ความคิดนี้แตกประเด็นมาจากกระทู้ 10 เทคโนโลยีที่จะเป็นกระแสนิยมในปี พ.ศ. 2549 คุณ OHM โพสต่อท้ายว่า
"อยากเห็นเมืองไทยเป็น outsource เหมือนกันเพราะค่าตัวโปรแกรมเมอร์ในเมืองไทยถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับที่อื่น เสร็จแล้วจะขยับขยายก็ค่อยว่ากันไป"
เรื่องคนไทยมีศักยภาพพอหรือไม่ ที่จะ outsource ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างที่อินเดียทำ ผมไม่ขอพูดถึง
สิ่งที่อยากจะถามเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือว่า ถึงแม้ในสายตาเมืองนอกจะมองว่าค่าแรงโปรแกรมเมอร์เราต่ำยังไงแต่ในสายตาคนไทย คนที่อยู่ในสายงานนี้ ถือว่าได้ผลตอบแทน และเงินเดือน ดีอยู่ในระดับหนึ่ง
คุณว่าทุกวันนี้ โปรแกรมเมอร์ไทย มีคุณภาพดีแค่ไหน เมื่อเทียบกับ ผลตอบแทนที่ได้รับ ?
ส่วนตัวผมมองว่า ยังต่ำกว่ามาตรฐาน เอามากๆ เลย คนเก่งมีน้อย คนรู้ไม่จริง (แต่ชอบอวดเก่ง) ก็มีเยอะ คนเหล่านี้หรือเปล่าที่ทำให้วิชาชีพนี้ตกต่ำลง? สายงานตันเร็ว เพราะ คุณภาพมันน้อย ลองคิดดูสิ โปรแกรมเมอร์ เด็กจบใหม่เดี๋ยวนี้เงินเดือนบริษัทเอกชน เริ่มต้นขั้นต่ำเฉลี่ยแล้วน่าจะอยู่ที่ 17,000 - 18,000 บาท ถือว่าสูงทีเีดียวเทียบกับคนจบอย่างอื่นมา สูงกว่าวิศวกรซะอีก
แต่ด้วยความสามารถที่ส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยดีนัก ทำให้อัตราการเพิ่มเงินเดือนอยู่ในระดับต่ำ ถ้าเทียบกับวิศวกร ส่วนคนที่มีความสามารถควรที่จะได้รับผลตอบแทนสูง ก็ถูกหางเลขของคนที่อยู่ในระดับต่ำ ดึงอั้นเอาไว้
ผลสุดท้ายโปรแกรมเมอร์ระดับมือทองจริงๆ เก๋าจริงๆ หายกันไปหมด หนีไปเป็น SA หนีไปขายเต้าฮวยซะบ้าง ความรู้ที่ติดตัว ประสบการณ์ที่ตนมีก็หายไปกับการเปลี่ยนอาชีพและสายงานด้วย
เด็กจบใหม่ คุณภาพต่ำ ก็ยังคงจะมีต่อไป และถ้าเค้าสามารถพัฒนาตัวเองจนอยู่ในระดับเก่ง แต่สุดท้าย ปัจจัยเงินเดือนไม่เอื้ออำนวย เค้าก็หนีไปทำอย่างอื่นอยู่ดี กลายเป็นวงจรอุบาทว์ไป
ผมจึงมีข้อเสนอว่า วิธีการแก้ปัญหาระยะสั้นโดย น่าจะกำหนดให้โปรแกรมเมอร์ควรมีเงินเดือนเริ่มต้นที่ต่ำกว่านี้ และมีอัตราการเพิ่มที่สูงกว่านี้ เมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพ
ถึงแม้นี่จะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกจุด แต่ก็พอที่จะทำให้ ซุเปอร์โปรแกรมเมอร์ระดับเก๋า ที่รักการเขียนโปรแกรม สามารถอยู่ได้
ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวนั้น ผมว่าน่าจะทำได้จากภายในสถาบันการศึกษา ถึงแม้การโปรแกรมมิ่งจะไม่ใช่ทุกอย่างของศาสตร์นี้ แต่ก็ควรเน้นย้ำให้เด็ก มีแนวคิดที่ถูกต้อง และมีประสบการณ์มากกว่านี้ เพราะเด็กจบใหม่ ส่วนใหญ่ก็เริ่มจากการเป็นโปรแกรมเมอร์กันทั้งนั้น
คุณละมีแนวคิด หรือมุมมองต่อเหตุการณ์นี้ และวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร
รู้สึกว่าโปรแกรมเมอร์ที่มีประสบการณ์หายากครับ เขียนโปรแกรมกันได้ไม่นาน ก็หนีไปทำงานอื่นกันหมด แล้วก็เอาเด็กจบใหม่มาทำงานแทน เป็นแบบนี้เรื่อยๆ เมื่อไหร่เราจะได้โปรแกรมที่มีคุณภาพ ในเมื่อเรามีแต่โปรแกรมเมอร์มือใหม่ อ่อนด้อยประสบการณ์
สายงานมันเป็นแบบ Programmer > Senior Programmer > SA > IT Manager ไปซะหมด ใครๆ ก็อยากจะเป็น Manager เพราะได้เงินดีกว่า ส่วนคนที่อยากจะเป็นโปรแกรมเมอร์ระดับเทพเจ้าก็ต้องทำใจ ก้มหน้าก้มตารับเงินเดือนน้อยกว่า
pittaya.com
คำถามคืิออุตสาหกรรมซอฟท์แวร์บ้านเราต้องการโปรแกรมเมอร์ระดับเทพจริงๆ หรือ?
ขณะที่บ้านเราคงไม่มีงานประเภท Google File System แต่งานส่วนมากเป็นการเอาธุรกิจลูกค้ามาแปลงเป็นหน้าจอแล้วต่อกับฐานข้อมูล ข้อเท็จจริงคืองานอย่างนี้เขียนโดยโปรแกรมเมอร์จบใหม่ได้ แม้มันอาจจะมีบั๊กและโค้ดไม่ได้สวยงามอะไร แต่โปรแกรมมันก็ออกมาได้ ในราคาค่าตัวที่ไม่แพง
ผมมองว่าผู้บริหารบริษัทซอฟท์แวร์บ้านเราเอง เป็นผู้ผลักดันให้ลักษณะของสายงานมันออกมาในรูปแบบนี้ ซึ่งผมว่าก็ไม่ผิดอะไร แค่ว่าโปรแกรมเมอร์บางคนไม่ควรเป็น SA ก็อย่าเอามาเป็นเลย เพราะมันลำบากโปรแกรมเมอร์คนอื่น เท่านั้นก็พอแล้ว
lewcpe.com, @wasonliw
+1
+1 อันนี้ผมเห็นด้วยนะ
บ้านเรามันเป็นสังคม (ปัญหาเชิงสังคม) ที่ต้องการคนที่มีความรู้ในเชิงแนวนอนอะ ไม่ใช่แนวลึก (ประสบการณ์ส่วนตัวบอกมาอย่างนั้น)
แต่ผมกลับไม่ค่อยชอบนะลักษณะสังคมอย่างนี้ (ส่วนตัวอีกนั้นแหละ)
เห็นด้วยมากๆครับ เจ้านายคนไทยใช้งานมั่วซั่ว จิปาถะ ยิ่งไม่ได้อยู่ในซอร์ฟแวร์เฮ้าส์นะ เรียกไปซ่อมคอมซะงั้น ทั้งๆที่ตำแหน่ง Web programer =_=
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
อัพเงินเดือนโปรแกรมเมอร์ระดับเทพ แล้วให้สิทธิในระดับผู้จัดการ
เพราะว่าไม่มีใครอยากเป็นกรรกรไปตลอดชาติ ... ถ้าเงินไม่สูงพอ
onedd.net
ผมเห็นด้วยครับคุณ pittaya นะครับ มันเป็นวงจรไปแล้ว แล้วอีกอย่างหนึ่งคือคนไทยไม่ค่อยคิดค้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ เองด้วยนะครับ ไม่ค่อยทำอะไรให้แตกต่างจากคนอื่น นักลงทุนก็ไม่กล้าที่จะลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่มีใครทำ จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ Programer เก่ง ๆ เท่าไหร่ แล้วอีกอย่าง Programmer เมืองไทย ไม่ค่อยหาเทคโนโลยี ใหม่ ๆ มาใช้ อย่างพวก tool ใหม่ ๆ หรือภาษาใหม่ ๆ นะครับ มีแต่ก็เป็นกลุ่มเล็ก ๆ
คุณ lew ว่าที่บ้านเราไม่มีงานประเภทนั้น เพราะเค้าคิดไม่ได้จริงๆ หรือครับ? ผมกลับมองว่าที่เราทำไม่ได้ เพราะศักยภาพที่จะทำไม่พอ เลยเลิกคิดต่างหากละ
ไม่ต้องยาก หรือเป็นเรื่องน่าปวดหัวอย่าง Google File System แต่ถ้าผมตั้งโจทย์มาว่า ผมอยากทำ Flikr ฉบับคนไทย ด้วยฝีมือคนไทย เอาเรื่องต่างๆ ใน web 2.0 มาใช้เยอะๆ มันจะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน?
นี่ยกตัวอย่างนะครับ คืออยากจะบอกว่าถ้าเรื่องหัวคิดทางธุรกิจว่าจะทำอะไรเนี้ยะ ใครๆ ก็น่าจะคิดได้อยู่ ขนาดคนไม่ค่อยสนใจธุรกิจ เรื่องเงินๆทองๆ อย่างผมก็คิดได้ แต่มันไม่มีใครทำ เพราะปัญหารเรื่องขาดศักยภาพกันเสียส่วนใหญ่ ผลสุดท้ายออกมา เหลือแต่เว็บ โหวตให้คะแนนสติ๊กเกอร์ที่การโกงคะแนนโหวตยังทำได้ถ้าเข้าใจหลักการ Http Request
ทุกวันนี้โลกหันเข้าสู่ web 2.0 กันทั้งนั้น มองกลับมาที่เว็บไทยมันยังเป็นเว็บทื่อๆ เต็มไปด้วยตาราง และ css รุ่นลายครามอยู่เลย สิ่งเหล่านี้น่าจะพอที่จะยืนยันได้ว่า ศักยภาพ,คุณภาพ มันยังดีไม่พอ
ผมเชื่อว่าคนไทยไม่ได้เป็นคนโง่ แต่เพราะวิชาชีพนี้มันตกต่ำลง คนเลยหนีกันไปหมด มองธุรกิจเกมส์ก็ได้ มันเป็นธุรกิจที่ใหญ่ ขายได้ทั่วโลก คนไทยก็เล่นเกมส์ แล้วที่ทำไม่ได้เพราะอะไร?
ในมุมมองผม คำตอบคือ "มันหาคนเก่งจริงยาก" ทุกวันนี้ที่ทำกันอยู่ ก็มีแต่เรื่องง่ายๆ เพราะเรื่องยากๆ มันทำไม่ค่อยได้กัน เพราะคนเก่งหนีไปทำอย่างอื่นซะหมดแล้ว ...
"มองธุรกิจเกมส์ก็ได้ มันเป็นธุรกิจที่ใหญ่ ขายได้ทั่วโลก คนไทยก็เล่นเกมส์ แล้วที่ทำไม่ได้เพราะอะไร?"
เพราะถ้าทำขายในไทย มีแต่จะเจ๊ง
ช่ายทำไปก็มีแต่เจ๊ง ยากชิบหาย แถม ทำให้ตายก็สู้เกมราคาแผ่นละ 100 คุณภาพ ระดับโลก งบเป็น 100 ล้านไม่ได้
ถ้ายังมีการละเมิดลิขสิทธิ์ ยังงัยทำเกมเมืองไทยมีแต่ เจ๊งกับเจ๊ง
ความเห็นของผมขอเขียนเป็นข้อ ๆ ที่ทุก ๆ คนเขียนก็แล้วกัน
1. ถ้าเทียบเงินเดือนเฉลี่ยที่โปรแกรมเมอร์ได้รับกับความสามารถของโปรแกรมเมอร์ และเอาค่าครองชีพของคนไทยมาคำนวณด้วย ผมว่าค่าตัวยังแพงเกินไปด้วยซ้ำ แต่ถ้าเทียบโปรแกรมเมอร์ที่เก่ง ๆ ของเราที่ความสามารถเท่ากับฝรั่งแบบตัวต่อตัว เงินเดือนมันต่างกับเราลิบลับเลยนะ
2. ผมเห็นด้วยที่บอกว่ามันเป็น "วงจรอุบาทว์" ไปแล้ว มีแถมอีกอย่างก็คือ เด็กจบใหม่ของเรา พอเริ่มงานก็เป็นโปรแกรมเมอร์ทันที ซึ่งความเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพยังไม่มีด้วยซ้ำ ในขณะที่ต่างประเทศเช่น สหรัฐอเมริกา เด็กจบใหม่จะเริ่มต้นตำแหน่งด้วย "ผู้ช่วยโปรแกรมเมอร์" อยู่ประมาณ 1 - 3 ปี ช่วงนี้จะต้องนั่งประกบโปรแกรมเมอร์ตัวจริงอยู่เป็นปี ๆ เพื่อเรียนรู้ลักษณะการทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง และความเป็นมืออาชีพ หลังจากมีความชำนาญแล้วจึงจะเลื่อนขั้นเป็นโปรแกรมเมอร์ แล้วค่อยเป็นซีเนียร์โปรแกรมเมอร์ต่อไป
3. การลดค่าเงินเดือนตอนเริ่มต้นนั้นผมไม่แน่ใจว่าจะช่วยได้หรือเปล่า เพราะขนาดให้เงินเดือนขนาดนี้บางคนยังเล่นตัวอีก ทั้ง ๆ ที่พึ่งจบใหม่แท้ ๆ
4. นอกจากโปรแกรมเมอร์ที่มีประสบการณ์จะหนีไปเป็น SA หรือ Manager แล้ว อีกอย่างที่เป็นความจริงและเห็นกันทั่วไปคือ โปรแกรมเมอร์ทิ้งสายงานของตัวเอง ไปทำงานที่น่าเสียดายความรู้เป็นอย่างมาก เช่น ขายลูกชิ้นปิ้ง ขายกาแฟเย็น เลี้ยงเป็ด หรือทำไร่ทำสวนไปเลยก็มี เพราะมันได้เงินเยอะกว่า แถมไม่เครียดเหมือนงานเขียนโปรแกรม อันนี้ผมว่าอาการสาหัส
5. โปรแกรมเมอร์เก่ง ๆ หายากส์ อันนี้ absolutely agree เห็นด้วยอย่างแรง เพราะคนเก่ง ๆ ไม่ยอมเขียนโปรแกรม หรือถ้าเขียนก็ได้ไม่นานสุดท้ายก็โดนดูดไปทำอย่างอื่น
6. ความเห็นคุณ lew ที่บอกว่าบ้านเราไม่มีงานยาก ๆ ผมไม่เห็นด้วย งานยาก ๆ มีครับ แต่ไม่มีใครทำให้เขาได้ ถ้ามีคนทำได้ก็น้อยและหายากเต็มทน สุดท้ายมันก็เลยไม่ได้ทำและก็แป๊กอยู่แค่นั้น ก็เลยได้ทำแต่งานประเภท อินพุทข้อมูลเข้าไปเก็บในฐานข้อมูล แล้วก็ดึงออกมาจัดรูปแบบแสดงผลแค่นั้น ขนาดแค่นี้มันยังมีปัญหาตรึมเลยครับ
7. คุณ wiennat บอกว่า "ไม่มีใครอยากเป็นกรรมกรไปตลอดชาติ" นี่แหละครับปัญหา มุมมองของคนที่จบทางด้านคอมพิวเตอร์หลาย ๆ คนมองว่า โปรแกรมเมอร์คือกรรมกร เป็น Admin, SA หรือ Manager เท่ห์กว่า ดีกว่า สบายกว่า หรูกว่า ถ้าความคิดแบบนี้มันยังอยู่ในหัวของคนที่เรียนสายนี้ มันก็คงเป็นอยู่แบบนี้แหละครับ
แนวทางการแก้ไข...ผมต้องขอคิดดูก่อน... ตอนนี้ยังคิดไม่ออก
+1 ครับ
+1
อืม คงแสดงความเห็นตัวเองไม่เคลียร์
ที่ผมว่าไม่มีความต้องการโปรแกรมเมอร์ระดับเทพ คงไม่ได้หมายถึงว่าจะไม่มีงานให้คนเหล่านั้นทำ แต่ความคิดของผมคือ อุตสาหกรรมซอฟท์แวร์โดยรวมมีความต้องการคนอย่างนี้มากแค่ไหน
ในโลกที่ผมเห็นอาชีพโปรแกรมเมอร์บ้านเราถูกบล็อกฐานเงินเดือนไว้ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งมันไม่ได้สูงอะไร ผมไม่เทียบระหว่างบ้านเรากับต่างประเทศ แต่ลองเทียบระหว่าง Core Team ของ Windows อะไรอย่างนั้น เทียบกับ Junior Programmer ในไมโครซอฟท์เอง เราคงนึกกันออกว่าเมื่อความเก๋าเข้าขั้นระดับหนึ่ง เงินเดือนของพวกนี้จะกระโดดกันชนิดเท่าใหร่เท่ากัน กับบ้านเราแล้ว จะหาโปรแกรมเมอร์ที่เงินเดือนสิบเท่าของเด็กจบใหม่ได้รึเปล่ายังน่าสงสัย
มันเป็นเรื่องของมุมของธุรกิจ ผมไม่ค่อยเจอผู้บริหารที่รู้ว่าความเก๋าของโปรแกรมเมอร์หนึ่งคน มันมีค่ามากกว่า "แรงงาน" ของโปรแกรมเมอร์จบใหม่อย่างเทียบไม่ได้ ดีมานต์ของตลาดแรงงานไม่ได้แสดงความต้องการคนกลุ่มนี้ออกมาเลย ตรงกันข้ามเรามักได้เห็นการเพิ่มคนเข้าไปในงานเพื่อเร่งเวลาเสร็จ อุตสาหกรรมโดยรวมแสดงออกว่าโปรแกรมเมอร์เป็นเพียงแรงงาน มากกว่าผู้สร้างสรรค์
เอาง่ายๆ ไม่ต้องอะไรมาก รุ่นผมมีเกียรตินิยมเป็นโหล เป็นโปรแกรมเมอร์กันไม่เกินสามสี่คน
มองเห็นอะไรบางอย่างมั๊ย
lewcpe.com, @wasonliw
ถึงได้บอกไงครับว่าตอนนี้ Programmer ในเมืองไทย ยังถูกมองว่าเป็นกรรมกรอยู่ ในขณะที่จริงๆแล้วโปรแกรมเมอร์คือผู้สร้างสรรค์มากกว่า เลยทำให้กลุ่มผู้บริหารปฏิบัติกับโปรแกรมเมอร์เป็นกรรกร แล้วแบบนี้โปรแรกมเมอร์จะอยู่ได้เหรอครับ
โปรแกรมเมอร์เก่งๆที่ทำงานอยู่ ส่วนใหญ่ก็คงย้ายไปต่างประเทศหมดแหละครับ เพราะว่าเมืองไทยมันอยู่ไม่ได้ อยู่ต่อไปก็มีแต่จน เทียบกับความเก๋าแล้ว ค่าตอบแทนต่ำ แถมยังงานหนักอีก แบบนี้ไม่คุ้มหรอกครับ
ส่วนโปรแกรมเมอร์ต๊อกต๋อยก็คงต้องเปลี่ยนอาชีพนี่แหละครับ
onedd.net
ขอมอง 4 มุม
ในมุมมองระดับโลก จะเห็นว่าแผน outsource ของประเทศทางตะวันตก จะยังคงส่วนงานที่เป็นของวิศวกรเทคนิคชั้นสูง , ฝ่ายวิจัยและฝ่ายบริหารระดับสูงไว้ ซึ่งคนเหล่านี้จะได้ค่าตอบแทนสูงมาก ส่วนงานระดับล่างๆ ลงมา เช่น โปรแกรมเมอร์ ทางฝั่งตะวันตกเค้าต้องการแรงงานที่ราคาถูกกว่า ทำให้เป็นกระแสโลกว่าในบ้านเราคงจะไม่สามารถเพิ่มค่าตอบแทน ให้สูงขึ้นมากๆ ได้ ยิ่งประกอบกับทุกวันนี้มีการแบ่งธุรกิจออกมาเป็นบริษัทที่ปรึกษา ทำให้บริษัทต่างๆ ไม่พากันจ้างผู้เชี่ยวชาญ แต่จ้างบริษัทที่ปรึกษามาสนับสนุนแทน แรงงานด้านผู้เชี่ยวชาญจึงไม่บูมเหมือนเดิม
ในมุมมองระดับประเทศ สังเกตไหมครับว่า นศ.จบใหม่ ของทางอเมริกา เมื่อมีไอเดียแปลกใหม่ก็มักจะรวมตัวกันตั้งบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญทางด้านที่สนใจอยู่ เมื่อบริษัทที่ใหญ่ๆ เห็นว่าไอเดียดี ก็จะเข้าขอซื้อกิจการ ซึ่งจะเห็นว่าโอกาสของผู้มีไอเดียหรือเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้น บ้านเค้าเปิดโอกาสและมีงานสนับสนุนเต็มที่ ส่วนบ้านเรามันเหมือนเป็นวัฒนธรรมทางสังคม ว่าใครคิดอะไรแหวกแนวนั้นตลกหรือบ้า ในบ้านเราก็มี incubator หรือ venger capital อยู่มาก แต่ขาดความคิดสร้างสรรความเชี่ยวชาญมาเติมให้ธุรกิจเกิดขึ้นได้ เรื่องนี้หาข้อมูลได้จากซอฟแวร์ปาร์คครับ ผลที่ตามมาทำให้ทุกคนอยากหนี้ไปสายบริหาร เพราะคิดไอเดียอะไรออกก็ไม่เกิด สังเกตได้ว่าทุกคนที่จบตรีแล้ว ต้องการไปต่อ MBA มากกว่าต่อสายเดิม
ในมุมมองระดับเอกชน เนื่องจากซอฟแวร์เฮ้าส์ในบ้านเรามีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับต่างๆ ประเทศ คือ มีบุคคลากรประมาณสิบกว่าคน อย่างมาก 30 คน และเกือบทั้งหมดไม่มีส่วนงานด้านวิจัยที่จะนำเทคนิคต่างๆ มาใช้ในการผลิตซอฟแวร์ จึงไม่มีงานหรือตำแหน่งสำหรับวิศวกรซอฟแวร์ระดับสูงหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ โครงสร้างองค์กรมักจะกว้างตามแนวนอน เพราะมีคนน้อย คนในองค์กรจึงต้องทำหลายหน้าที่ในเวลาเดียวกัน คือ เน้นคนที่ทำได้หลายอย่าง มากกว่าคนที่เก่งมากๆ อย่างเดียว
ในมุมมองภาคการศึกษา บ้านเราทำซอฟแวร์แบบยังไม่เป็นอุตสาหกรรม ขาดการใส่ใจกรรมวิธีผลิต ขาดการสร้างคุณภาพ เพราะมุ่งอยู่ 2 อย่าง คือ เสร็จตามกำหนดและได้ราคาตามต้องการ ส่วนเรื่องคุณภาพนั้นผู้ใช้ไม่เห็นอยู่แล้ว ทำให้เป็นอีกเหตุนึงที่ทำให้ไม่ต้องการผู้เชี่ยวชาญหรือโปรแกรมเมอร์ชั้นสูง ทั้งนี้บ้านเราก็เพิ่งเริ่มมีการให้การศึกษาทางด้าน Software Engineering ตามมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ ไม่ถึง 4 ปี ซึ่งสาขานี้จะผลิตบัณฑิตที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตซอฟแวร์โดยเฉพาะ เนื้อหาจะแตกต่างจากการเรียนวิศวะฯ คอมฯ หรือวิทยาศาสตร์คอมฯ โดยจะเน้นที่การสร้างคุณภาพ การวางแผนผลิต กรรมวิธีผลิต การตรวจสอบ ดูตัวอย่างหลักสูตรของบ้านเรา จะเห็นว่าบ้านเรายังต้องการการพัฒนาให้เป็นอุตสาหกรรมอีกมาก โครงสร้างของค่าตอบแทนจึงจะสมดุลเหมือนทางตะวันตก
ส่วนอื่นๆก็เห็นตรงตามที่ทุกๆ คน แสดงความคิดเห็นไว้ครับ
+1 ครับ เราควรใส่ใจกับการทำ software engineering
My com My source & My life
อันนี้ของมองในมุมมองของผมนะ จากประสบการณ์ตรง พบว่าที่ มอผมนั้นพวกภาคคอมนั้นค่อนข้องมีประสบการณ์ในการเขียนโปรแกรมน้อย มาก มาก ทั้งในด้าน ความคิดที่เป็นตรรกะ และ algorithm ส่วนในด้านอื่น ๆ นั้นเช่นพวกด้านกราฟฟิก หรือ อย่างอื่นนั้น ผมรู้สึกว่าพวกนี้ยังไม่เข้าใจหลักที่แท้จริงยังคง ยึดติดกับอุปกรณ์เกินไปทำให้ไม่ค่อยได้ขัดเกลาฝึมือตัวเอง
สมมุตินะ ถ้าผมมีสตูดิโอผลิตซอฟแวร์พาณิชซักตัว ผมต้องการคนแบบไหน ผมต้องการคนที่ไม่จำเป็นต้องเคยใช้โปรแกรมนั้นโปรแกรมนี้หรอก แต่ผมต้องการคนที่มีความสามารถในการพัฒนาให้เข้ากับระบบองค์กรของผมได้มากกว่าสิ่งที่สำคัญคือ หัว มากกว่าว่าคนนั้นมีศักยภาพพอรป่าว
ผมเองกลัวเหมือนกันนะว่าเราเองจะตก Trend ตรงนี้ไป ขอบอกไว้อย่างหนึ่งตามความคิดเห็นผมนะ บ้านเรายังขาด Network เป็นอย่างมาก ที่จริงยุคนี้การที่คนจะมา สมาคมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นเรื่องที่น่าจะทำได้ง่าย เพราะมีหลายช่องทาง แต่ก็ไม่ค่อยมีคนทำกัน จะได้สนับสนุนกันเองมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปจำกัดแค่การเรียนในห้อง อย่างต่างประเทศตอนนี้ที่ Boom สุดคือ Social network
ที่ออกมาสนับสนุนการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมทางสังคมกัน เมืองไทยน่าจะมีแบบนั้นบ้าง สำหรับคนที่ทำงาน IT ไม่งั้นเราคงต้องเห็นเยาวชนมั่วกันแต่เกมส์จนละเลยการฝึกทักษะด้าน IT ทำให้สู้ประเทศอื่นไม่ได้ ส่งผลมาถึงตอนทำงานอีก บางคนต้องมาเริ่มใหม่หมด เพราะตอนเรียนก็ไม่สนใจ
งานระดับสูงๆในประเทศเรามันก็พอมี แต่ต้องทำกับต่างชาตินะ ผมว่าระดับหัวกะทิไทยคงมีไม่เท่าไรหรอก เพราะเราขาดความเอาจริงเอาจัง แถมขาดการสนับสนุนแบบเป็นรูปธรรม คงมาจากค่านิยมของไทยด้วยแหละ
Yimp::Webmaster Resources
http://yimp.6te.net
ผมเองเป็นคนที่พยายามกระตุ้นตัวเองให้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ พยายามตามให้ทันว่าโลกนี้เค้าไปกันถึงไหนแล้ว ณ วันนี้ถ้าผมมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มมา ผมก็พบกับเรื่องราวมากมายที่ผมได้เรียนรู้มาแล้ว แอบดีใจนิดๆ โอ้เราก็รู้เยอะเหมือนกันแหะ
แต่หลังจากที่หันกลับมามองทางด้านหน้า ผมก็ต้องยอมรับว่า ยังเหลือเรื่องราวอีกมากมายที่ผมควรจะต้องรู้ บางทีผมก็รู้สึกเหนื่อย บางทีก็เซ็งกับตัวเองในความเหลวไหลบางครั้งบางคราวที่ไม่ยอมใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้ สร้างเสริมประสบการณ์ให้มากกว่านี้ ทุกครั้งที่รู้สึกเหนื่อย ผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบ้านเรายังขาดนักพัฒนาที่มีคุณภาพ ผมเองอาศัยว่าใจรัก ยังมีท้อเลย นับประสาอะไรกับนักพัฒนาที่ขาดความใส่ใจในวิชาชีพของตนเองละ
ผมเองไม่อยากให้ใครต้องมานั่งศึกษาคนเดียว หาความรู้คนเดียวจากอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ต่างประเทศหรอก ผมรู้ดีมันไม่สนุก แล้วมันก็ช้ากว่าการที่มีคนแนะนำคอยสอนด้วยภาษาที่เราถนัดมากกว่า ผมเองก็พยายามจะผลักดันให้เกิดชุมชนนักพัฒนาขึ้นมาเสียที เพราะถ้ามีเรื่องอะไร ก็จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน มันเรียนรู้ได้ง่ายกว่า และอาจนำพามาซึ่งโอกาสดีๆ อีกมากมายที่เราอาจคาดไม่ถึงก็เป็นได้
คนเก่งมักจะพัฒนาตัวเองไปได้ทุกระดับด้วย บางคนเขียนโปรแกรมเก่ง แต่อาจเบื่อ coding เลยไปจับ SA แทน ทำงานๆ นานๆเลยไปได้เป็น IT Manager ซะงั้น
How could I say? I agree with many of you and I also want to add some more comment.
It might be wrong from the start since lots of students entering com-sci or com-eng faculty thinking that they will learn how to use photoshop. Lots of people still don't understand what com-sci or com-eng really have to learn. When I was in uni, whenever I told someone that I was studying com-sci, the 1st question that I recieved was "So u know how to use photoshop?"...... i'm spechless....
I think we need to educate the youngs. I mean, at least make them know what they are going to do entering this field!
There's no career growth for technical field -- in deed. I think this is an important issue.
If you work a bit long and you want to grow, you will have to become an SA, Project Manager, etc. You'll have take on the management duty. I have a friend who is a great programmer. She really loves to program and she did her job very well. But then 2 years passed after she 1st started to work. She was promoted to be a team leader. She said she still wanted to program and didn't want to do the management duty. But if she didn't do, then she couldn't grow. She'll stuck there and the salary wouldn't be increased. It's like....it's no choice. Money is absolutely important in reality. You can't just stuck there and be a programmer for all your life and not recieving any promotion. Sad but true.
Still, I dont think reducing the salary rate would help. I think it might get even worse.
Good salary will attract smart people.
Like Devman said, smart people can do many things.
If the salary rate is low, it will be like 'teacher' field in Thailand.
The smart ones won't apply to teacher faculty (ku-ru-sad).
The smart ones only go for well paid faculty like doctor, engineer, and computer.
End up? Kurusat is the last faculty that most of the students would think about. Isn't that sad? Because these students are gonna teach our kids in the future.
If there's a growth potential in technical feild other than management field in the company, that would be great.
I think the thing that would help is to open career growth of people working in technical field.
Instead of just
Programmer --> SA --> Manager
There should also have
Programmer --> Senior programmer --> Expert
something like that.
That would help people to stay as a programmer longer.
sorry for replying in english, i cant type thai at work.
เห็นด้วยเลย แต่ตำแหน่งงานในไทยไม่เอื้อจริงๆ เขียนโปรแกรมจนชำนาญ
ก็เลยโดนให้เป็น SA เลย อาจเป็นเพราะบริษัทนั้นๆ ผู้บริหารยังเข้าใจการเขียนโปรแกรมไม่พอ
โปรแกรมเมอร์จบใหม่ยังเขียนไม่คล่อง บั๊กเยอะ และกินระบบ ประสบการณ์ต่ำ
SA จัดการระบบได้ แต่ก็ไม่สามารถแจงรายละเอียดหรือเทคนิคให้โปรแกรมเมอร์ทั้งหมดได้
มันยังมีช่องว่างตรงนี้ แต่ไม่ถูกอุด สุดท้าย.. SA ทำหน้าที่ไล่เก็บบั๊ก LOL
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
เห็นด้วยและมันจริง
เมื่อผมเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเรียนไปได้สักพัก สิ่งแรกที่ผมสงสัยคือ อาจารย์แนะแนวมีหน้าที่อะไร
และผู้ใหญ่มักจะถามเราบ่อยๆว่า ชอบอะไร อยากเป็นอะไร แล้วจะตอบได้ไหมในเมื่อหลักสูตร มันก็ให้เรียนอยู่ในหลักสูตรอะนะ มันแคบ ไม่เปิดโลกทัศน์ จะมารู้อีกทีว่าชอบอะไรก็ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเนี่ยแหละ
และสังคม สิ่งแวดล้อม ค่านิยม ก็เป็นอีกสิ่งที่มีผล มหาลัยนี้ดีต้องเข้าให้ได้ ไม่สนหรอกจะเข้าคณะอะไร
เรียนคณะนี้สิ อนาคตได้เงินดี ได้เงินดีด้วย กำลังบูม ไม่สนหรอกว่าจะชอบอะไร
บ.ผมมีให้เลือกไปสองสายนะ สาย expert กับสาย management
คุณ smilelovehappiness ตอบดีมากเลยครับ ตอนนี้เท่าที่มองดูผมเองยังกลัวๆอยู่เลยว่าในระยะเวลาไม่นานนักสัก 4-5 ปีข้างหน้า เวียดนามน่าจะมาแรงมากทีเดียวในสายงานไอที เพราะทางประชาชนเขาก็ตื่นตัวกันมาก แถมรัฐบาลเวียดนามเองก็สนันสนุนได้ตรงจุด ผมเองก็เชื่อนะว่าเวียดนามจะไปได้เร็วกว่าเรา เผลอๆเขาจะแซงหน้าสิงคโปร์ด้วยซ้ำ
Yimp::Webmaster Resources http://yimp.6te.net
เอ่อ..พี่ไทยจะโดนเวียดนามแซงมันทุกด้านเลยเหรอคะ อะไรเนี่ยะ..... -_-"
ข่าวนี้ล่ะครับ ATIC ชี้ค่าจ้างเด็ก IT ไทยสูงเกินจริง เร่งจัดมาตฐาน แก้ปัญหา
ข่าวนี้ไม่รู้เรียกข่าวดีหรือร้าย คิดซะว่าค่าของเงินอยู่ที่ผลของงานละกัน :)
ปัญหาคือ ผู้ว่างจ้างต่างชาติ เข้ามาเปิดสาขาในไทยเยอะมากขึ้นด้วยครับ และพวกนี้มองว่าค่อครองชีพในเมืองไทยน้อยมากๆ จึงกล้าที่จะให้เรทเงินเดืองสูง โดยตอนนี้เด็กจบใหม่มาในสายงาน programmer เงินเดือนเริ่มที่ 25000-30000 บาท ครับ
แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเงินเดือนที่สตาร์ทสูง แต่อยู่ที่ว่าเมื่อเขาเริ่มเบื่อบริษัทนั้นๆ แล้วเริ่มที่จะหาที่ใหม่ๆ มันจะทําให้วงจรเงินเดือนผันผวนมากครับ เพราะนายจ้างที่ใหม่เริ่มชะงัก เพราะสตารท์มาสูงเหลือเกิน จะให้ระดับ 30-45 มันก็ตําแหน่ง manager แล้วอะครับ
มองหาคนที่สามารถสอน PHP และ Actionscript มีใครบ้างที่รู้จริงและสามารถสอนได้บ้างคะ
ติดต่อที่อีเมล์ pethirth@yahoo.com ค่ะ
Thanks
June
เป็นประเด็นที่ไม่ล้าสมัยจริงๆ
แต่เก่ามาก = =!
ความหมายคือเป็นปัญหาเรื้อรัง!!!
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ผมว่า ประเด็นที่ว่าเด็กจบใหม่ไม่ค่อยมีคุณภาพนี่น่าคิดนะครับ ...
อ.ผมท่านนึง มาบ่นกับผมว่า เด็กรุ่นปี 50 (รุ่นน้องผมเอง) ตกวิชา Computer Programming 1 (ที่เป็นวิชาที่ง่ายที่สุดในภาค) ประมาณ 70% (ขอไม่พูดถึงอีก 30% ทีเ่หลือนะ) ที่เหลือเชื่อคือ อ.หัวหน้าภาควิชาไปคุยกับอ.ผมว่า ขอให้เด็กผ่านถึง 50% ได้มั้ย ...
(อยากทราบว่ามหาลัยอะไร... ลองหาดูนะครับว่าผมจบจากที่ไหน)
ปล. งานผมตอนนี้เป็นไอ้นี่ครับ :-)
งานส่วนมากเป็นการเอาธุรกิจลูกค้ามาแปลงเป็นหน้าจอแล้วต่อกับฐานข้อมูล
ThaiGameDevX -- The First Game Developer Community in Thailand.
จริงๆ แล้วก่อนจะเรียนเขียนโปรแกรมควรจะเรียนตรรกศาสตร์ก่อน
ไปขายเต้าฮวยดีกว่า
ปล. ขุดมาได้ แหล่มจิง
บล็อกของผม: http://sikachu.com
บล็อกของผม: http://sikachu.com
โอว เพิ่งสังเกตวันที่
เห็นแต่บอกว่า start 17k-18k แล้วก็ 25k-30k ผมยังไม่เห็นได้เลย
มีที่รับสมัครบ้าง ผมจะได้ไปสมัคร ตอนนี้ผมได้ 15k ก็น้ำตาร่วงแล้ว
กำเพิ่งเห็นวันที่ด้วยคน
DST, Reuters, Bombardier และอีกเยอะแยะ
exxon, accenture(บางแผนก), pwc
---
Khajochi Blog : It's not a Bug ... It's a Feature
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
พวกนี้จะมีเรื่อง ภาษาเข้ามาด้วยครับ ที่เด็กจบใหม่ หรือโปรแกรมเมอร์บ้างคนได้เงินเดือนน้อย เพราะ เรื่องภาษานี้แหละครับ
จะโทษสถาบันอย่างเดียวมันก็กระไรอยู่นะครับ เพราะว่า เป็นนักศึกษา ไม่ใช่ นักเรียน ผมไปสัมภาษงาน แล้วเพื่อนผมเคย ฝึกงาน พี่ที่นั้นเขาก็บอกว่า ไม่รู้จะโทษ ตัวนักศึกษาเอง หรือ โทษสถาบัน ดี ผมตอบเลยครับ ว่า โทษตัวนักศึกษาแหละครับ ก็อธิบายให้เขาฟังว่าเราเป็นนักศึกษาไม่ใช่นักเรียน
ผมถือว่าได้เปรียบมากที่ผมรู้จัก blognone เพราะว่า blognone เหมือนศูนย์รวมข่าวไอทีที่ดีที่สุดในบ้านเราตอนนี้ ผมเข้า blognone นี้ผมได้เปรียบเพื่อนมากเลยครับ เพื่อนผมมันก็ถามว่า ผมไปอ่านข่าวจากเว็บไหนบ้าง ผมก็บอกว่า blognone
ที่ผมอธิบายให้ฟังนี้ ก็คือ ปัญหาของนักศึกษาคือ
1. ไขว่คว้าน้อยไปหน่อย(ไม่ทำตัวให้หิวโหย และ โง่เขลา เหมือน steve jobs ว่า)
2. ไม่ได้ชอบในการเรียนแต่เห็นว่า computer เงินเดือนดี อันนี้น้องที่รู้จักกันเขาก็บอก แม่อยากให้เรียนเขาไม่ชอบ เขาจึงไม่สนใจ (วอร์เรน เอดเวิร์ด บัฟเฟตต์ บอกว่าเราต้องลงทุนในสิ่งที่เราเชี่ยวชาญ (จะเชี่ยวชายได้ตัวผมคิดว่าเกิดจากการชอบก่อน))
3. ใช้ internet ไม่เป็น ส่วนมาก เล่น internet (อย่างที่พูดครับ ว่า ตามข้อมูลข่าวสารไม่เป็น)
4. ใช้เวลาว่างไปกับเรื่องไร้สาระ (อันนี้ผมก็เคยเป็น)
5. ไม่ได้ศึกษาหรือดูข้อมูลมาก่อนว่า สาขาที่ตัวเองเรียน เรียนอะไรบ้าง ทำให้ไม่รู้ว่าตัวเองชอบหรือเปล่า
อาจจะมีเยอะกว่านี้แต่ผมนึกไม่ออก อันนี้คือปัญหาที่เจอกับเพื่อนและผมเองตอนเรียน
แสวงหามิใช่เพราะรอคอย เชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส ชำนาญมิใช่เพราะโชคช่วย"ดังนี้แล้วลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"chonlatee
ยกตัวอย่างผมได้นะครับ
อายุ 25 เงินเดือน 40k. ครับ เป็นโปรแกรมเมอร์ครับ ( บริษัท ฝรั่งครับ )
เขียนโปรแกรมมาประมาณ 2 ปี ( เกรดได้ 2 กว่าๆ จาก ม. โนเนม ) ผลงานของผมก่อนมาทำบริษัทฝรั่ง
ก็ เขียน Web application แทน win app ให้หน่วยงานรัฐครับ ถือว่า โชคดี ระดับนึง
ถ้าถามว่าเก่ง ไหมหรอครับ ก็ทำข้อสอบโปรแกรมมิ่ง(php/js/sql/xhtml/python/css) ได้สูงสุด
ของบริษัทอะครับ จากผู้สมัครคนอื่น ที่มีประสบการณ์ทำงาน มากกว่า 3-5 ปี ( มีจาก ม. รํฐบาล ดังๆ
ด้วยแหละครับ )
ปัญหาที่ผมเจอ คือ โปรแกรมเมอร์ อายุเยอะ บางคนจะชอบยึดติด ไม่ชอบฟังความคิดเห็นคนอื่น
บางคนบอก เซียน OOP ถามว่า เมื่อไรใช้ interface/ abstract ก็ยังไม่รู้
การดีไซน์ โค้ด ก็ยังไม่รู้ Gang of 4 ก็ไม่รู้จัก โค้ดที่ได้ผลลัพธ์เหมือนกันทำไงให้ใช้ เวลา
Process น้อยที่สุด Algorithm หรือพวก Big O ก็ไม่รู้จัก มันเลยมีส่วนทำให้ถึงทางตันมากกว่า
ครับ
ผม ชอบการบริหารของฝรั่งนะครับ
คือ เขาไม่สนอายุ หรือ สถาบันเลย เขาวัดที่ความสามารถจริงๆ ครับ
ไม่มีความจำเป็นที่คน อายุเยอะ กว่า จะต้องมาคุมคนอายุน้อยกว่า อายุน้อยก็ สามารถ
คุมงาน หรือทำตำแหน่ง ใหญ่ๆ ได้ ถ้าคุณมีศักยภาพ พอ ยิ่งสถาบันนั้น เขาไม่ดูเลย
ถ้า ของไทย นะหรอครับ ( จาก จุฬา รับ ก่อน ดี ไม่ดี ค่อยว่า กัน ทีหลัง - ขอโทษที่ยกตัวอย่างนะครับผม )
ปล. อย่าด่าผมนะครับ ( แต่ทั้งรุ่นที่จบมาของผม เขียนโปรแกรมเป็นกันแค่ 2 คน ที่เหลือ ไปทำพวก support
หมด - -")
กำ เพิ่งเห็นวันที่ 2005 ครับ ไม่ต้องเลื่อนไปดูข้างบน แล้วนะครับ อิอิ
"กำ เพิ่งเห็นวันที่ 2005 ครับ ไม่ต้องเลื่อนไปดูข้างบน แล้วนะครับ อิอิ "
อ้าว กรำ ผมก็กำลังเห็นนี่แหละไม่ได้สังเกตุ - - สงสัยกระทู้น่าขุด
+1
ชีวิตสวยหรูอย่างน่าอิจฉาเลยทีเดียว : )
ดูจากวันที่แล้ว แสดงว่าเราก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลยนะครับ ยังซอยเท้าเหมือนเดิม
ผมเห็นโปรแกรมเมอร์เปลี่ยนบริษัทเพราะเงินสูงกว่าบ่อย ๆ
มีคนที่เปลี่ยนที่เพราะงานยากมั่งมั๊ยครับ?
ผมคนหนึ่ง แต่เงินลดมากเพราะเข้าไปทำในองค์กรที่เป็นกึ่งเอกชน บวกกลับงานที่ทำดันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดไว้ว่าจะได้ทำ ปัจจุบันเลย move แล้วครับ - -
1.ถ้าเขาฉลาด .... เขาจะหาทางพัฒนาตนเองได้ไม่มีที่สิ้นสุด และเลือกที่ที่เหมาะกับเขาได้ในเวลาไม่นาน
2.เงินเดือนเริ่มจากการที่เขาอยู่ได้ก่อน ... จากนั้นพัฒนาตัวเองยิ่งขึ้น และนั่นทำให้เหตุในการได้เงินเดือนมากยิ่งขึ้น (หากบริษัทมันเลวก็ออกเสียเถอะครับ)
3.หากไม่มีัอะไรทำ ... ทำเองแล้วก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเราทำได้ หากทำไม่ได้ก็แปลว่าเราไม่มีข้อ 1
ผมเคยรับสมัครงาน Flash Developer ให้เงินเดือนสามหมื่น ... มีคนสมัครมาเกิน 30 คน มี 5 คนไม่รู้วิธีลงโปรแกรม Flash บนเครื่อง ที่เหลือทำตัวอย่างงานทดสอบไม่ได้เลย (ตัวอย่างงานคือ ดัดแปลง Skin ของ JW Player ซึ่งถ้าอ่าน How to ก็ทำได้หากมี Skill) มีคนเดียวที่ทำได้ แต่อธิบายสิ่งที่เค้าทำไม่ได้ แปลว่าอ่านไปทำตามไป แต่ไม่ได้คิดอะไรเลย พอให้อธิบายออกมาก็อธิบายมั่วซั่วอีกต่างหาก
ก็เลยสงสัยว่า 3 หมื่นเรียกไม่ได้ .... ถ้าเพิ่มเป็น 5 หมื่นก็คงเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่ 8 หมื่นสำหรับ Flash Developer คงไม่มีคนทำงานได้ ... ทุกคนเป็นแค่เขียนเกมส์ Flash ให้เว็บไซต์ธรรมดา
มีงานยากให้ทำเยอะแยะครับ ... งานง่ายก็เยอะแยะ แต่ว่าคนที่เข้าใจงานไม่มีเลย ... รู้ ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูกไม่ได้หมายความว่าจะสามารถอ่านเขียนภาษาไทยได้ และนั่นคือคนไทยส่วนใหญ่ที่ผมพบเจอ
ส่วนคนที่มันดีจริงๆ ... ผมจะเล่าให้ฟังครับ
เค้าเข้ามา ... สมัคร Network Admin ... มาถึงสามารถบอกว่าทำให้บริษัทผมดีขึ้นได้ เค้าเปิดเว็บผมแล้วบอกว่าจุดที่จะพัฒนามีอะไรบ้าง ... เค้าบอกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะแก้ยังไง แต่ขออ่านในเว็บดูก่อนว่าจะแก้ใขได้หรือเปล่า .... หายไปอ่านแป๊ปนึง ... กลับมาบอกว่าทำได้ ... แต่ต้องศึกษานิดหน่อยในเรื่องนี้ๆนั้นๆ ผมขอเงินเดือน 15,000 บาท ผมอยู่ได้ ... ที่เหลือจะขึ้นให้ผมก็ดูงานของผมก่อน
ผ่านไป 8 เดือน ... ตอนนี้เขียน Action Script 3 เป็นแล้ว แล้วก็เขียนให้ด้วย จากนั้นเค้าก็ถามผมว่าอยากขึ้นเงินเดือนให้เท่ารุ่นน้องเพราะคนอื่นๆจบมาทำอะไรไม่เป็นเลยแต่ได้ 2 หมื่น ... อายรุ่นน้องตัวเอง
เห็นอย่างนี้แล้วค่อยน่าให้ ... จะขึ้นเงินเดือนให้ปีนี้เป็น 25,000 แล้วก็จะให้เป็น Flash Developer เลย แล้วพอผมบอกว่าผมอยากทำอย่างนี้ ... เค้าก็จะศึกษาความเป็นไปได้ ... แล้วก็ลองทำ ... ได้ไม่ได้เค้าก็จะบอก
คนอย่างนี้หาได้ซักกี่คนเชียวในประเทศไทย ?
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
:: Take minimum, Give Maximum ::
+100 เลยครับ
+10000
ที่นี่ประเทศไทย
ขอขอบคุณจริงๆครับ อ่านแล้วเห็นอะไรขึ้นอีกเยอะมากเลยครับ สำหรับ Reply นี้
+100
หัวหน้างานอย่างคุณหาได้ซักกี่คนเชียวในประเทศไทย ?
+1
บริษัทคนไทย ให้ความสำคัญกับคนด้านเทคนิคน้อยเกินไปครับ
สุดท้ายมันก็ต้องพัฒนาตัวเองแหละครับ
ถ้าอะไรที่มันเริ่มจะสแตนดาร์ด เราก็ต้องพัฒนาตัวเราเองไห้เหนือสแตนดาร์ดขึ้นมาอ่ะนะ
โอ้ เหมือนง่ายแฮะ lol
โดนขุด ขึ้นมาอีกแล้ว (- -! )
"If debugging is the process of removing software bugs,
then programming must be the process of putting them in."
@: เริ่มต้นขั้นต่ำเฉลี่ยแล้วน่าจะอยู่ที่ 17,000 - 18,000 บาท
=: เชียงใหม่ บริษัทเอกชนไทย จะเริ่มต้นที่ 7,500 บาท และบริษัทฝรั่งจะเริ่มที่ 12,000 บาท หากมีประสบการณ์ครบ 1 ปี เอกชนไทยจะเพิ่มให้เป็น 12,000 ส่วน เอกชนฝรั่งจะเป็น 14,000 สำหรับราชการไทย ลูกจ้างชั่วคราวเริ่มต้นที่ 7,940 บาท + เงินช่วยเหลือค่าครองชีพอีก 1,500 บาท รวมเป็น 9,440 บาท หากเป็นลักษณะพนักงานของรัฐจะได้ 10,890 บาท
เมื่อดูจากอัตราเงินเดือนนี้ บวกกับปัจจัยค่าครองชีพในปัจจุบัน ถือว่าไม่ได้สูงอย่างที่ จขกท. เข้าใจ (มันต่ำอยู่แล้ว)
หลายปีแล้วครับ
Moss 's blog
มาเจอเข้าโดยบังเอิญ
ผมว่าเนื้อหามันยังทันสมัยอยู่นะ
หรืออีกนัยนึง เนื้อหามันยังทันสมัยอยู่..
เพราะ (ไทย)เราไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเร้ยยยย ยังวนอยู่กับปัญหาเดิมๆ ?!?
อ่านแล้วได้คิดหลายอย่างเลยครับ
ขอบคุณครับ เนื้อหาของแต่ละท่านมีประโยชน์ดี ทำให้ผมคิดได้ ว่าควรปรับปรุงอะไรอีกเยอะ เพื่อจะก้าวเข้าสู้อาชีพนี้
ที่ USA มีระบบ venture capital ที่แข็งแรง
ทำให้มีแรงดูดคนเก่งๆที่มีไอเดียธุรกิจเองให้ออกไปได้ทุน
เป็นเจ้าของกิจการน้อยๆ มีโอกาสรวย
ฯลฯ
... แรงดูดนี้ทำให้ระบบเงินเดือนโปรแกรมเมอร์ลูกจ้างต้องสูงขึ้นมาเป็นพิเศษด้วย
5 ปีมาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเแลี่ยนไปเลย เหอๆ
{$user} was not an Imposter
อ้าว หลงตอบไปหลายความเห็น กระทู้เก่าเหรอเนี่ย
แต่มันก็ยังมีปัญหาแบบนี้อยู่ดี แต่อาจลดลงบ้างแล้วมั้ง
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจดีนะครับ ถึงแม้จะไม่ใช่สายนี้ก็เอาไปอแดปไดเเหมือนกัน
ผมโทษผู้บริหารประเทศด้วยส่วนนึง
ถ้ามีการลงทุนวิจัยจากรัฐบาลมันน่าจะช่วยได้นะ
ผมว่าช่วงที่มีการจัดงาน ICT Expo ครั้งแรก ไปได้สวยนะเห็น Innovation ใหม่ๆเยอะมาก แต่หลักจากหมดรัฐบาลชุดนั้นไปไม่รู้เกิดอะไรขึ้น
SW Park+ SIPA คอรัปชั่นกันสนุกสนาน มีแต่อบรมการใช้งานซอฟท์แวร์ ส่วนการทำ Business Matching ไม่มีเลย
ผู้บริหารที่เก่งๆไม่มีใครเข้ามายุ่ง หนีไปทำเอกชนกันหมด จากที่เคยร่วมมือกับเอกชนใหญ่ เอกชนก็หนีออกไปหมด
Incubation Center ก็เกิดยาก ต่างจังหวัดเงินเดือน เริ่มที่ 12k ต่อให้เก่งแค่ไหน ทำไปก็ขึ้นปีละ 1000 ตันที่ 20000
ระบบ Network ก็ห่วย เน็ตดีๆแพง จะเปิดบริษัทในโรงรถนี่ฝันเอาครับถ้าไม่ได้อยู่กทม.
จะกระจายงานออกต่างจังหวัดไม่ได้ทั้งที่มหาลัยก็เต็มประเทศ
ปล.ผู้บริหารประเทศปัจจุบันคุณเห็นอะไรที่เค้าผลักดันเทคโนโลยีบ้างละไม่มีนโยบายด้านนี้เลยจริงไหม มีแต่ดิ้นรนหนีตายกันเอง ผมว่าคนไทยมาได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วครับ
ไม่ต้องต่างจังหวัดหรอกครับ ผมก็เริ่มต้น 12k ซึ่งผมมองว่ากลางๆนะ เพราะผมเคยเจอมาแล้วพี่คนนึงที่ออฟฟิศเริ่มต้น 8k ทำทุกอย่าง ปัจจุบันพี่แกเทพมากครับ
ผมเจอโปรแกรมเมอร์เด็กๆ หลายคนที่เอาแต่โทษทุกอย่างที่อยู่รอบตัว คนนั้นไม่ดี คนนี้ห่วย ไอ้นั่นก็แย่ และไม่เคยคิดพัฒนาตัวเอง พอโดนที่ทำงานบีบออกก็ต้องหางานใหม่ พอได้งานก็ประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเราได้งานแล้วนะ ทั้งที่ไม่ได้รู้เลยว่าคนที่บีบคุณออกเค้ามองคุณอย่างไร ..
สิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่อยู่ที่ตัวเราเอง .. อินเตอร์เน็ตช้า แต่ก็ไม่ช้าเกินกว่ายุค dial หรอกครับ สมัยนี้หาข้อมูลอะไรก็ง่าย พัฒนาตัวเองได้ง่ายครับ อยู่ที่จะทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ถ้าโปรแกรมเมอร์ประสบการณ์ 3-4ปี นี่เงินเดือนควรเป็นประมาณไหนอะครับ
ความสามารถกลางๆ เรียนรู้ได้ดี
หลายปีผ่านไป เรทเงินเดือนเท่าเดิม แต่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
การจะเป็นโปรแกรมเมอร์ระดับ Expert มันต้องเริ่มจากหลายอย่าง
ตั้งแต่เด็กละ ต้องรู้จัก รักใน การคำนวน คณิตศาสตร์
อาจารย์ต้องสอนว่า คำนวนนี้ เพราะอะไร ไม่ใช่ ให้ท่องสูตร ท่องแต่สอบ
สูตรกางนิ้วมือ หาค่า sin cos tan ปัญญาอ่อน
ให้นักเรียนรู้สิ ว่าค่า sin/cos/tan หายังไง และมีประโยชน์ยังไง
ถึงจะคำนวนเอง หรือใช้เครื่องคิดเลข สุดท้ายคนที่เข้าใจว่า sin cos tan มีประโยชน์ยังไง
ก็จะกลายเป็น expert ไปในที่สุด (แค่ตัวอย่างนะ)
ยกตัวอย่าง game programmer เรียนเขียนโค้ดมาแทบตาย แต่ใช้ vector ไม่เป็น
ไม่รู้ประโยชน์ของตรีโกณ ถามว่า เฮ้ย จบคณะเกมมา เขียนเกมตีกอล์ฟให้ดูหน่อย
จะมีซักกี่คนนึกถึง vector นึกถึงตรีโกณคำนวนหาองศาในการตีลูกกอล์ฟ
เพียงแค่อยากให้เห็นว่า Programmer ระดับ Expert ไม่ใช่เขียนโค้ดเก่ง หรือเข้าใจ OOP หรือใช้ design pattern ทุกชนิดคล่อง มันต้องประกอบไปด้วยศาสตร์อื่นๆด้วย physic/math อะไรอีกเยอะ
ซึ่งคนที่เรียนเขียนโค้ด จะมีคนที่แม่นเรื่องพวกนี้มาจากมัธยมน้อยมาก
นอกจากความรู้แล้วใจต้องรักด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ใครเห็นโึค้ดแล้วนึกถึงเงินเดือนอย่างเดียว นั่นไม่เรียกว่ารัก
ใครเห็นโค้ดแล้วกระโดดโลดเต้น ตื่นเต้นไปกับมัน นั่นถึงจะเรียกว่ารัก
จริงๆการเขียนโค้ดเหมือนศิลปะ ที่เราสร้างสรรค์ ให้อัลกอริทึมสวยงาม ได้ผลลัพท์ที่ปราณีต
จะมีใครรู้บ้าง ว่าดาวินชี คิดอะไรตอนวาดภาพโมนาลิซ่า มันก็คงไม่ต่างจากโปรแกรมเมอร์กำลังพิมพ์โค้ดเท่าไหร่หรอก
นั่นแหละถึงจะเรียกว่ารัก
+1 ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีดีครับ :)
ผมมองว่าความรู้ส่วนใหญ่เกิดจากการขวนขวายด้วยตนเองนะครับ
จะโทษเรื่องการเรียนการสอนก็ไม่ถูกต้องนัก
แต่ปัญหาหลักของการศึกษาไทยเท่าที่ผมดูคือ
นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่สนใจที่จะใฝ่หาความรู้เลย
รอคนอื่นป้อน ไม่เข้าใจถึงหน้าที่ของตัวเองที่พึงกระทำ
ยิ่งคณะเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่
ลอกกันโครมคราม จบมาสมองโล่ง
ว่าแต่เรื่องตรีโกณมิติ ผมมาก็เพิ่งเข้าใจทุกอย่างเอาตอนเรียน Communication Systems แล้วแหละครับ
หลังจากท่องจำมาเป็นสิบปี เพิ่งมาเข้าใจเพราะเราสงสัยทำไมถึงเป็นแบบนี้
+1 สำหรับคณิตศาสตร์ครับ จำเป็นมากโดยเฉพาะ discrete math กับ concrete math แล้วก็พวก mainstream math สาขาอื่นๆ
+1 เห็นด้วยครับ
เพื่อนผมหลายคนไม่ชอบคณิต มันจะบอกว่า เรียนไปก็ไม่ได้ใช้ ที่ใช้ก็มีแค่บวกลบคูณหาร จะเรียนไปทำไม?
เมื่อก่อนผมก็เชื่อนะ แต่พอเดวนี้ ผมเริ่มรู้ว่า คณิตศาสตร์อยู่รอบตัวเรา
เอาง่าย ๆ ให้เราหาจำนวนนัดการแข่งขัยของการฟุตบอลโลก ว่ามีเท่าไหร่?
บางคนมันยังคิดไม่ได้เลย มานั่งโยงเส้นจับคู่บ้าบออะไรไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่หาค่า factorial เอาก็จบแล้ว
ผมว่าคณิตศาสตร์มีประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติจริง ๆ
ทำงานฟรีแลนซ์ได้เงินเยอะกว่างานประจำเสียเองความจริงแล้ว แต่ทำไงได้ ต้องหาหลักไว้ด้วย
ชอบครับ อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ อ่านแล้วน้ำตาไหลเลย ขอบคุณที่ขุดกระทู้ดีๆมาให้อ่านนะครับ
ผมเชื่อว่าความรู้ที่ได้จากการเขียนโค๊ด สำคัญยิ่งกว่าเงินที่ได้ตอบแทนอีกครับ
เงินมากกับงานหิน ผมเลือกงานหินเงินน้อยครับ
ผมเลือก งานเยอะ เงินหิน ครับ
onedd.net
นั่นสิ อันนี้แอบสงสัยว่าทำไมถึงอยากทำงานหนักเหมือนกัน แต่ได้ผลตอบแทนน้อยกว่า
ความสามารถผมยังไม่ถึงขั้นที่เลือกเงินได้ แต่ผมสามารถเลือกงานที่ดูมีอนาคตสำหรับผมได้ไงครับ ถึงเงินมันจะน้อยก็เถอะ
นั่นสิ
มันต้องเป็น งานหินเงินเยอะ เสะ - -a
onedd.net
ความเห็นผมนะ
-สังคมไทยชอบเปรียบเทียบเพื่อตัดสินอะไรบางอย่าง
-คนไทยมักจะฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบไปทำอย่างอื่นที่คิดว่าตัวเองก็ทำได้และคุณภาพชีวิตตัวเองจะดีขึ้น ทั้งๆที่สิ่งที่ตนเองชอบนั้นทำได้ดีมากๆอยู่แล้ว (แต่ผลตอบแทนมันน้อย จะทำไปทำไม??)
คงหาความพอดีได้ยากครับสำหรับสังคมไทย ที่มีวัฒนธรรมการคิดเป็นเอกลักษณ์อย่างนี้ เราต่างหากที่จะอยู่กับสังคมแบบนี้แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองและคนรอบข้างให้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข คิดว่าคงคุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้และไม่ได้นะครับ
เอาเป็นว่าผมไม่ถนัดวิคราะห์แบบที่ทุกๆ คนทำ
ผมรู้แต่ว่าคนส่วนมากอยากได้เงินมากกว่า
ตั้งแต่ทำงานมา ในออฟฟิซที่ผมผ่านๆ มามีแต่ผมคนเดียวที่ไม่ได้อยากเลื่อนตำแหน่งหรืออะไร เพราะผมชอบเขียนโปรแกรมมากกว่า อยากเป็นโปรแกรมเมอร์ไปตลอดชีวิต
แต่พอพูดอย่างนี้ก็โดนหาว่าไม่มีความก้าวหน้า ไม่ทะเยอทะยาน หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่เติบโต อ่อน ด๋อย ฯลฯ
ผมก็ไม่เข้าใจว่าถ้าผมเป็นโปรแกรมเมอร์ไปตลอดชีวิตมันน่าเศร้าและอับจนขนาดนั้นเลยหรือ เงินน่ะใครๆ ก็อยากได้แหละ แต่ในไทยมันคงมีน้อยมากที่ตำแหน่งโปรแกรมเมอร์จะเงินเดือนเท่า Manager มันก็เลยหนีไปเป็น Manager กันหมด
ไหนใครอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ไปตลอดชีวิต ขอเสียงหน่อย
นี่ก็คนนึงแหละ
ผมอีกคน
I will change the world, to the better day.
ผมแค่อยากทำงาน technical ไปตลอดนี่รวมไหมครับ?
lewcpe.com, @wasonliw
รวมครับ
นับหมดทุกคนที่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และไม่แคร์สังคมที่ประนามเราว่าไม่เจริญก้าวหน้า
แต่ถ้าใครรักงานบริหารจัดการ แล้วอยากเป็นแต่ผู้จัดการก็นับครับ(ฮา)
อยากให้สังคมไทยมีคนแบบคุณเยอะๆ ครับ รู้จักตัวเองว่าชอบอะไรแล้วก็มุ่งไปทางนั้นเลย ประเทศก็จะมีผู้เชี่ยวชาญเยอะๆ
ดูรายการ TV Champion หรือ Iron Chef เห็นมือโปรของญี่ปุ่นเค้าตั้งใจทำงานในอาชีพเค้ามานับสิบๆ ปี หรืออย่างวงการดนตรีต่างชาติ มือโปรที่อายุมากๆ ก็ได้รับการยอมรับอย่างสูง แตกต่างกับวัฒนธรรมบ้านเรามาก
โดยส่วนตัวผมก็อายุขึ้นเลข 3 แล้ว ตอนนี้ยังอยากจะเขียนโปรแกรมไปเรื่อยๆ อยู่เหมือนกัน แต่อนาคตยังไม่รู้...เพราะนี่คือประเทศไทย
ผมเคยไปทำงานบริษัทข้ามชาติมาครั้งหนึ่ง มาจากยุโรป ตอนเข้าไปทำต้องศึกษาเทคโนโลยีเขาใหม่หมดเลย เพราะเขาไม่ได้ใช้แบบทั่วไปอย่าง java หรือพวก .net หรือภาษาทั่วไป เราก็ลองดูสักตั้งคิดว่าถ้าผ่านตอนแรกไปได้อนาคตดีแน่ๆ ซึ่งต้องบอกว่าตอนทดลองงานเงินเดือนแค่หมื่นต้นๆเอง แต่โปรแกรมเมอร์อีกคนที่ทำงานอยู่ก่อนแล้ว(เป็นชาวยุโรป) ได้เงินเดือนเรทยุโรปธรรมดาๆ แต่ตีเป็นเงินไทยแล้วเดือนๆหนึ่ง ได้เกือบแสน เรียกว่ามาทำงานบ้านเราเพื่อเก็บตังได้สบาย...
...ผ่านไป 6 เดือน ผมมั่นใจเลยว่าผมเชียวชาญในเทคโนโลยีนี้แน่นอน เรียกว่าอยากได้อะไรบอกมา เดียวทำให้เป็นจริงเองและงานที่ทำได้ก็เรียกว่าไม่น้อยหน้าโปรแกรมเมอร์ที่ทำอยู่ก่อนแล้ว ปรากฏตัวเลขอนุมัติเงินเดือนมาจากยุโรปสำหรับพนักงานจ้างประจำของผมคือ เพิ่มมาจากเดิมในช่วงทำลองงานขึ้นมาอีกหนึ่งหมื่นบาทและจะมีพิจารณาเพิ่มให้ทุก 6 เดือน โอโห้เหมือนหนทางจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่แล้วผู้บริหารคนไทยที่อยู่สาขาไทยบอกว่าเพิ่มให้ผมแค่พันเดียวพอ ในที่สุดเรทเงินเดือนใหม่ของผมก็คือ จากหมื่นต้นๆเพิ่มมาอีกพันเดียว จบข่าวเลยครับ ผมคิดแล้วว่าอยู่ไปก็ไม่รุ่งแน่เลยออกทันที เรียกว่าเซงเป็ดไปตามๆกัน
ตอนลาออกเป็นไงบ้างครับ เค้าไม่รั้งไว้เลยหรอครับ
เขาคิดว่าหาคนใหม่ได้ครับ ซึ่งที่ตั้งบริษัทไม่ใช่กรุงเทพและเป็นเมืองท่องเที่ยว จำนวนโปรแกรมเมอร์ไม่ได้จะมีให้เลือกเยอะๆแน่นอน แล้วเรื่องงานอีกใช่ว่ารับคนใหม่มาจะทำต่อได้เลย ต้องฝึกต้องเรียนรู้ก่อนอีกแถมคิดจะจ้างถูกๆ เรียกว่าวิสัยทัศน์ไม่ดีแน่ๆแบบนี้
ก็พูดยากครับ ในอีกมุมนายจ้างต้องการให้โปรแกรมเมอร์เป็นแค่เฟืองตัวหนึ่ง ที่เปลี่ยนถ่ายได้ สลับสับเปลี่ยนได้ ตามเท่าที่มีกระบวนการควบคุมคุณภาพครอบอยู่ (code convention, project template, code pattern, design pattern, project/issue tracking, version control system) เพื่อจะลดผลกระทบเมื่อมีพนักงาน หยุดงาน หรือย้ายงานไป สามารถทำให้เอาคนอื่นมารับช่วงต่อได้ ไม่ทำให้โครงการถึงกับล่ม
บริษัทต้องดูแลโครงการต่อไปได้ แม้โปรแกรมเมอร์พากันสไตรค์ ยกโขยงกันออก เพราะลูกค้าทำสัญญากับบริษัท ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์
และเมื่อหัวใจการพัฒนาอยู่ที่กระบวนการ และไม่ได้ขึ้นกับคนแล้ว (สมมติว่าไม่มีความแตกต่างกันในเชิงสถิติ) ดังนั้นอำนาจต่อรองจะอยู่ฝั่งเจ้าของกิจการมากขึ้น การจ้างโปรแกรมเมอร์ในราคาสูงมากๆจึงไม่จำเป็น
อีกอย่างเมื่อพนักงานจะลาออก การเหนี่ยวรั้งด้วยการยื่นข้อเสนอ (counter offer) ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดกับบริษัทเสมอไป แต่อยู่ที่ team leader ว่า ดูอาการลูกน้องไม่ออก ไม่เห็นสัญญาณล่วงหน้า หรือไม่พนักงานก็เป็นใบ้ ไม่พูดไม่จา อยากได้อะไร หรือไม่พอใจก็เก็บ ไม่พูด ลาออกแx่งเลย อย่างนี้ก็ลำบาก
ผมเห็นด้วยทุกอย่างครับ โปรแกรมเมอร์เป็นเพียงแค่เฟืองตัวเดียว ถึงเสียไป ทุกอย่างก็ยังต้องขับเคลื่อนต่อไป
แต่ตลอดเวลาที่ทำงานมานั้นเหมือนจะเห็นอนาคตเพราะเจอคำพูดสวยหรูตลอดเวลาแต่ตอนจบกลายเป็นหนังคนละม้วนไปเลย ถ้าบอกหรือให้รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมก็ยังยอมรับได้ครับ
มีคนบางกลุ่มเชื่อว่าถ้า process ดีแล้วจะเอาใครมาพิมพ์ code ก็ได้ ..
การเขียนโปรแกรมคล้ายกับการสร้างบ้าน ที่เอาส่วนเล็กๆ มาประกอบกันให้เป็นโปรแกรม ต่างกันเพียงแค่ว่า เวลาสร้างบ้าน เรามีมาตรฐานของเสา น๊อต ปูน ฯลฯ แต่การเขียนโปรแกรมมันไม่มีมาตรฐานตรงนั้น และไม่มีทางเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้แน่นอน
ผมว่าความคิดที่ว่าใครมาพิมพ์ code ก็ได้นั่นมันยังอุดมคติเกินไป หลายๆอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับความไว้ใจในตัวบุคคลและประสบการณ์ด้วย แม้แต่เรื่องสร้างบ้านที่มีมาตรฐานแล้วก็เถอะ ถ้าคิดด้วยตรรกระเดียวกันคุณสามารถจ้างหมอมาสร้างบ้านได้ คุณมีแบบมีอะไรให้ ประเด็นคือถ้าคุณเลือกลูกจ้างได้ทั้ง คนสร้างบ้านมืออาชีพ กับ หมอคุณจะเลือกอะไรละครับ
{$user} was not an Imposter
ผมว่ามุมมองของผู้ว่าจ้างยังไงเราก็เปลี่ยนไม่ได้ นอกเสียจากว่าเขาจะเจอปัญหาจากการที่เขาทำอย่างนั่นด้วยตัวเองจังๆ
มวยวัดก็ไม่ไหวนะครับ
ถ้าโปรแกรมมีขนาดใหญ่ ที่ต้องทำกันเกิน 3-5 คน พวกนั้นต้องมีมาตรฐานนะครับ การวางโค้ด ASP, JSP กับ Backing Bean ก็ต้องมี ไม่งั้นคนอื่นจะมาดูแลต่อก็ปวดกะโหลกจะตาย
ยิ่งของ Java นี่ พี่จะใช้เว็บ framework ไหนดีล่ะ มีเป็นตันๆ
หรือแค่ naming convention, การประกาศ namespace, การใช้ log
คือถ้าว่ายแบบฟรีสไตล์เนี่ย คุณเคยรึเปล่าล่ะครับ ที่ต้องได้รับคำสั่งให้ไปแก้โค้ดคนอื่น คุณแทบอยากจะเขียนใหม่น่ะ นั่นเพราะว่า convention มันไม่ตรงกัน หรือโค้ดที่มี convention เลย
เอาง่ายๆ แม้ตัวคุณเอง มาดูโค้ดในอีก 6-12 เดือน ข้างหน้า ก็อารมณ์นี้ได้ครับ
ทำให้จะทำอะไรเสียอย่างหนึ่ง แก้บั๊ก, เพิ่มฟีเจอร์, ไล่โลจิคโปรแกรม ต้องขุดคุ้ยจากโค้ดไปเสียทุกอย่าง คน maintain โค้ด ตายนะครับ
+1 ผมเจอเหตุการณ์นี้บ่อยมากครับ ทุกวันนี้ก็ยังเจออยู่
+1 การแก้โค้ดคนอื่นเป็นเรื่องชวนปวดหัวอย่างหาที่เปรียบมิได้
+1 อีกที ครับ เหตุการแบบนี้ เจอจน เหนื่อยใจเลย
เรื่องราวน่าติดตาม
ผู้บริหารท่านนั้นมีเหตุผลอะไรครับ
ไม่งั้นอีก 2 ปีก็จะเงินเดือนเืท่ากันกับผู้จัดการ LOL
พอดีบริษัทพึ่งมาลงทุนในไทยครับ เลยได้เหตุผลว่า ต้องเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นซึ่งสำคัญกว่า
สำหรับประเทศไทย ทรัพยากรบุคคลถือเป็นเหตุผลสุดท้ายในการลงทุนสินะ
ปล. ความเห็นนี้เจือปนด้วยอคติ
+1 ผมคงมีอคติแบบเดียวกับคุณเป็นแน่
ออกมาก็ดีแล้วครับ พวกเทคโนโลยีปิดแบบนี้ จะโตไม่โตก็ขึ้นอยู่กับเขา
จะออกไปทำทีอื่น exp. หาที่ตรงงานยาก ดีไม่ดีที่ใหม่ตีเรากลายเป็นเด็กใหม่เลย
ยิ่งแก่ตัวยิ่งหางานยาก เคยโดนมาแล้ว
ทั้งๆที่ ที่ใหม่เป็น บ.ไอทีใหญ่ รายได้ปีเป็นหลายร้อยล้าน มีโปรแกรมเมอร์เป็นร้อย
มีระบบดีมาก เขาบอกแบบนี้มาพูดไม่ออก
ไหนๆก็ไม่มีงานแล้วลองดูก็ได้
สรุปทนทำได้ เดือน ลาออก
เดินแตะฝุ่น อยู่เดือน ว่างเลยไปสอบ cer แก้เครียด
ก่ะจะตั้งบ. ไปประมูลงาน out source สมั้ยนั้นฮิต
โชคดีได้ที่ใหม่ให้เงินเดือนมากกว่าที่เก่า สองเท่า เป็นบ.ต่างชาติ ฝรั่งทั้งบ.
แต่พวกไอทีเป็นคนไทย เลยยอมจ่ายแพง ทำพวก open source หางานใหม่ก็งานกว่า
ก็แชร์ๆให้ฟังน่ะ อันนี้แล้วแต่โชคด้วย ถ้าที่ใหม่เขามองเรามีความหมาย ทำงานคุ้ม หาคนทำแทนยาก เขาก็ยอมจ่ายแพง
ขอเสนอความเห็นบ้างนะครับ อย่างน้อยผมก็ programer คนนึง
ผมทำงานมาได้ประมาณ8 ปีแล้ว ก็เริ่มจากทำใน ตำแหน่ง C programmer ละครับ
แต่ด้วยความที่คนไม่พอ แรกๆก็ต้องไปช่วยงานสาย system admin ด้วย
จนตอนนี้ ผมก็ยังคงทำงานในแบบเดิม แต่หันไปทาง web programing กับด้าน system มากกว่าทางเดิมที่ผมชอบ
ปัญหาที่ผมเจอคือ ขาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับ programmer เก่งๆ ทำให้ผมรู้สึกไม่ได้พัฒนาตัวเองเท่าที่ควร
ปัญหาอีกอย่างที่ผมเจอในพวกเด็กจบใหม่(บ้างคน) คือคิดว่าตัวเองเก่ง ไม่รับฟังข้อเสนอแนะของคนรุ่นๆก่อนๆ แล้วก็เขียนโปรแกรมติดบักมาส่งเสมอๆ
สรุปที่ผมบ่นไม่เกี่ยวกับเงินเดือน แต่เป็นที่โอกาส และการเปิดใจรับมากกว่า
คุณต้องพัฒนาตัวเองให้อยู่ในระดับที่คุยกับคนเก่งๆ รู้เรื่องโดยที่เค้าไม่ต้องพยายามหาคำพูดง่ายๆ มาอธิบายน่ะครับ :)
คุณต้องพัฒนาตัวเองให้อยู่ในระดับที่คุยกับคนเก่งๆ รู้เรื่องโดยที่เค้าไม่ต้องพยายามหาคำพูดง่ายๆ มาอธิบายน่ะครับ :)
ความสามารถระดับ 4,000 แต่อยากได้เงินเดือน 20,000 เห็นเยอะแยะ
. มีคนบ่นว่า "โปรแกรมเมอร์จบใหม่ทำไมไร้คุณภาพ ?"
อยากตอบว่า "ไม่จริงหรอกคุณ!! มหาวิทยาลัยเขามีคุณภาพนะ
ไม่เชื่อคุณไปดูแบบประเมินของกระทรวงศึกษาธิการสิ !!"
แบบประเมินคุณภาพ
1. อาจารย์จบสูง - มีคุณภาพ (สอนกันรู้เรื่องไหมไม่รู้ = =")
2. เด็กตกน้อย - มีคุณภาพ (แปลว่าอาจารย์สอนดี จิงดิ !!)
3. เด็กจบเยอะ - มีคุณภาพ (สอนได้ดีมาก !! เชื่อเขาเลยย)
+ ให้เงินมหาวิทยาลัยตามจำนวนหัวนักศึกษา
(1) อาจารย์จบสูง (0) "สอนน้อยๆ ง่ายๆ ปัดเกรดง่ายๆ" (2) เด็กตกน้อย (3) เด็กจบเยอะ !!
มีคุณภาพตาม Step (1) (2) (3) ของกระทรวงศึกษาธิการเลยเชียวนะเทอออออ
ข้อเท็จจริง..
1. สอนเยอะ เด็กตกเยอะ อาจารย์จะโดนประเมินไร้คุณภาพ
2. เด็กตกเยอะ ภาควิชาจะโดนประเมินไร้คุณภาพ
3. ภาควิชาโดนประเมินว่าไร้คุณภาพ - มหาวิทยาลัยก็จะโดนประเมินไร้คุณภาพ
ซ้ำด้วย เด็กตกออก จำนวนนักศึกษาลด มหาวิทยาลัยมีรายได้ลดลง !
สุดท้ายอาจารย์ดีๆ สปิริตสูงๆ ลาออก
เยี่ยมส์ มั้ยหละ !!!
ต่างจากมัธยมทียังไม่แก้ปลายเหตุซ้ำสองด้วยการมี ONET/ANET
ข้อสอบกลางมาคุมคุณภาพที่ปลายสายอีกที..
ให้ใจไปเลยเต็มๆ โดยเฉพาะ
สุดท้ายอาจารย์ดีๆ สปิริตสูงๆ ลาออก
เยี่ยมส์ มั้ยหละ !!!
I will change the world, to the better day.
จริง!!!
อาจารย์ที่มีสปิริต จะไม่ลาออกหรอกครับ แต่รอเค้าเชิญออกเอา หรือไม่ก็กูจะทำแบบนี้อยากสอนแบบนี้ัมีไรไหม มันจะประเมินไงก็ช่างมัน สอนไปรับจ็อบไปสบายใจ ส่วนพวกอาจารย์เก่าๆก็ปล่อยเค้าทำวิจัยปัญญาอ่อนกันต่อไป
ที่ผมสงสัยคือ ในประเทศไทยมีอาจารย์แบบนี้เยอะรึเปล่าครับ
ถ้าคนเรายึดมั่นในอุดมการณ์กันได้ทุกคนก็คงดี
(ความคิดเห็น ส่วนตัวนะครับ)
ผมว่ามันมีปัจจัยเยอะมาก...ทั้งส่วนตัวและสภาพแวดล้อม
"บางครอบครัว" เขารู้เขาก็คงกดดันให้ไปทำอย่างอื่น เงินดีกว่า แถมไม่โดนกดดัน
ผมเชื่อว่าอาจารย์ดีๆ ที่อยู่ได้ คือ อุดมคติแข็งมาก+ไม่มีปัญหาทางครอบครัว(ครอบครัวสนับสนุน)
นอกจากนี้ ผมคิดว่าไม่ง่ายเลย..
เชิญออกหรือบีบออกครับ :P ได้เจอเหมือนกันนะครับ ที่ไม่สน ไม่แคร์แต่สุดท้ายก็ต้องโดนบีบเป็นนัยๆ ด้วยปัจจัยอะไรหลายอย่างก็จำเป็นต้องให้เกรดเด็กอย่างต่ำสุดเป็น มีอาจารย์บางคนกลับรู้สึกไม่ไหวจะสอนเด็กแล้วก็ออกไปดีกว่า สปิริตก็หมดได้ครับ ถ้าแรงท้อเยอะกว่านี่สิ
ผ่านมา 5 ปีแล้วที่ตั้งกระทู้ ไม่รู้ว่า ปัญหา ยังคงเป็นปัญหาเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ
คนแรกของ 2012 ขอบต๊อบว่า ยังมีเหมือนเดิม
อยากอ่านเพิมครับ ได้ข้อคิดเยอะเลยครับ
สำหรับน้องๆ โปรแกรมเมอร์ใหม่
ผมบ่นเสมอว่า "โปรแกรมเมอร์ที่ดีคือโปรแกรมเมอร์ที่ดีบักเป็น"
Debug มาจากสองคำ De (ทำให้ไม่มี ใช้นำหน้าคำที่ต้องการให้มีความหมายในทางกลับกัน) - bug (ก็บั๊ก หรือข้อผิดพลาดไง) รวมแล้วเป็น "ทำให้ไม่มีข้อผิดพลาด"
ถ้า debug ไม่เป็น ... ในสายตาของผมถือว่าประสิทธิภาพต่ำมาก แค่อยากจะรู้ว่าตัวแปร a ในช่วงเวลานึงเก็บค่าอะไรอยู่ก็ไม่สามารถบอกได้นี่แย่นะครับ
ไปเรียนรู้เพิ่มด้วย
เมื่อกี๊มันยังรันได้อยู่เลย :P
May the Force Close be with you. || @nuttyi
หกเจ็ดปีผ่านไป ทำไมรู้สึกทุกอย่างยังเหมือนเดิม แม้กระทั่งเรตเงินเดือน -*-
I will change the world, to the better day.
แสดงว่าการงานมั่นคง
ผมอยากรู้ว่า ตอนนี้ บริษัทและโปรแกรมเมอร์ ต่างๆ ในตอนนี้เขาทำงานอะไรกันหรอครับ
ใช้ภาษาอะไรกัน มีภาษาอะไรบ้างในปัจจุบันที่ คนเรียน IT อย่างผมต้องเรียนรู้เพิ่ม (คือผมไม่รู้จะไปถามใครอะครับ)
เพราะเท่าที่ผมเรียน คือ เว็บใช้ HTML PHP CSS Javascript C# SQL
เขียนโปรแกรม java C# ประมาณนี้
และก็ไม่ค่อยได้เขียนเลย มันก็ลืมๆไปบ้าง ผมอยากรู้ว่าที่ผมเรียนอยู่เนี้ย มันเอาไปทำงานได้จริงๆจังๆได้มากแค่ไหนกันครับ และควรศึกษาอะไรเพิ่มเติมบ้าง (ผมไม่ใช่คนเก่งและขยันมากเท่าไหร่ แต่ถ้าสนใจอะไรแล้วจะทำให้ถึงที่สุดครับ)
ขอคำแนะนำจากพี่ๆทุกท่านด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
ทั้งหมดที่เรียนมาใช้หากินได้ครับ คุณอาจไม่ต้องศึกษาภาษาอื่นเพิ่มเติม แต่อาจจะต้องลงลึกในสิ่งที่ตัวเองมีเพื่อให้วิชากล้าแข็งกว่าคนอื่นครับ
ถ้าจะไปสายเขียนเว็บ ก็ให้ไปศึกษาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ อย่าง Apache HTTPD หรือของฝั่งไมโครซอฟท์ อย่าง IIS
เรียนรู้เกี่ยวกับ HTML5 เพิ่มเติม ฯลฯ
จริงๆ แล้วต้องดูน่ะครับ ว่าชอบ ว่าอยากไปสายไหน เช่น
ซอฟแวร์เฮาส์: อันนี้คงต้องดูว่าเป้าหมายของเราต้องการใช้ภาษาอะไร
บริษัททำเว็บ
บริษัทเอกชน: แยกหลักๆ ได้เป็น โรงงาน, บริษัท ส่วนมากทำงานแบบจับฉ่าย ต้องทำได้ทุกอย่างตั้งแต่เดินสายแลนยันออกแบบระบบ (ผมอยู่โกดังเกี่ยวกับลอจิสติกส์)
ขอบคุณพี่มากเลยครับที่แนะนำ ผมจะไปคิดๆก่อนนะครับ
ถ้าอยู่ในสายโรงงาน ส่วนมากก็จะมี
AS400
Java
Oracle
ที่อยากบอกคือสายโรงงานโดยเฉพาะโรงงานที่ผลิตวัตถุดิบ เช่น เม็ดพลาสติค, เหล็ก, ปิโตเลียม, เคมี ฯลฯ โบนัสดีมากๆ ครับ
แต่ถ้าชอบเขียนโปรแกรมแบบมาราธอนก็ไปอยู่ซอฟแวร์เฮาส์ครับ ได้ข่าวมาว่าเขียนโปรแกรมกันเป็นวัวเป็นควายเลย ไม่รู้จริงมั้ยนะครับ
จริงๆแล้วไม่ได้ชอบเขียนไรมากมายหรอครับ แต่ก็อยากศึกษาไว้...อิอิ
แม้อาชีพโปรแกรมเมอร์ยังไม่รู้จะหมู่หรือจ่า แต่มีอีกธุรกิจสายไอทีอย่างหนึ่งที่โตมากในเมืองไทย รู้ไหมครับคืออะไร?
ธุรกิจฝึกอบรมไงครับ ไม่ว่าจะเป็นอบรมไปสอบ cert หรืออบรมเพื่อนำไปใช้งานจริง ผมว่ามันโตมาก ๆ เลยนะ การแข่งขันสูงมาก ผลิตภัณฑ์ก็เยอะมาก วิทยากรที่มาอบรมก็ดูรวย ๆ กันทั้งนั้น