นที่ปรึกษาให้ Donald Trump และครั้งที่สองเพื่อประท้วงการปฏิบัติต่อพนักงานหญิงอย่างไม่เท่าเทียม
ตอนนี้ Uber ก็น่าจะเริ่มร้อน ๆ หนาว ๆ ทำให้ทางบริษัทเริ่มมีปฏิกิริยากับแคมเปญนี้บ้างแล้ว โดยในขณะที่กำลังจะลบบัญชี Uber ก็จะแสดงข้อมูลอัตโนมัติเกี่ยวกับเรื่องของ Susan Fowler ซึ่งกล่าวว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งมีเนื้อความในลักษณะว่า Uber ไม่ได้นิ่งนอนใจและกำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่
Waymo บริษัทลูกในเครือ Alphabet ที่พัฒนารถยนต์ไร้คนขับได้ยื่นฟ้อง Anthony Levandowski อดีตพนักงานที่เคยทำงานสมัยยังเป็น Google X ก่อนจะลาออกมาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมจัดตั้งบริษัท Otto พัฒนารถยนต์ไร้คนขับเช่นกัน (และถูก Uber ซื้อ) ในฐานแอบขโมยไฟล์ลับสุดยอดไปกว่า 14,000 ไฟล์ ซึ่งรวมถึงดีไซน์บอร์ดเซ็นเซอร์ LIDAR ที่ Waymo ออกแบบเอง ซึ่งเป็นทั้งสิทธิบัตรและความลับทางการค้า
ความลับของการขโมยไฟล์ครั้งนี้ Waymo จะไม่มีทางรู้เลย หากหนึ่งในซัพพลายเออร์เซ็นเซอร์ LIDAR ไม่ส่งอีเมลที่แนบไฟล์ "Otto Files" ผิดไปหาหนึ่งในพนักงานของ Waymo ซึ่งไฟล์นั้นเป็นภาพวาดของบอร์ดเซ็นเซอร์ LIDAR ที่เหมือนกับของ Waymo ทำให้บริษัทแทบจะได้ข้อสรุปว่า Levandowski แอบดาวน์โหลดไฟล์ไปก่อนลาออก
หลังจากในช่วงปลายปีที่แล้ว Uber ย้ายการทดสอบรถไร้คนขับจากแคลิฟอร์เนียไปแอริโซนา ล่าสุดหลังได้รับอนุญาตจากรัฐบาลท้องถิ่น Uber ได้เริ่มทดลองให้บริการกับประชาชนทั่วไปแล้วในเมือง Tempe ของแอริโซนา
ตลอดระยะเวลาการทดสอบนี้จะมีวิศวกรนั่งอยู่ด้านหน้าด้วย 2 คน โดยผู้ใช้ในเมือง Tempe มีสิทธิจะได้นั่งรถไร้คนขับเฉพาะเมื่อเรียกใช้บริการ UberX เท่านั้น
ที่มา - The Next Web
ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก Uber ต้องพบกับแคมเปญ #DeleteUber เพื่อต่อต้านท่าทีของผู้บริหารบริษัท Travis Kalanick ที่ไปสนับสนุน Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งทำให้สุดท้ายเขาต้องลาออกเพราะทานกระแสไม่ไหว
Susan J. Fowler อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์หญิงของ Uber (ปัจจุบันอยู่กับ Stripe) เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์ช่วงที่เธอทำงานอยู่กับ Uber ราว 1 ปี ว่าประสบปัญหาโดนเจ้านายล่วงละเมิดทางเพศด้วยวาจา (ขอมีเซ็กซ์ด้วย) แต่เมื่อร้องเรียนไปยังฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) และผู้บริหารหลายคนกลับไม่เป็นผล สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมองค์กรของ Uber ที่ปฏิบัติกับเพศหญิงอย่างไม่เท่าเทียมกัน
Fowler เล่าว่าเธอพูดคุยกับพนักงานหญิงคนอื่นๆ ใน Uber ที่ได้รับข้อความละเมิดทางเพศแบบเดียวกันจากผู้บริหารคนเดียวกัน และรวมตัวกันคุยกับฝ่าย HR แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น นอกจากเรื่องนี้แล้ว ตัวเธอเองยังถูกกลั่นแกล้งอีกหลายอย่าง เช่น ไม่อนุญาตให้ย้ายทีม หรือได้คะแนนประเมินไม่ดี ด้วยเหตุผลเรื่องเธอเป็นผู้หญิง