หลังจากการแข่งขันรอบทดสอบ (ข่าวเก่า) ระหว่างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Watson ของ IBM กับแชมป์รายการเกมโชว์ Jeopardy! จบลงที่ Watson ชนะไป ล่าสุดศึกการแข่งขันจริงตลอด 3 วันซึ่งเพิ่งออกอากาศทางโทรทัศน์จบลงไป Watson เป็นฝ่ายชนะมนุษย์ในที่สุด
โดยหลังสิ้นสุดเกมการแข่งขันวันที่สาม Watson ได้เงินรางวัลไป 77,147 ดอลลาร์ ส่วนผู้เข้าแข่งขันมนุษย์ซึ่งเป็นแชมป์หลายสมัยของรายการคือ Ken Jennings กับ Brad Rutter คว้าเงินรางวัลไป 24,000 และ 21,600 ดอลลาร์ตามลำดับ
การแข่งขันนี้จัดขึ้นที่ Thomas J. Watson Research Center ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ของแผนกวิจัย IBM ไม่ได้แข่งในสตูดิโอของรายการ Jeopardy! เนื่องจากต้องวางตัวเซิร์ฟเวอร์ Watson ซึ่งประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ตระกูล Power750 จำนวน 90 ตัวใน 10 racks ตั้งอยู่ด้านหลังฉากของรายการ
ในการแข่งขันนี้ Watson ได้แสดงออกหลายอย่างที่น่าสนใจว่านี่เป็นลักษณะของคอมพิวเตอร์จริงๆ
Ken Jennings แชมป์ 74 สมัยของรายการกล่าวว่า "ขอต้อนรับสู่โลกที่คอมพิวเตอร์ครองโลกอย่างแท้จริง" โดย Watson ซึ่งเป็นผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์ซึ่งจะนำไปบริจาคให้มูลนิธิ World Vision ขณะที่รองแชมป์สองคนได้ 3 แสนและ 2 แสนดอลลาร์โดยจะแบ่งบริจาคให้การกุศลครึ่งหนึ่ง
อย่างไรก็ตามยังมีข้อถกเถียงในเรื่องความยุติธรรมของการแข่งขันอยู่เล็กน้อย เนื่องจาก Watson ไม่ได้รับข้อมูลคำถามด้วยเสียงแล้วใช้ Speech Recognition ตีความแต่เป็นการรับข้อมูลแบบตัวหนังสือ ซึ่งอาจทำให้รู้สึกว่า Watson ได้เปรียบในการรับคำถามมากกว่ามนุษย์ที่ใช้ตาดูคำถามบวกกับการฟังเอา
David Ferrucci ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการ Watson กล่าวว่าโครงการนี้สามารถนำไปต่อยอดในกระบวนการหาคำตอบจากคำถามที่ซับซ้อนได้อีกมาก โดยระยะสั้นนี้ IBM สนใจที่จะนำไปพัฒนาในกระบวนการหาคำตอบที่เกี่ยวกับสุขภาพและปัญหาด้านกฎหมาย
คลิปรายการมีทั้งหมด 3 ตอนรวม 6 คลิป เชิญรับชมได้ตามนี้ครับ
ที่มา: USA Today, Mashable, ars technica
Comments
ชอบเพลงธีมของรายการนี้ คลาสสิกมากๆ :D
ย่อหน้าที่ 3 จากท้าย
"เนื่องจาก Watson ไม่ได้รับข้อมูลคำถามจากฟังแล้วใช้ Speech Recognition"
ผมไม่แน่ใจว่ารูปประโยคถูกต้องหรือไม่ แต่อ่านแล้วงงๆ ครับ
น่าจะประมาณว่า ไม่ได้รับคำถามเป็นเสียงแล้วใช้ Speech Recognition เพื่อจับใจความ
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
แก้ไขแล้วครับ
Skynet มาแล้วใช่มั้ย?
ยังครับๆ แต่อีกไม่นาน หรอกมั้ง
ต้องรอ "จอห์น คอนเนอร์" เกิดมาก่อนครับ
อยากเห็น Watson VS Google แฮะ
แข่งรอบหน้าสงสัยรายการต้องเพิ่ม CAPTCHAs (ฮา)
เจอเองบางทียังอ่านไม่ออกเลย - -"
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
เป็นต้น
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ให้พิมพ์ว่า "WTF"
อุ้ย NirasNet
PanJ's Blog
เจอกันทุกวัน
และมีอีกครั้งที่เจอเครื่องหมายพาย(3.14159..) เหวอเลย จะพิมพ์ยังไง= ='
(บนเว็บอื่นนะ)
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ตายไปเลย...
F5 ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ถึงวันนึงเครื่องจักรคงทำได้ทุกอย่างที่คนธรรมดาทำได้ แล้วคนเราจะไปทำอะไรล่ะ
เป็นเบ๊คอยบำรุงเครื่องจักร = =
มีหน้าที่กดปิดและกดเปิด!
อันนี้ฮาครับ เสียบปลั๊กด้วยสิ
ก็เป้าหมายของคนทำเครื่องจักรคือ คนจะได้ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่แล้วนี่ครับ
จริงครับ ตอนแรกก็ทำมาผ่อนแรงกายก่อน
ปัจจุบันก็มาผ่อนแรงสมอง แต่เราป้อนความคิดเข้าไป
อีกไม่นานก็คงจะ"คิด"เองได้เลย
ทำก็ไม่ต้องทำ คิดก็ไม่ต้องคิด
สุดท้ายแล้วมนุษย์ในอนาคตจะเป็นยังไงนะ!(น่าคิด)
ผมคิดว่าจะมีมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ที่รวมเครื่องจักรเข้ากับตัวเอง เพื่อที่จะทำสิ่งที่อยากทำ ครับ
คือยังไงมันก็จะมีคนที่ อยากมีชีวิตอยู่สบายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย เล่นไปวันๆ
กับคนที่ ไม่ว่ายังไงก็อยากทำอะไรซักอย่าง หรือมีจุดมุ่งหมาย อย่างเช่นนักวิชาการ ศิลปิน พวกนี้
จนกว่าโลกนี้จะไม่มีอะไรให้ทำแล้วจริงๆนั่นแหละ
การที่คอมพิวเตอร์สามารถคิดได้เอง ก็หมายความว่า คอมพิวเตอร์สามารถกลายเปนคนได้ และคนก็สามารถกลายเปนคอมพิวเตอร์ได้ ผมเชื่ออย่างนี้นะ
ผมมองว่าคนที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีจะได้เปรียบคนอื่นสุดกู่ แล้วก็จะต้องมาทะเลาะกัน แล้วมันจะไปจบตรงไหนอันนี้ก็สุดจะคาดเดา ผมไม่คิดว่าคนที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีจะให้คนอื่นใช้โดยไม่เรียกร้องอะไร ยิ่งถ้าเป็นเทคโนโลยีจากบริษัทเอกชนแล้วด้วย ไม่มีหวังเลย
ประเด็นก็คือ ถ้าถึงวันที่เครื่องจักรสามารถทำงานแทนคนได้แทบทุกอย่าง คนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องจักรจะทำมาหากินอะไรยังไง ถ้าเครื่องจักรทำได้ถูกกว่า ดีกว่า เร็วกว่า จะมีใครอยากใช้คนทำ ซึ่งสถานการณ์ก็ไม่ต่างจากปัจจุบันเท่าไหร่ ที่ถ้าจ้างแรงงานต่างด้าวทำได้ ค่าจ้างก็ถูกกว่า ทำงานก็ได้ไม่ต่างกัน คนในประเทศก็ตกงาน จะให้ไล่ไปทำอะไรที่แรงงานต่างด้าวทำไม่ได้ มันก็มีน้อย แถมต้องลงทุนลงแรงมากขึ้นอีก กลายเป็นว่าที่ไม่ต้องทำงานหนักกาย ก็ต้องไปหนักสมองแทน อยู่ง่ายๆไม่ได้ ต้องลำบากมากขึ้นไปอีก ก็เลยต้องมีการจำกัดขอบเขตว่าแรงงานต่างด้าวทำได้แค่ไหน อะไรบ้าง แล้วในอนาคตเราจะต้องห้ามใช้เทคโนโลยีกันด้วยไหม
เพราะประชากรมนุษย์มีมากไปครับ
ในยุคสมัยหนึ่งที่ไม่มีเครื่องจักร สังคมโลกเราก็สายตาสั้น ส่งเสริมการเพิ่มจำนวนประชากรแบบมักง่ายเพื่อที่จะสร้างคนมาทำงานจนมีคนล้นเกิน ก่อปัญหาแก่ระบบนิเวศ จนย้อนกลับมาเปนปัญหาแรงงานล้นในสังคมมนุษย์เอง
เราก็เห็นอยู่ว่าเรื่องนี้ห้ามกันไม่ได้ ขนาดว่าสมัยที่ไม่มีเครื่องจักรก็ยังมีการล่าทาส หรือเลี้ยงสัตว์มาใช้แทน
ความจำเปนที่ต้องใช้ Man Power มันลดลงเรื่อยๆ ในภาคการผลิต เครื่องจักรนึงใช้คนๆเดียวทำงานได้เหมือนคนนับสิบนับร้อย มีประสิทธิภาพมากกว่า คอมพิวเตอร์มีความแม่นยำกว่านักบัญชี โทรศัพท์สะดวกกว่าจดหมาย
เอาแค่วัวควายหรือช้างมาติดคันไถ ก็เทำให้แรงงานคนลดลงไปแล้วหลายคน
ดังนั้นผมเลยมักจะพูดบ่อยๆ ว่าเราต้องเริ่มลดจำนวนประชากร ลดจำนวนการเกิดของมนุษย์ลง มีนโยบายคุมกำเนิดให้มากขึ้น แต่ดูเหมือนโลกจะยังไม่ตื่นตัวเรื่องนี้กันจริงจังซักเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะประเทศเรา ทั้งๆที่ปัญหาแรงงานต่างด้าวเปนจุดที่น่าจะทำให้เราเริ่มฉุกคิด
เทคโนโลยีมันคือเรื่องธรรมดา ธรรมชาติก็คือเรื่องธรรมชาติ ที่เปนปัญหาน่ะมีแต่มนุษย์เราเอง
เห็นด้วยในบางเรื่อง และไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง
เรื่องที่ไม่เห็นด้วยคือ ที่คุณไม่เห็นเทคโนโลยีเป็นภัยคุกคามในทุกวันนี้ เพราะว่าเทคโนโลยียังไปไม่ถึงขั้นที่จะมาแทนคน เครื่องจักรส่วนมากทำงานที่ปกติคนเราก็ไม่ได้ทำอยู่แล้ว คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้แย่งงานนักบัญชี แต่ถ้าวันหนึ่งเทคโนโลยีมันทำลายอาชีพคุณ เช่น เมื่อก่อน ในยุโรป มีคนคิดวิธีทอกระดุมจากเส้นด้ายได้ พ่อค้ากระดุมก็ออกมาโวยวาย เพราะเสียรายได้ ใช้เส้นสายให้ออกกฎหมายห้ามใช้กระดุมที่ทอจากเส้นด้าย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ไป ถ้าเกิดกรณีที่เทคโนโลยีแย่งงานคนส่วนใหญ่ไปหมด มีความสามารถเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ผมคิดว่าต้องมีการต่อต้านแน่นอน
เห็นด้วยคือประชากรมีมากเกิน แต่ผมไม่อยากเรียกว่าแรงงานล้น เรียกว่าทรัพยากรย์ไม่พอจะถูกกว่า เรื่องจะให้ลดจำนวนการเกิดนี่กำหนดนโยมาไม่ได้หรอกครับ กำหนดมาก็ทำจริงไม่ได้ ถ้ายังมีปัญญาเลี้ยงกันได้ ก็เกิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแหละ จะลดได้ก็ต่อเมื่อจนมากๆ ขาดแคลนอาหารจริงๆ นั่นแหละ
มีวิธีการมากมายครับที่จะควบคุมจำนวนประชากร
เอาง่ายๆก็ ที่จีน มีช่วงหนึ่ง เคยมีกฏหมายเก็บภาษีลูก ทำให้คนจีนมีลูกแค่คนสองคน
หรือที่ญี่ปุ่น รัฐไม่ห้ามการขายหนัง AV ปรากฏว่าประชากรลดลง (โดยบังเอิญ เพราะจริงๆญี่ปุ่นคิดว่าการไม่แบนหนัง AV จะทำให้ประชากรเพิ่ม แต่ผลกลับตรงกันข้าม)
ถ้าคิดสักนิดจะมีวิธีโดยอ้อมอีกมากครับ จิตวิทยาเอย สังคมศาสตร์เอย เอามาใช้ได้ทั้งนั้น
พูดตรงๆว่าคุณออกจะดูถูกผมมากไป ผมคิดมาแล้วต่างหากว่ายังไงๆ เทคโนโลยีมันจะมาทดแทนงานได้เกือบทุกชนิด จนถึงวันที่มนุษย์ไม่ต้องทำงานอะไรก็ได้ แต่ในวันนั้นทรัพยากรจะไม่พออย่างแน่นอนถ้าจำนวนประชากรยังเท่าเดิม
ซึ่งทรัพยากรที่ว่านี้รวมถึงตำแหน่งงานด้วย ยังไงมนุษย์ก็ยังคงต้องทำงานเพื่อแลกกับทรัพยากร มันจะมีฝ่ายที่ทำงานควบคุมเครื่องจักร เช่นโปรแกรมเมอร์ หรือวิศวกร หรือสถาปนิก และคนอื่นๆก็ต้องทำประโยชน์แก่คนกลุ่มนี้เพื่อแลกทรัพยากรที่เครื่องจักรจะสร้างมาให้
เมื่อมันมาแล้ว การต่อต้านต้องมีแน่นอน แต่ผมไม่คิดว่าจะมีทางหยุดได้ ผมจึงมองข้ามไปแล้ว ว่าควรจะจัดการปัจจุบันยังไง ผมถึงได้เน้นย้ำที่การลดจำนวนประชากร เพราะมันคือคำตอบ
เทคโนโลยีทำลายอาชีพ คือเรื่องธรรมดา คุณยกตัวอย่างเรื่องเครื่องผลิตกระดุมนั่น ก็เห็นได้ชัดว่าเรามีประสบการณ์แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งตีโพยตีพายว่าจะเกิดการต่อต้านหรืออะไร แต่คือการคิดหาทางออกว่า มันจะมาอีกแล้ว จะทำยังไงกับมัน
ผมเ้ปรียบง่ายๆว่า มันเหมือนภัยธรรมชาติ ซักวันมันต้องมา ยังไงมันก็ต้องมา เราไม่มีทางหยุดได้ เราทำได้แค่เตรียมรับมือ ขุดหลุมหลบภัย ต่อเรือ
การเริ่มคิดถึงมัน และหาทางลดจำนวนประชากรเสียแต่วันนี้ คือความคิดเห็นของผม
ขออภัยที่เขียนแล้วเหมือนดูถูกอะไรไปนะครับ ไม่ได้มีเจตนาอะไรครับ แค่คิดต่าง
เรื่องลดประชากร ผมยังไม่เคยเห็นนโยบายอะไรที่สั่งได้ ขนาดจีนมีนโยบายลูกคนเดียว บริหารอยู่พรรคเดียวยังสั่งไม่ได้เลย เรื่องภาษีลูกถ้ามีอะไรให้อ่านก็จะดีมากครับ ไม่เคยได้ยิน รู้แต่ว่าประชากรจีนยังไม่ลดลง เรื่องหนังโป๊ จากที่คุณเขียนมาคือไม่ห้ามเพราะคิดว่าจะทำให้ประชากรเพิ่ม แปลว่าตอนนั้นมันก็เริ่มมีแนวโน้มว่าประชากรจะลดเอง จากสาเหตุอื่นหรือเปล่าครับ ส่วนนโยบายนี่ก็เป็นแค่มาตราการที่ไม่ได้ผล
เรื่องประชากรนี่สรุปคือผมเชื่อว่า ด้วยสัญชาตญาณสัตว์โลก ถ้ามีโอกาส ยังไงก็อยากขยายพันธุ์
อีกเรื่องคือผมมองว่ามนุษย์เห็นแก่ตัว ถ้าเดือดร้อนปากท้อง หรือไปริดรอนสิทธิ ไม่มีใครยอมอยู่เฉยๆ แน่ๆ ถ้ามีคนกลุ่มเดียวควบคุมเทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีเอาเปรียบคนส่วนที่เหลือ คนส่วนที่เหลือไม่อยู่เฉยๆ แน่ๆ เหมือนที่มีกลุ่มก่อการร้ายอยู่ทุกวันนี้ ที่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนั้นก็เพราะโดนเอาเปรียบกดขี่มามาก สงครามนี้ฝ่ายไหนจะชนะก็ยังไม่มีใครบอกได้ ผมเลยไม่อยากสรุปว่าสงครามระหว่างเจ้าของเทคโนโลยีกับคนที่เหลือ ใครจะเป็นฝ่ายชนะ
สุดท้าย ผมเห็นด้วยนะว่า การลดจำนวนประชากรคือวิธีการป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด แต่ไม่เห็นหนทางที่จะทำได้ ให้ผมมีลูกคนเดียว ผมก็ไม่เอา แล้วคนอื่นจะเอาด้วยหรอ
^
ผมสงสัยว่า ทำไมถึงอยากมีลูกเยอะๆกันอ่ะ
ป.ล. นานๆทีผมจะเห็นด้วยกับ Thaina แบบ 100% lol
^
ส่วนตัวยังไม่มีคำตอบแน่ชัด ยังไม่มีคนแรก มีแล้วอาจจะเปลี่ยนใจ
เหตุผลที่เคยได้ยินมา ก็เช่น มีลูกเอาไว้ใช้ มีไว้ให้มีคนดูแลตอนแก่ รักเด็ก มีหลายคนไว้เป็นเพื่อนกัน มีคนเดียวเสี่ยงอาจจะไม่รอดถึงโต อยากได้ทั้งลูกสาวลูกชาย
อา เอาทีละเรื่องนะครับ
ไม่ใช่ครับ ที่ญี่ปุ่นตอนนั้นมีปัญหาประชากรไม่มากพอ อัตราการเพิ่มของประชากรอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ต้องการเพิ่ม เพราะต้องการกำลังผลิต
และที่ผลกลายออกมาอย่างนั้นคือ แทนที่สื่อลามกจะกระตุ้นให้เกิดการผลิตลูก ผลกลับตรงข้าม คือสื่อลามกทำให้เกิดการระบายความหื่นมากกว่า
เรื่ิองของจีน จริงๆมันค่อนข้างจะกลับกัน คือถ้าผมเข้าใจไม่ผิด จีนสร้างสังคมให้ค่าครองชีพของเด็กสูง(ค่าเล่าเรียน ฯลฯ)
แต่ จะมีสวัสดิการมากมายให้ลูกคนแรกคนเดียวในแต่ละครอบครัว(อารมณ์ ค่าเล่าเรียนสูง แต่ลูกคนแรกเรียนฟรี)
ทำให้ให้ครอบครัวที่ฐานะปานกลาง ไม่อยากมีลูกคนที่สองไปโดยปริยาย
คุณเข้าใจผิดมากว่าจีนควบคุมประชากรไม่ได้ผล อันที่จริงมันได้ผลมากกว่าที่คิดด้วยซ้ำ เพราะตลอดมาจีนมีค่านิยมมีลูกมากมาแต่สมัยไหนๆ อัตราการเพิ่มของประชากรจีนลดต่ำลงมากมาแต่สมัยเติ้ง เสี่ยว ผิง จนตอนนี้มีปัญหาประชากรวัยสูงอายุจำนวนมากขาดคนดูแลเพราะไม่มีลูกหลาน
ตอนนี้กระแสโลกเริ่มกลับทิศแล้วครับ
เรื่องการสืบพันธุ์ สำหรับมนุษย์โลกสมัยนี้แค่ได้มี Sex ก็พอ ไม่คิดจะมีลูกจริงจังแล้ว
ชนชั้นกลางมากมายในหลายประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไม่อยากมีลูก เพราะยุ่งยาก
ก็มาจากค่านิยมสังคมที่เปลี่ยนไป
ผมคิดว่าการที่คนเราอยากมีลูกนี่มันหล่อหลอมจากกระแสสังคมได้ หรือแม้กระทั่งว่า อยากมีลูกสืบเชื้อสาย แต่แค่คนเดียวพอ คิดตามหลักชีวะวิทยาก็ได้ ว่า มีลูกคนเดียว เพื่อจะได้ใช้เวลาเอาใจใส่ให้มีคุณภาพดีที่สุด
ผมก็เห็นอยู่แล้ว ว่าถ้ามนุษย์ยังมีจำนวนมากแบบนี้ ไม่วางแผนลดจำนวนโดยเร็ว ในอนาคตต้องเกิดเหตุการณ์อย่างที่คุณว่า
ในทางกลับกัน ถ้าอนาคตมีแต่เครื่องจักรทำงาน และมีจำนวนประชากรในระดับที่พอเหมาะกับความจำเปน ปัญหานี้ก็จะไม่เกิดไงครับ
สุดท้ายก็คือ
เราเห็นทางแก้ปัญหา
เราก็ต้องหาวิธี กลยุทธ์ ที่จะทำให้เกิดไปถึงเป้าหมายนั้นให้ได้สิครับ
ถ้าหาไม่ได้ค่อยว่ากัน
ถ้ารู้ว่าสึนามิจะมา เอาแต่นั่งคิดว่าถ้ามันมาจะตายกี่คน หรือทำยังไงจะหยุดมันได้ มันไม่เกิดประโยชน์นะ
สู้เอาไปคิดว่าจะหนียังไง จะรับมือยังไง มีวิธีรอดแบบไหนบ้าง น่าจะง่ายกว่า
ผมก็ยังไม่เห็นหลักฐานนะว่า นโยบายทั้งคุมกำเนิดนี่ใช้ได้จริงๆ ก่อนนโยบายลูกคนเดียว อัตราการเกิดของคนจีนก็ลดลงอยู่แล้ว ปัญหาประชากรสูงอายุไม่มีลูกหลานดูแล มันก็ไม่ได้เกิดเฉพาะที่จีน ไทยก็เป็น อีกหลายๆ ที่ก็เป็น
เรื่องสื้อลามก ยิ่งบอกไม่ได้ว่าได้ผล ประเทศอื่นที่เปิดสื่อลามกเหมือนญี่ปุ่น ประชากรไม่เห็นลดแบบญี่ปุ่นเลย
เรื่องไม่อยากมีลูก มีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากปัญหาปากท้องหรือเปล่าครับ
วิธีแก้ปัญหา เอาจริงๆ ผมว่าพยายามทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ง่ายกว่าไปพยายามลดประชากรนะ
สุดท้าย ถ้าเราไม่มีหลักฐานอะไรพิสูจน์ชัดได้ ผมว่าเราหยุดประเด็นตรงนี้ดีกว่า ถกกันไปก็ไม่ข้อสรุป
ผมคิดว่าในอนาคตมนุษย์ต้องตกงานเพราะเครื่องจักร มีครับ แต่ก็คงไม่ร้ายแรงอย่างที่คิดเพราะถ้าวันนึงที่มนุษย์ต้องตกงานเป็นจำนวนมากบริษัทที่กุมเทคโนโลยีนั้นก็คงอยู่ไม่ได้เพราะขาดกำลังการซื้อสินค้า เนื่องจากคนตกงานส่วนใหญ่ต้องการเซฟค่าใช้จ่าย จนถึงขั้นใช้หลักเศรษฐกิจแบบพอเพียงเลยก็เป็นได้ ไหนจะถูกแรงกดดันจากรัฐบาลจนต้องยอมขายเทคโนโลยีให้ผู้แข่งขันรายอื่นถ้าหากผูกขาดจนไม่มีความเป็นธรรม ทำให้ความได้เปรียบกลับมาอยู่ที่ผู้ซื้อสินค้าหรือคนที่กำลังตกงานมีทางเลือกใหม่มากขึ้น ไหนจะค่านิยมงานฝีมือ handmade ต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งทำรายได้ให้กับคนที่ตกงานมีงานทำ ไม่เว้นแม้แต่โรงงานประกอบรถสปอร์ตหรูทุกวันนี้ยังต้องใช้แรงงานคนเพราะอะไร? ส่วนการกำหนดนโยบายลดจำนวนประชากรสามารถแก้ปัญหาได้ แต่ในทางปฏิบัติผมมองว่าเป็นไปได้ยากครับในโลกแห่งระบอบประชาธิปไตยที่จะกำหนดอะไรแบบนี้มาให้ประชาชนปฏิบัติ
คุณอ้างว่าผมไม่มีหลักฐานยนยัน แล้วเรื่องที่คุณพูดทั้งหมดมีหลักฐานยืนยันรึเปล่าครับ?
ไปเปิดกูเกิลดูเอาก็ได้นะครับ กราฟจำนวนประชากร ปัญหาประชากรสูงวัย บทวิเคราะห์ต่างๆ
เอาแค่ที่คุณพูดก็ผิดแล้ว กราฟอัตราการเพิ่มจำนวนประชากร ลดฮวบทันทีในช่วงประกาศนโยบายลูกคนเดียว ถ้าคุณมีคนละกราฟกับที่หาได้จาก Google ก็โชว์ให้ผมดูหน่อย
ผมพูดจากสิ่งที่ผมอ่านมาไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆด้วยความเชื่อเหมือนคุณนะครับ
สิ่งที่คุณพูดก็ความเชื่อทั้งนั้นนะ ว่าคุณแค่ไม่เชื่อที่ผมพูด ก็ลองหาข้อทมูลดูก็ได้ คีย์เวิร์ดเยอะแยะ
ผมก็หาจากกูเกิลก่อนมาพูดเหมือนกัน
นโยบายเปิดกว้างสื่อลามกของญี่ปุ่นใช้มานานกว่าประเทศอื่นอีก แล้วคุณมีหลักฐานบ้างใหมว่า อัตราการเพิ่มจำนวนประชากรของประเทศที่เปิดกว้างสื่อลามกไม่ได้เปลี่ยนแปลงในทางลดลง
สุดท้าย หลักฐานมีอยู่เต็มกูเกิล เปิดใจซะบ้างแล้วจะเจอครับ ไม่ใช่คิดแต่ว่าคนอื่นเขาเถียงโดยไม่มีหลักฐานเหมือนที่คุณทำ
^
ตอบอันนี้เสร็จเลิกคุยด้วยจริงๆ แล้วนะครับ แล้วก็ไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ คุณพูดจาหาเรื่องมาก
เรื่องนโยบายคุมกำเหนิดจีนไม่ได้ผล ผมไม่ได้พูดลอยๆ ก่อนตอบผมก็ผมดูมาแล้ว ข้อมูลที่รัฐบาลจีนเผยแพร่น่ะ อัตราการเพิ่มลดลงจริง ผมไม่เถียง แต่ผมมีประสบการณ์กับข้อมูลที่ทางการจีนเผยแพร่ มันเชื่อถือไม่ได้ แล้วยังไม่นับรวมว่าที่มันได้ผลเนี่ย เพราะทำอะไรลงไปบ้าง ละเมิดสิทธิมนุษยชนไปมากน้อยแค่ไหน อะไรที่ไม่สวยหรูเค้าก็ไม่มาเขียนบอกไว้หรอก ในการปกครองของรัฐบาลที่ขึ้นชื่อเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ขึ้นชื่อเรื่องแต่งข้อมูล แค่เห็นตัวเลข ผมไม่เชื่อหรอก เรื่องคนไม่ทำตามนโยบาย แค่ที่เป็นข่าว ก็มีให้เห็นเยอะแยะ ผมไม่มีกราฟอะไรมาให้คุณดูทั้งนั้น แต่ผมถือหลัก กาลามสูตร ไม่เชื่อแค่เพราะเค้าบอกมา
โลกแห่งความจริงมันโหดร้ายครับ หัดมองให้ทะลุบ้าง อ่านอะไรมา ก็อ่านระหว่างบรรทัดด้วย
ป.ล. Google ไม่ได้มีคำตอบสำหรับทุกสิ่งครับ คำตอบที่อยู่ใน Google ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอ คิดลึกๆ ครับ
คุณไม่เชื่อ มันก็คือความเชื่อของคุณครับ
จะผิดหรือถูก อย่างน้อยผมก็มีกูเกิลเปนหลักฐาน
จะผิดหรือถูก สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดคือสิ่งลอยๆ ไม่มีหลักฐาน
ผมถึงของขึ้นไงว่า นี่มันอะไรที่คุณถามหาหลักฐานจากผม ทั้งที่คุณเองนั่นแหละที่ไม่มีหลักฐาน
ย้ำอีกครั้งว่าผมพูดสิ่งที่ผมรู้ และผมก็เปิดกูเกิลเช็คก่อนมาตอบ คุณไปค้นคีย์เวิร์ดได้
ในขณะที่คุณอ้างลอยๆ ว่า คำตอบที่อยู่ใน Google ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอ จีนชอบปั้นตัวเลข
คุณก็ไม่มีหลักฐานเลยว่าเรื่องนี้จีนปั้นตัวเลข และเรื่องนี้ Google ผิด
ถ้าคุณคิดว่าผมพูดหาเรื่อง ก็ดูตัวเองก่อนจะดีกว่า
เปิดใจ แล้วไป คิดลึกๆ เอาเอง นะครับ ว่าที่คุณพ่นออกมาทั้งหมด ถามหาหลักฐานจากผม
คุณ มี หรือ ยัง
ถ้ามีคนๆ หนึ่งเดินเข้าตึก IBM บอกว่าเขามาจากอนาคต ต้องทำลาย Watson ทิ้ง
เพราะอนาคตมันจะครองโลก IBM จะทำยังไง?
1. บอกว่าคนๆ นั้นเป็นคนบ้าและจับส่งรพ.
2. รับฟังสิ่งที่คนนั้นพูด แล้วขอเดินทางไปอนาคตเพื่อดูกับตา
3. ทุบแม่งเลย เอาให้แหลก
ปล. จะมีคอมเล่นหุ้นได้ไหมน้อ
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
นั่นนะสิ แล้ว EA ที่ไหนจะคอย ช้อนซื้อ หุ้นให้เราได้ทันอะนี้
อ่านข่าวนี้ นึกถึงภาพยนตร์เรื่อง iRobot
น้ำเสียง เจ้า Watson เหมือนกันเสียงของ เจ้า HAL ในเรื่อง space odyssey 2001 มากๆ
ลักษณะก็เหมือกัน ดูจากน้ำเสียงที่ราบเรียบ ไม่มีความวิตกกังวล แม้กระทั้งตอนตอบผิด(และโกหกในหนังนะ)ก็เหมือนๆกัน
ผมว่าเทคโนโลยีแบบนี้ คงไปต่อยอดการวางแผนทำสงคราม ให้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลทุกอย่าง สุดท้ายกระกลายเป็น สกายเน็ต เพ้อไปไหมครับ?
ทำให้ผมคิดถึง SkyNet กับ The Matrix เลย !
อ่านตั้งนานถึงรู้ว่ารายการนี้คือ quiz show