ขณะที่ Mark Zuckerberg ทุ่มเงินลงทุนไปกับ Metaverse หลายพันล้านเหรียญ Tim Cook ซีอีโอของ Apple แสดงความเห็นเรื่อง Metaverse ต่อสำนักข่าว Bright ของเนเธอร์แลนด์ว่า เขายังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนทั่วไปเข้าใจเรื่อง Metaverse ดีแค่ไหน รวมทั้งไม่แน่ใจว่าผู้คนจะต้องการใช้เวลากับ VR เป็นระยะเวลานานไหม
แม้ว่า Apple จะให้ความสนใจในการสร้างฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องกับ AR และ VR ซึ่ง Tim Cook มองว่า VR เป็นสิ่งที่ดีแต่ไม่ใช่วิธีในการสื่อสารระหว่างกัน รวมถึงเป็นสิ่งที่ควรใช้ในระยะเวลาหนึ่ง ๆ เท่านั้น ผู้คนจึงไม่น่าจะต้องการใช้ VR เป็นระยะเวลานาน ในขณะที่ Meta มองว่า Apple เป็นคู่แข่งที่สำคัญในการพัฒนา Metaverse
ก่อนหน้านี้ Evan Spiegel ซีอีโอของ Snap ก็ได้เปิดเผยว่าหลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า Metaverse เพราะมีความหมายกำกวมและผู้คนเข้าใจในความหมายที่ต่างกันออกไป ส่วน David Lamb หัวหน้าฝ่ายอุปกรณ์ของ Amazon ก็มองว่าคำว่า Metaverse ไม่มีความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจตรงกัน
ทั้งนี้ ทั้ง Apple, Snap และ Amazon ต่างกำลังพัฒนาอุปกรณ์ AR/VR โดย Apple น่าจะเปิดตัวอุปกรณ์เฮดเซ็ต AR/VR เร็วสุดในปีหน้า ขณะที่ Snap ได้ปล่อยแว่น VR เวอร์ชัน Beta ออกมาเมื่อปีที่แล้ว ส่วน Amazon ก็ปล่อยแอปพลิเคชัน AR ออกมาแล้วหลายแอปและกำลังพัฒนาอุปกรณ์ AR ด้วย
ส่วน Meta คาดว่าจะเปิดตัวแว่น AR รุ่นแรกออกมาในปี 2024 แต่น่าจะให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ใช้ก่อน
ที่มา: The Verge
Comments
ความเห็นผมแบบ Sword Art Online เท่านั้นถึงจะตื่นเต้น
ระดับ Ready Player One ก็ยังรู้สึกน้อยไปเลยนะ
พูดแบบ สนับสนุน metaverse เลยผมว่า มันต้องจำลองทั้งสีหน้าความรู้สึก หรือ reaction ให้อีกฝั่งเห็นได้น่ะครับ ส่วนตัวเป็น sales เวลาไป pitch งานบางครั้ง ลูกค้า prefer ที่จะได้คุยกับคนตรงๆ มากกว่า video call เพราะรู้สึึกเข้าถึงได้
อย่างน้อยๆ ภาพต้องระดับเกมส์ AAA
เช่น Cyberpunk เป็นต้น ไม่งั้นก็ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นอะไร
+1 มันต้องลิ้งกุสตาร์ทโตะเท่านั้น นอกนั้นไม่เอา
ความฝันตอนแก่คือนอนเป็นผักใน Nervegear และตายไปทั้งอย่างนั้น
คงต้องพัฒนารุ่นฉีดมอร์ฟีนในตัวมาด้วยนะครับ
ผมรอเข้าเดอะเมทริกซ์เลยทีเดียว
Medicuboid เลยดีมั้ยครับ 😂
แต่จริงๆ ผมหวัง Neuro Linker นะ อันนี้น่าจะชีวิตประจำวันได้
ทำอาสึนะมา คิริโตะจะตามไปเอง 🤣
my blog
ไว้ขายของเด็ก แล้วจะมีตังค์ซื้อเหรอ?
ถ้าใช้งานจริงน่าจะพากันเห่อช่วงแรก ส่วนตัวคิดว่าคงไม่เอาเวลาไปเสียเยอะให้กับ metaverse
Meta เค้าจะไปถึงขั้น Surrogates มั๊ยนะ
ผมก็อยากทดลองเป็นภรรยายีราฟดูบ้างครับ
meta ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ถ้าจะเอาแบบนั้นต้อง neuron link ของ elon แล้ว
คงต้องให้อุปกรณ์ VR ราคาจับต้องได้ก็กว่านี้
ภาพและระบบอย่างน้อยสุดระดับ Ready Player One
ให้มาร์คลงทุนจนหมดตูดก็ไม่ได้ระดับนั้น เพราะฉะนั้นล้มเลิกเถอะ
ไม่ก็เริ่มต้นให้ VR เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางดูมีอนาคตกว่านะ อย่างน้อยก็ขายแว่น VR ได้
บรรทัดที่สี่นี่ทำเกมง่ายกว่าเยอะ เข้าถึงคนง่ายด้วย เพราะมันจับต้องได้ ไม่ต้องจินตนาการเยอะ เข้าง่ายออกง่าย
จริงๆแล้วสิ่งที่ Meta อยากได้นี่คืออะไรใครรู้บ้าง ขออธิบายแบบจับต้องได้นะ ผมนึกออกแค่โลกเสมือนแล้วก็มีคำถามว่า แล้วยังไงต่อนะ ทำไมต้อง VR (ทำไมต้องดันทุรังเป็น VR)
VR มันคือความประทับใจแรกของ Mark เมื่อ 10 ปีก่อน ตอน Palmer Lucky เอามาขาย แต่ตอนนี้ มันเลยจุดที่เป็น VR แล้ว เค้าไม่ได้ดันทุรังให้เป็น VR เค้าก็เลยต้องหาคำเรียกใหม่ เป็น Metaverse ถ้าเทียบกับในหนัง Ready Player One ก็คือ Oasis นั่นแหละ
สิ่งที่ Meta อยากได้ ก็คือการเชื่อมต่อผู้คนเข้าหากัน คือ Concept เดียวกับที่เค้าทำ Facebook นั่นแหละ แต่ว่า Facebook มันยังเชื่อมหากันไม่พอ เค้าต้องการไปถึงจุดที่ว่า ไม่ว่าจะห่างกันมุมไหนของโลก ก็สามารถเหมือนมาอยู่ด้วยกัน โดยไม่มีเรื่องของระยะทาง เรื่องของกายภาพมากั้น ความรู้สึกที่เป็นมากกว่าการใช้ Video Call มากกว่าการใช้ Zoom meeting มากกว่าการใช้ MS Team มันเป็นความรู้สึกที่หันไป แล้วมันเจอ มันรู้สึกว่า อยู่ด้วยกันที่นี่ ตรงนี้
มีอีกเยอะเลย ที่จะได้เห็นจากเทคโนโลยีนี้
ผมที่เล่น vrchat แล้วลองเข้าไปเล่น metaverse แล้วมันจืดจางสุดๆ
ผมมองว่า metaverse มันเป็นแค่พื้นที่การอวดและอวยของสังคมที่กำลังทรัพย์หนาพอ
เล่นนานไม่ได้ครับ ปวดตาและเสียสุขภาพ ทุกวันนี้ยังทนเพราะ ...
ทำไมผมเห็นด้วยกับลุงนะ แต่ลุงแกออกมาบอกแบบนี้ เหมือนลุงตบง้อนเด็กแว๊นที่กำลังเบิ้ลเครื่องกลางสี่แยกราชประสงค์เลยนะ
เอาจริงๆเห็นต้วยกับแกนะ แต่ถ้ามองภาพระยะยาวอีก 10 ปี กลุ่มวัยรุ่น Roblox อาจจะมาแนวทาง Metaverse จริงๆก็ได้
ถ้าผู้คนใช้เวลาในโลกเสมือนนานๆ ก็หมายความว่ามนุษย์เราอ่อนแอลง
น่าจะรุ่งในวงการ AV นะ ผมนี่นั่งรอเลย
VR/AR หรือจอธรรมดา มันก็เป็นแค่ "เครื่องมือ" หรือรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาเท่านั้น นอกจากคนที่สนใจเทคโนโลยีใหม่ๆ คนส่วนใหญ่เขาไม่สนใจที่จะใช้เวลาไปกับเครื่องมืออยู่แล้ว ที่คนส่วนใหญ่สนใจคือ "เนื้อหา" ต่างหาก
ถ้ามันมีเนื้อหาที่ดีกว่ารูปแบบอื่นจริงๆ ต่อให้มันแพง ยุ่งยาก หรือส่งผลเสียต่อสุขภาพแค่ไหน ยังไงคนเราก็พร้อมจะทุ่มเงินทุ่มเวลาไปกับมันอยู่ดี ตัวอย่างก็มีให้เห็นในปัจจุบันว่าคนเราสามารถใช้เงินใช้เวลากับสิ่งบันเทิงจนเสียเงินเสียสุขภาพไปไม่น้อย 55+
พี่มาร์คคงชอบแบบนี้
เห็นรูปนี้ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี คำเดียวที่ลอยมาคือ "Mark มั_ แสบ"
ผมก็มีรูปอยากแชร์เหมือนกัน แต่ใส่รูปใน Blognone ไม่เป็น
หาเว็บฝากรูปที่ ให้โค้ด HTML หรือ Markdown ก็ได้ ก็ก็อปมาแปะเลยครับ จะได้ไม่ต้องเขียนเขียน tag รูปเอง
ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่ครับ
Meta+PornHub น่าจะรุ่ง
Mark นี่ ดังจริง ๆ แหะ คนดัง พูดถึงกันไม่เว้นอาทิตย์ อีลอนเอย อาจารย์เอย Tim Cook นี่ก็ด้วย แต่ผมแทบไม่เคยเห็นข่าาว Mark พูดถึงคนอื่นเลย เหมือนสนุกอยู่กับ Metaverse มุ่งว่าจะทำให้เป็นจริงให้ได้ และไม่ชอบวิจารณ์คนอื่่น
ในขณะที่คนดังมากมาย ยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ Mark ทำ แต่ผมว่ามีอย่างน้อย 2 คนละ ที่บอกว่า ปล่อย Mark มันขโมยซีนอีกไม่ได้ละ
คนแรกคือ Microsoft เอ็งจะเปิดตัว Headset ใหม่วันที่ 12 ใช่ไหม งั้นข้าจัดงาน Microsoft วันที่ 12 ด้วยละกัน อย่างน้อยข่าวจะได้พูดถึงทั้งของของค่าด้วย ไม่ใช่ตื่นมา ใคร ๆ ก็พูดถึงแต่เอ็ง
คนที่ 2 คือ Henry Zhou CEO & Founder ของ Pico ที่ชิงประกาศเปิดตัว Pico 4 ไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน และก็ชิงวางจำหน่ายก่อน Meta Quest Pro เปิดตัว
ผมว่า อาจเป็นเรื่องที่คนเจนเรา อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ หรือนึกไม่ออก คนที่จะได้ใช้จริงๆ อาจเป็นคนเจนถัดๆ ไป
ส่วนตัวผมว่าเรื่องที่ควรโฟกัสมากกว่าเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนนะ เพราะยังไงเราก็ต้องอยู่กับมันจริงๆ
จะท่องโลกเสมือนยังไง แต่สุดท้ายกายเนื้อก็ยังต้องหายใจมลพิษเข้าไป และภัยธรรมชาติจะมากขึ้น เรายังหนีความจริงไม่ได้ เว้นว่ากายเนื้อจะไปอยู่บนสถานีอวกาศหรือดาวอื่น
WE ARE THE 99%
สิ่งที่ Mark ทำ ก็ช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อมนะ เช่น ถ้าคนทำงานในโลกเสมือนได้ ก็จะลดการเดินทางลง เดินทางน้อย อาจจะเป็น WFM (Work from Metaverse) ซัก 3 วัน เข้า Office 2 วัน ก็ลดการใช้พลังงานน้อย ดีต่อสิ่งแวดล้อม
หรือในขณะที่เราบริโภควัตถุนู่นนี่ กันมากมาย พอเสื่อม หรือเบื่อก็ทิ้ง แต่ถ้าวัตถุเหล่านั้น เป็นแค่วัตถุเสมือน แค่เขียนโปรแกรม ลอยออกมาเป็นจินตนาการ ลดการใช้วัสุดลงได้เยอะเลยนะครับ
Work from Metaverse นี่น่าจะเปลืองพลังงานมากกว่าเดิมนะครับ พลังมา compute ต่างๆ ภาพแสงสีเสียง สู้เปิดทำงานจอปกติง่ายกว่ากว่นะครับ ไม่ต้องใช้ไรเยอะ
พวก item ในนั้นอะไรก็ดูเหมือนเกม พอเสื่อมความนิยม เลิกเล่นมันก็หมดค่า ไม่ได้เอามาใช้ต่ออะไรเลย ฝั่ง Meta คงได้เงินชิวๆ ผู้ใช้ก็ไม่ได้อะไร ถ้ามีซื้อรถในนั้นคงตลก เหมือนเอาไว้อวดกันมากกว่า ในโลกคอมเราเดินจริงก็วาร์บเอาก็ได้
ใช้เวลาอยู่ใน Metaverse เท่ากับแ่งเวลาส่วนนั้นในชีวิตไป คำถามคือมันทำงานของตัวเองใน Metaverse ได้ไหมถ้าได้ก็จะไปได้แต่ ไม่งั้นมันก็คือเวลาที่มนุษย์เราหาสิ่งบันเทิงดีๆนี่เอง ซึ่งก็คือเวลาพักของมนุษย์แต่ละคนใน 24 ชม ที่แบ่งเวลามา