นักเรียนอเมริกาคนหนึ่งต่อต้านนโยบายการพกพาตราโรงเรียนที่ฝังชิป RFID ซึ่งใช้ในการระบุที่อยู่ของผู้เรียน จนทำให้ถูกไล่ออกในที่สุด
โรงเรียน John Jay High School ได้ริเริ่มโครงการนำร่องให้นักเรียนทุกคนรวมจำนวน 4,200 คน พกตราโรงเรียนซึ่งมีลักษณะเป็นสร้อยคอฝังชิป RFID ไว้กับตัว ทั้งนี้เพื่อให้ทางโรงเรียนสามารถตรวจสอบตำแหน่งของนักเรียนได้ผ่านการค้นหาและระบุตำแหน่งของชิปที่ติดอยู่ โดยให้เหตุผลเรื่องการดูแลระแวดระวังความปลอดภัยให้แก่นักเรียนในขณะอยู่ในสถานศึกษา
Andrea Hernandez ซึ่งเป็นนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ไม่ยินยอมปฏิบัติตามโครงการนำร่องดังกล่าว โดยเธอและผู้ปกครองมองว่าโครงการนี้เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล พร้อมกันนี้พ่อของ Hernandez ได้ให้เหตุผลเปรียบเทียบอย่างชัดเจนว่า "พวกเขา(โรงเรียน) กำลังทำให้ลูกๆ ของเราเป็นเสมือนสิ่งของ" ซึ่งนั่นส่งผลให้ Hernandez ถูกโรงเรียนไล่ออก
ประเด็นของการนำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อระบุตำแหน่งบุคคลนี้ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางถึงความเหมาะสมในการใช้งาน เนื่องจากล่อแหลมต่อการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยในปัจจุบันในบางมลรัฐกำลังพิจารณาถึงกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมในการใช้ RFID ในสถานศึกษา
ในระหว่างที่อเมริกากำลังครุ่นคิดกับปัญหาใหม่ในการติดตามนักเรียน บ้านเราก็คงต้องหวังพึ่งสารวัตรนักเรียนกันไปก่อน
ที่มา - ZDNet
Comments
ดีมั๊ยมันก็ดี แต่ก็น่าเป็นห่วงนะเรื่อง สิทธิต่างๆ เหอๆ
ที่ระยอง มี รร.รัฐแห่งหนึ่ง ใช้การรูดบัตรเข้า (ไม่แน่ใจเรื่องรูดออก หรือออกก่อนเวลา) ถ้าไม่รูดจะมี SMS -Auto ไปแจ้งผู้ปกครอง โดยมี รปภ.ดูแลเรื่องการรูดบัตร (เหมือนเข้าทำงานเลย) ผมว่าใช้ร่วมกับการเช็คฃื่อในเวลาเรียนก็พอแล้ว จุดล่อแหลมในโรงเรียนก็ใช้การตรวจตราก็พอ
แต่ถ้ามีการใช้เมื่อออกนอกโรงเรียน (หรือเมื่อคราวจำเป็นจริงๆ) คนเป็นพ่ออย่างผมก็อยากได้นะ แต่คงไม่ไปยุ่งจนมันรู้ว่าเราข้ามเขตไป โลกของวัยรุ่นมันไม่กว้างหรอกครับ
เคยมี รร นึงแถวๆ วันโพธิ ให้ นร รูดบัตร ผลคือ เครื่องช้า นักเรียนต่อแถวนานมาก ฝากรูด สุดท้ายก็ยกเลิกไป
ไทยคงอีกนานครับ
^_^
หนักเลยเจอแบบนี้ กำลังทำอะไรที่ไหนรู้หมด แม่แต่ อึ ฉี่
เห็นแล้วนึกถึงพวกหนังไซไฟ
เอิ่มมม...อันนี้ไม่ดีเลยนะ ผมกดdislikeให้โรงเรียน :/
ผมเคยคิดเหมือนกันนะ เรื่องระบบติดตามตัวแต่ผมคิดว่าจริงๆ แล้วระบบนี้เราแค่กำหนดขอบเขตแค่ภายในโรงเรียนหรือรอบๆ โรงเรียนไปอีกหน่อยแค่นี้มันก็ไม่ละเมิดละ เพราะน่าจะถือว่าเป็นสิทธิของโรงเรียนว่าเด็กอยู่ไหนในบริเวณโรงเรียน หรือหนีออกไปหรือไม่ แต่สำคำญที่สุดคือต้องเปิดเผยให้เห็นว่าการเก็บข้อมูลของเด็กโปร่งใส่และต้องมีคนตรวจสอบได้ตลอดเวลา (ป้องกันการนำไปใช้ประโยชน์ที่ผิดวิธี)
ตรงความคิดผมเลยแฮะ มันแค่ใน รร.นะ ไม่ใช่ ทุกๆที่ -*-
ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องการติด RFID เพื่อติดตามตัวนะ รู้สึกเหมือนเป็นนักโทษยังไงไม่รู้ โรงเรียนมันไม่ปลอดภัยขนาดที่จำเป็นต้องติดเชียวหรือ?
Jusci - Google Plus - Twitter
ไทยฝังในหัวเข็มขัดช่างกลน่าจะดีนะ แต่คงจะโดนต่อต้านเยอะ งาบประมาณก็คงจะไม่พอ
พอสิครับ ขนาดจัดซื้อครุภัณฑ์ทิ้งขว้างก็ยังทำมาแล้ว
มองในมุมโรงเรียน เหตุผลก็ฟังขึ้น พกติดตัวเฉพาะอยู่ที่สถานศึกษา
มองในมุมนักเรียน และผู้ปกครอง มันก็ใช่อะ ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลรึป่าว
ทีนี้เราต้องไปดูข้อกฏหมายของรัฐนั้นๆ แล้ว ซึ่งผมไม่รู้ วิจารณ์ไม่ได้
น่าจะมีปุ่มกดเพื่อบอกตำแหน่งแทนระบุที่ตั้งตลอดเวลา เพื่อให้คนช่วยเหลือตอนเด็กมีปัญหาน่าจะดีกว่า
สงสัยว่าถ้าเอาตราวางไว้หรือฝากกับเพื่อน แล้วออกไปเที่ยวเล่นไม่ได้หรือครับ
ตามข่าวนี้ ก็ได้นะ ได้ถูกไล่ออกไง
จะได้เช็คว่าโดดเรียนหรือไปมั่วสุมได้ง่ายๆสินะ
ึจะว่าไปก็คล้ายๆบัตรพนักงาน ที่กำหนด access control เวลาเข้าห้องไหน หรือโซนไหน มันก็เช็คย้อนได้เช่นกัน ว่าช่วงเวลาไหนเข้าตึกไหนบ้าง มีกี่คน
เป็นสัตว์เลี้ยงไปเลย
ผมว่ามันก็ดีใน ถ้าใช้เฉพาะใน ร.ร.
จำไม่ผิด มันจะมีตอนเดิมอยู่นะ ว่าที่โรงเรียนต้องทำเพราะจะถูกตัดงบจากรัฐ เนื่องจากนักเรียนโดดเรียนกันเป็นว่าเล่น
ตลกนะครับ มาแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้
มันจะมีไปทำไมกันครับ ผมไม่เห็นประโยชน์ แถมยังละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจริงๆอ่ะ
คือผมมองว่าถ้าเด็กมีวินัยอีกหน่อยก็ไม่จำเป็นต้องเช็คชื่อ เพราะระบบจะบอกเองว่าเข้าออกกี่โมง ไปเรียนห้องไหนหรือถึงขั้นมี mini computer ข้อมือ ที่แจ้งเด็กว่าจะต้องไปเรียนห้องไหนต่อ / เหลือเวลากี่นาทีก่อนการเรียนจะเริ่ม อาจารย์ไม่ว่างติดภารกิจสล้บคาบเรียนอะไรทำนองนี้ ที่สำคัญต้องทำให้เด็กฟรี และให้ผู้ปกครองสามารถรู้ได้ด้วย ฮ่าๆๆๆ
หรือพวกพ่อแม่คลั่งลูกเถียงก็สามารถเปิดให้ดูได้ว่าเด็กมันไปไหนบ้างจะได้ไม่เป็นปัญหาระหว่าง ครู/โรงเรียน - ผู้กครอง
ผมว่าแค่กล้องวงจรปิดน่าจะพอ
ผมว่าติดให้กับเด็กเล็ก เด็กอนุบาล น่าจะมีประโยชน์นะครับ
เห็นด้วยครับ สำหรับเด็กเล็กผมว่ามีประโยชน์ในเรื่องความปลอดภัย
แต่สำหรับเด็กโตหน่อย การบังคับให้อยู่ในห้องค่อนข้างจะไร้ประโยชน์นะ ผมว่า - เด็กเข้าห้องเรียนแต่ไม่เรียนแล้วป่วนในห้องก็มีไม่น้อย
เสรีภาพ กับ ความปลอดภัยต้องแลกเสมอเลย
ทำให้ชิปพังไม่ได้เหรอ
เฮ้อ ความเป็นส่วนตัวลดลง
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ผมมองว่าถ้าอยู่ในสถานศึกษาก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วนะครับ ไม่ดียังไงหรอครับ ? เราไปเรียนก็อยู่ในความควบคุมของโรงเรียนให้ถูกกฎถูกระเบียบก็น่าจะถูกต้องแล้วนะครับ
เราไปเรียนไม่ได้ไปติดคุกนะครับ อย่างนี้สิทธิเสรีภาพไม่ต้องมีกันแล้ว
dislike ให้โรงเรียนเหมือนกันครับ
และไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในอเมริกา ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ
ในขณะที่ฝั่งยุโรปเน้นเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ (อังกฤษยังไม่มีบัตรประชาชนเลย ญี่ปุ่นด้วย เพราะเขาถือว่าทำแบบนี้เปรียบเสมือนเป็นการตอกเลขปศุสัตว์กับมนุษย์ ซึ่งเรื่องนี้เขาถือมาก อันนี้คนญี่ปุ่นเคยเล่าให้ฟัง) ไม่ว่าจะยังไงเทคโนโลยี RFID มันดีจริง แต่เก็บไว้ใช้กับสิ่งของก็พอ
ตอบคำถามคอมเมนต์ด้านบนว่าแล้วมันไม่ดียังไงหรือ? ..ก็เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่และละเอียดอ่อนมาก แทนที่โรงเรียนจะปลูกฝังในเรื่องสิทธิเสรีภาพให้งอกเงยยิ่งขึ้น กลับยัดเยียดเรื่องแบบนี้ให้ผู้เรียน เรียกได้ว่ายัดเยียดค่านิยมผิดๆ ให้กับนักเรียนไปอย่างไม่น่าให้อภัย ในยุคที่สิทธิเสรีภาพของมนุษย์มันก้าวหน้ามาจนถึงจุดนี้ เอาจริงๆ ไม่ใช่นักเรียนควรโดนไล่ออก แต่เป็นผู้บริหารโรงเรียนต่างหากที่ควรโดนไล่ออก
คนไทยอาจจะรู้สึกเฉยๆ มีก็ดี ก็ดูปลอดภัยดี (เราถึงเป็นสังคมแห่งการโดนเอาเปรียบโดยชนชั้นปกครองตลอด ใครสั่งมาไงก็ว่าตามนั้น ไม่ค่อยอยากจะคิดอะไรเอง) แต่ไอ่เรื่องแบบนี้ ที่ต่างประเทศเขาถือกันมากนะครับอย่างที่กล่าวไว้นั่นล่ะ เรามีทางเลือกและเทคโนโลยีร้อยแปดที่ดูแลนักเรียนได้ครับ มนุษย์มีหัวสมองเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสมที่สุดได้ ไม่ใช่มีอะไรก็สักแต่ว่าใช้ๆ ไป นั่นมันถอยหลังลงคลองครับแบบนั้น
ญี่ปุ่นนี่มีบัตรอย่างอื่นที่ต้องพกแทนครับ ถึงเป็นชื่ออื่นแต่ก็ต้องไปลงทะเบียนกับรัฐเหมือนกัน
ถูกต้องครับไม่มีบัตรประชาชน แต่ส่วนใหญ๋ต้องมีใบขับขี่ ที่ญี่ปุ่นผู้ใหญ่ถ้าใครไม่มีใบขับขี่นี่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกระดับนึง
ส่วนเด็กยังไงก็ต้องมีบัตรนักเรียกไว้แสดงตัว แต่ระบบบ้านเค้าเชื่อมั่นได้ว่าจะไม่ออกบัตรแบบนี้มั่ว ๆ ให้คนต่างชาติ
ถ้าบ้านเราทำตาม ก็เห็นแรงงานสัญชาติพม่าพกบัตรกลายเป็นคนไทยกันทั้งหมด
เห็นด้วยครับ ผมอ่านคอมเมนท์แรกๆแล้วคิดในใจว่านี่ตูคนเดียวหรอที่ไม่เห็นด้วยอย่างแรงกับโครงการนี้
มองเห็นความปลอดภัยมาก่อนความเป็นส่วนตัว กลายเป็นคนโง่ที่โดนชนชั้นปกคลองจูงจมูกในทันที lol
เรื่องบัตรประชาชนนี่ประเทศไทยคงเป็นไปไม่ได้ครับ
ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าเวลาเลือกตั้งเราจะมีระบบตรวจสอบอย่างไร
Blog | Twitter
มันก็มีขอบเขตของมันครับ มันเป็นเรื่อง Security vs. Privacy อย่าแปลว่าเมื่อเรายอมให้คนอื่นคุกคาม privacy ของเรา นั่นแปลว่าเรายอมให้ชนชั้นปกครองเอาเปรียบสิครับ ทำไมไม่มองว่าเราแลกมาซึ่งความปลอดภัยจากชนชั้นปกครองล่ะ
กรณีในโรงเรียนนี้ส่วนตัวผมว่ามันเกินไป แต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ควรจะมี ถ้าปัญหาคือเด็กโดดเรียนกันมากจริง ๆ อาจตรวจแค่มาเข้าโรงเรียนหรือเปล่าน่าจะพอ คงไม่ต้องถึงขนาดตรวจว่าอยู่จุดไหนในโรงเรียน (ยกเว้นโรงเรียนมีขนาดใหญ่มาก เด็กแอบไปมั่วสุมอยู่ได้หลายจุด โรงเรียนไม่สามารถไปตามให้เข้าเรียนได้ อันนี้ก็ต้องมาคิดถึงขอบเขตกันใหม่)
มันก็ไม่ได้ต่างจากพนักงานตอกบัตรเข้า-ออก คุณก็แลกมาซึ่งความปลอดภัย (ในทรัพย์สินซึ่งคุณควรจะได้รับ) ถ้าบอกว่าบางที่เขาก็ไม่ทำ อาศัยเชื่อใจกัน ซื้อใจพนักงาน ครับมันมีอยู่ แต่มันไม่ได้ทำได้ทุกที่ไง แต่ละที่บริบทมันไม่เหมือนกัน มันก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ได้แปลว่ามีที่นึงทำได้ ทุกที่ต้องทำได้เหมือนกันหมดนี่ครับ
แม้ผมจะไม่สนับสนุนการถูกริดรอนเสรีภาพด้วยข้ออ้างเรื่องความปลอดภัยมากนัก แต่ผมก็เชื่ออยู่ในใจลึก ๆ ว่า อีกหน่อยโลกเราจะถูกริดรอนเสรีภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยที่เราจำต้องสมยอมไปเองนั่นแหละ ก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรอื่น "ความปลอดภัย" นั่นแหละ (พูดอีกแง่คือ ผมเชื่อว่าอีกหน่อยโลกเราอันตรายมันจะรอบด้านมากขึ้น เทคโนโลยีดีขึ้น ก็แปลว่าโจรจะเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ก่ออาชญากรรมมากขึ้น เราก็จะยิ่งโหยหาความปลอดภัยมากขึ้น สุดท้ายก็จะถูกริดรอนเสรีภาพไปเรื่อย ๆ นั่นเอง)
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมมองว่าถ้ามัน track เฉพาะในโรงเรียน ผมไม่เห็นถึงการละเมิดความเป็นส่วนตัวนะครับ โรงเรียนไม่ใช่สถานที่สาธารณะ หากว่าเค้าต้องการตรวจสอบบุคคลที่เค้ามาอยู่ในโรงเรียนเค้าโดยวิธีนี้มันไม่ผิดนะครับ แล้วเค้าก็ออกกฏของเค้า เค้าไม่ได้บังคับว่าต้องมาเรียนที่เค้า คุณรับไม่ได้กับการมาอยู่โรงเรียนที่เค้ารักษาความปลอดภัยแบบนี้ การให้ออกเพื่อนไปหาโรงเรียนตามที่คุณต้องการความอิสระในขณะที่อยู่ในโรงเรียนเค้าก็ไม่ได้กีดกันนี่ครับ
อันนี้พูดยากนะครับ ถ้าคุณตั้งมาแบบนี้คำถามจะตามมาเพียบ
1. ห้าง ร้านค้า ไม่ใช่สถานที่สาธารณะแน่นอน คุณจะโอเคไหม ถ้าเจ้าของสถานที่รู้หมดว่าคุณอยู่ตรงไหน ถ้าเขาจะติดกล้องในห้องน้ำมันก็เป็นสิทธิของเขาใช่หรือไม่?
2. สถานที่ราชการ จะสาธารณะก็ไม่เชิง มันเป็นของรัฐหรือเปล่า ถ้ารัฐจะอ้างว่าทำเพื่อความปลอดภับของประชาชนผู้มาใช้บริการ คุณจะยอมหรือไม่?
3. พื้นที่สีเทาอีกเพียบ เช่นอุธยานแห่งชาติ เหมือนจะเป็นที่สาธารณะ แต่คุณก็ไม่มีสิทธิไปทำอะไรตามอำเภอใจ ก่อไฟไม่ได้ ตัดต้นไม้ไม่ได้ ตกลงมันเป็นที่สาธารณะหรือเปล่า? แล้วคุณจะโอเคไหมถ้าเขาจะอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย (จากสัตว์ป่าหรือจะได้ไม่หลงป่าอะไรก็ตามที) แล้วจะขอติด GPS ไว้กับทุกคนที่เข้ามา?
จะเกิดประเด็นถกเถียงกันอีกบานเลยล่ะครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
นับวันคนจะเป็นเหมือนหุ่นยนต์มากขึ้นทุกวัน ไม่นานมานี้ก็ได้ได้อ่าน "ผลสำรวจ ชี้ สิงคโปร์เป็นชาติที่คนไร้ความรู้สึกมากที่สุด" คงอีกไม่นานซินะ
...ข้อมูลนั้น เขาสำรวจด้วยการสอบถามว่าในเหตุการณ์หนึ่ง คุณรู้สึกดีหรือแย่ ซึ่งคนสิงคโปร์หลายคนตอบเฉย ๆ เป็นจำนวนหลายคนมากที่สุดของชาติที่สำรวจ(ขณะที่ฟิลิปปินส์ตอบทั้งสองด้านเป็นจำนวนหลายคนที่สุดในชาติที่ถาม จึงกลายเป็นชาติเจ้าอารมณ์ที่สุดจากการสำรวจล่าสุด)
แต่ที่ผมสังสัยคือ ผลสำรวจนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้หรือครับ ?
คิดได้ว่ามุมหนึ่งก็คือนักเรียนในโรงเรียนคุณมันไร้ความรับผิดชอบเอามากๆ ไม่เข้าโรงเรียน, ไม่อยู่ในห้องเรียนตามเวลาที่กำหนด จนถึงขนาดต้องให้ผู้ปกครองมาตามเช็ค แล้วโรงเรียนไม่สามารถระบุตัว หรือตัวผู้อำนวยการโรงเรียนคลั่งการควบคุมแบบ Big Brother ถึงขนาดต้องแสดงตำแหน่งนักเรียนในโรงเรียนแบบ real-time
ถ้าเป็นเหตุผลแบบนั้น การใช้ RFID นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว ยังส่งผลเสียมากกว่าเดิมครับ และสุดท้ายเด็กจบไปได้หลุดจากกรงก็จะทำตัวเหมือนเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม
/me จับผู้บริหารโรงเรียนนั้นไปเรียนจิตวิทยาและการบริหารทรัพยากรมนุษย์
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
+1
วิธีนี้ดูเหมือนแก้ปัญหาปลายเหตุเลยครับ :(
อาจารย์ที่ปรึกษาอาจจะต้องเหนื่อยหน่อย ร่วมกับผู้ปกครองหาสาเหตุว่าทำไมเด็กหนีเรียน
ฟังดูเหมือนโลกสวย แต่น่าจะเป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดแล้ว
โลกสวยสุด ๆ เลยครับ
ผมเองก็อยากให้ทุกที่แก้ปัญหาแบบนี้นะ แต่มันยากมากถึงมากที่สุดเลย ความยากเกิดที่ 3 จุด
ผู้บริหาร ต้องเป็นคนในอุดมคติมาก ๆ ที่จะยอมทุ่มทรัพยากรครูให้กับเด็กมีปัญหา ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะแก้ได้มั้ย โรงเรียนส่วนใหญ่แก้ปัญหาด้วยวิธีการเอาเด็กพวกนั้นออกไปให้พ้น ๆ หรือไม่ก็กาหัวไว้ว่าเป็นเด็กมีปัญหา และบอกผู้ปกครองให้รับรู้ เวลาเด็กเรียนตก มีปัญหาชกต่อย ท้อง ฯลฯ จะได้พูดได้ว่าปัญหาไม่ได้เกิดจากโรงเรียน มันเกิดจากตัวเด็กเองต่างหาก ช้าก่อนอย่าเพิ่งด่าว่าผู้บริหารมันเลวนะครับ มองในมุมผู้บริหาร เขาต้องทำเพื่อความอยู่รอดของโรงเรียน โรงเรียนจะอยู่รอดได้ก็ด้วยค่าเทอม+จำนวนนักเรียน โรงเรียนไหนชื่อเสียงดี ต่อให้ค่าเทอมแพงคนก็แห่กันไปสมัคร คงไม่มีผู้บริหารคนไหนอยากให้ชื่อเสียงโรงเรียนตัวเองฉาวโฉ่กระมัง?
อาจารย์ ต้องเป็นคนมีอุดมการณ์สุด ๆ เหมือนกัน ของแบบนี้มาสอนเช้าเย็นกลับบ้านไม่มีทางแก้ปัญหาได้ มันต้องเข้าถึงเด็ก เข้าใจเด็ก ซึ่งใช้เวลา+แรงกาย+แรงใจ ไม่น้อยเลย (เผลอ ๆ ใช้เงินด้วย) แค่สอน+ออกข้อสอบ+ตรวจข้อสอบก็เหนื่อยแล้ว (ถ้าเป็นครูดีนะ เขาจะตั้งใจเตรียมสอน ออกข้อสอบดี ๆ ตรวจข้อสอบอย่างตั้งใจ ทุกขั้นตอนจะให้แรง+เวลาอย่างมาก)
ผู้ปกครอง ต้องเข้าใจเด็ก (ลูกตัวเองนี่แหละ) ให้โอกาส คุยกัน หาทางออก ซึ่งหายากเหลือเกิน เดี๋ยวนี้จะเห็นผู้ปกครองส่วนใหญ่มี 2 อย่าง ก) โอ๋เด็ก ลูกฉันถูกเสมอ โรงเรียน+ครูโกหก ฉันสอนลูกมาดีนะ อยู่บ้านลูกฉันดีจะตาย มาหาว่าลูกฉันเป้นแบบนี้ได้ไงไม่จริง ข) ด่าเด็ก แกทำตัวยังงี้ได้ยังไง ชั้นสอนทำไมไม่จำ ลูกชั่ว เลว ว่าไปตีไป ลูกไม่ฟัง-ไม่เปิดใจแน่นอนครับ
สามข้อนี้ถ้าขาดไปซักข้อ โอกาสเด็กจะกลับตัวจะยากขึ้นเป็นทวีคูณเลยครับ ยิ่งถ้าขาด 2 ข้อ แทบจะเป็นศูนย์กันเลยทีเดียว
ป.ล. แม้จะไม่ใช่จากประสบการณ์ตรง แต่ก็ฟังจากครู-นักเรียน-ผู้ปกครองหลายสิบคนรอบข้างนี่แหละครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์ หรือโลกสวยเลยครับ เพียงแต่ RFID มันไม่ได้ช่วยเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย
กลัวเด็กไม่เข้าโรงเรียน แต่เอา RFID มาเช็คว่าเด็กเข้าเรียนหรือเปล่า กลัวเด็กโดดเรียนแต่เอา RFID มาเช็คว่าเด็กเข้าเรียนหรือเปล่า กลัวเด็กหนีออกจากโรงเรียน เอา RFID มาเช็คว่าเด็กยังอยู่ในโรงเรียนหรือเปล่า กลัวเด็กมั่วสุมเอา RFID มาเช็คว่าเด็กรวมกลุ่มกันหรือเปล่า
เราลืมหน้าที่ของฝ่ายปกครอง ยาม การเช็คชื่อ และอื่นๆไปแล้วหรือเปล่าครับ?
รูดบัตรเข้าเรียน ใครไม่รูดถือว่าไม่ได้มาโรงเรียน อาจารย์เช็คชื่อเข้าปกติ/สาย/โดด ยามทำงานร่วมกับฝ่ายปกครองตรวจดูสถานที่มั่วสุม ฝ่ายปกครองตรวจและสอบถามนักเรียนที่ออกนอกโรงเรียนก่อนเวลากำหนด กล้องวงจรปิดที่ตรวจสอบตลอดเวลา
ถามว่าการที่บุคลากรทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย มันยากเกินไปตรงไหนหรือเปล่าครับ?
การใช้ RFID เป็นการทำให้'เด็กทุกคน'อยู่ในสภาวะถูกกดดันไม่ว่าจะมากหรือน้อย การไม่กล้ารวมกลุ่มก้อน การปลดปล่อยหลังเลิกเรียน และผลเสียหลายๆอย่าง เช่นแนวความคิด
อีกอย่างที่สำคัญคือต้นทุนเริ่มต้นของโปรเจค(ใช้กันหลายโรงเรียน)ที่สูงถึง $500,000(16 ล้านบาท) และการผลักภาระไปให้ผู้ปกครอง ซึ่งการทำได้ครั้งนี้หวังว่าจะได้เงินบำรุงจากรัฐสูงถึง $1.7M
แต่สิ่งที่ผมรับไม่ได้จริงๆไม่ได้อยู่ในข้อความข้างต้นครับ แต่ขอไม่พูดถึงละกันครับ เพิ่มเติมครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
@McKay ใจเย็น ๆ ครับ ผม reply คุณ @Bliding นะครับ ผมพูดถึงความเป็นไปได้ของวิธีที่เขาเสนอ (และในใจลึกๆ ผมอยากให้เขาแก้ปัญหาด้วยวิธีนั้น) แต่ถ้าคุณตั้งใจ reply ความเห็นด้านบนผม ผมก็ขอตอบเหมือนเดิมว่า "ผมก็ไม่ได้สนับสนุนให้ริดรอนเสรีภาพ แต่ผมเชื่อว่าซักวันโลกมันต้องดำเนินไปถึงจุดนั้น"
ใน กรณีนี้อาจไม่ใช่เพราะมนุษย์รู้สึกถึงภัยคุกคามถึงยอมให้ลดเสรีภาพ แต่อาจเป็นความมักง่ายของผู้บริหารเอง ที่ไม่ลงมาดูการปฏิบัติหน้าที่อย่างแข้งขันของเจ้าหน้าที่ตัวเอง หรือถ้ามองอีกแง่ เขาอาจไม่เชื่อมั่นใจระบบเดิม ๆ ที่ตรวจสอบได้ยาก (ในที่นี้ผมรวมถึงตรวจสอบการเคร่งครัดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ด้วย) มี Human Error มาก ความน่าเชื่อถือต่ำ ฯลฯ
ถ้าให้ผมเดาว่าทำไมเอาระบบ RFID มาใช้ แทนที่จะใช้ระบบเดิม ๆ ซึ่งหน้าที่มันก็อันเดียวกัน (เช็คชื่อ กล้องวงจรปิด ครูปกครอง ฯลฯ)
สุดท้าย ย้ำอีกครั้งตามความเห็นบนโน้น ผมคิดว่ากรณีนี้มันเกินไป คือมันติดซะทุกจุดในโรงเรียน ส่วนตัวผมยอมรับได้มากสุดแค่ให้รู้ว่ายังอยู่ในโรงเรียน ซึ่งก็อย่างที่กล่าวมามันซ้อนทับกับระบบเดิมที่มีอยู่แล้ว ดังนั้นผมไม่ขอกล่าวถึงต้นทุนอะไรพวกนี้นะครับ เพราะเสกลคนละระดับเลย (ยกเว้นโรงเรียนนี้มีประตูทางเข้าออกเยอะเสียเหลือเกิน ๕๕๕)
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ก็จริงครับ....... มันต้องมีครบทั้ง 3 ข้อเลย :(
โดยเฉพาะปัญหาในข้อ 1 นี่ทำให้บทบาทของโรงเรียนดูลักลั่นย้อนแย้งพิกล.....
อย่างน้อยก็ขอแค่ให้เปลี่ยนเด็กมีปัญหาเป็นคนธรรมดาๆที่อยู่ในสังคมทั่วๆไปโดยไม่เกิดปัญหาก็ยังดี ถึงจะใกล้เคียงกับคำว่า ให้การศึกษา
ส่วนข้อ 2 นี่ผมไม่ค่อยแน่ใจว่า เมืองไทยใช้งานครูหนักไปรึเปล่า หรือว่า เด็กเรียนหนักไปก็ไม่รู้ หรือ จำนวนเด็กต่อครูมากเกินไป ทั้งครูทั้งเด็ก ไม่มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่นเลย x_x
ข้อ 3 นี่สมัยนี้เจอผู้ปกครองโอ๋เด็กเยอะมากครับ....... กลับกันกับสมัยก่อนที่โยนภาระมาให้ครูล้วนๆ แปลกดี
บางที ร.ร. น่าจะลองมีห้องโดดเรียน(สำหรับให้เด็กโดดมาโดยเฉพาะ :P อย่างน้อยก็ยังอยู่ในการดูแล ดีกว่าไปมั่วสุมที่อื่น) มีอาจารย์คอยให้คำปรึกษา อาจจะได้ feedback ไปช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหาได้บ้าง
ผมว่าคุณผิดประเด็นแล้วครับปัญหาคือป้องกันไม่ให้เด็กมั่วสุมในโรงเรียน หรือ ให้เด็กกลับตัวเป็นคนดีมันต่างกันมากนะ
ถ้าป้องกันไม่ให้เด็กหลบหนีไปมั่วสุมนอกโรงเรียนใช้วิธีตอกบัตรก็เพียงพอแล้ว
ถ้าป้องกันไม่ให้เด็กมั่วสุมในโรงเรียน ก็ตามคุณMcKay ทุกคนต้องมีหน้านที่รับผิดชอบในส่วนหน้าที่ของตนเองครับ
ถ้าจะให้เด็ฏกลับตัวเป็นคนดีมี 2ส่วน 1คือทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือกัน 2คือมีโรงเรียนสำหรับใส่ใจตรงนี้อยู่แล้ว เด็กมันแยกประเภทกันครับ
ส่วนที่ๆฟังมาจากครูหลายๆคน ระบบการศึกษาในประเทศนี้สิ้นหวังแล้วครับ ระบบการศึกษาทำให้ครูเร่งทำผลงานเขียนวิจัย/รายงานเพื่อ เพิ่มเงินเดือน แถมจะลงโทษเด็กนิดหน่อยก็โดนตราหน้าว่าใช้ความรุนแรงทั้งๆที่บางอย่างไม่ได้รุนแรงเลย(แต่ผู้ปกครองยืนยัน)
ส่วนฝ่ายหลักสูตรก็ต้องการให้เรียนวันละ 8-9 ชั่วโมงโดยไม่มีเนื้อหาสาระไม่ได้ทำให้เด็กอยากเรียน และแสวงหาความชอบของเด็กว่าควรจะเลือกเรียนอะไร เพื่อไปให้ถึงสิ่งที่ตัวเองชอบ ส่วนพวกผ.อ.ก็นะเงินมันหอมครับ ส่วนพ่อ-แม่โอ๋ลูกเนี่ย....ไม่ขอพูดครับ
คือผมมองว่าป้องกันไม่ให้มั่วสุมมันคือปลายเหตุแล้วน่ะครับ....
คือถ้าคิดแค่ว่าห้าม หรือจับได้ ในรร. แล้วคือการแก้ปัญหาได้มันก็ไม่ใช่....... เลิกเรียนเสร็จเด็กก็ออกไปมั่วสุมอยู่ดี
เลยสรุปเอาว่า รร.แก้ปัญหาปลายเหตุ
จะมั่วสุมนอกหรือในรร.ก็คงไม่ค่อยต่างกัน
ครับ เพราะผม reply คุณ Bliding ครับ แต่ก็เห็นด้วยกับคุณ Onewings นะครับ ^^
จะบอกว่าพยายามไม่พูดด้านมืดของโรงเรียนแล้วเชียวนะ ลองเอาด้านมืดมารวมกับ 3 ข้อที่ผมพูดจะรู้ว่าโอกาสจะเข้าใกล้ 0 มากขึ้นอีก ๕๕๕
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
โดดเรียน...ผมเคยโดนตีหน้าเสาธง ตอนเข้าแถวเลย(พอกลับบ้านโดนตีอีกรอบ) RFID มีก็ดีน่ะ จะได้ไม่โดดเรียน
ถ้าให้ติดแค่เวลาเรียนผมว่าไม่มี
ปัญหานะถือว่าเป็นเรื่องการรักษา
ความปลอดภัยของเด็กไปด้วย
สมัยผมเรียน อ ไม่ได้เช็คชื่อปล่อยเลย อยากทำ อยากเรียยก็ตามใจ ถือว่าโตๆ กันแล้วบ่งคนเอนท์ติดแล้วก็ไม่เรียนเหมือนกัน ไม่เห็นจะแปลก
ตอนติดตั้ง App มือถือ ก็ กดAllow กันไม่ค่อยอ่าน นั่นมันยิ่งกว่า RFID ซะอีก เฮ้อ คนเราก็แปลก
ผมอ่าน ผมว่าหลายคนอ่าน และเปลี่ยนไปใช้ตัวอื่นแทนถ้ามันดูแปลก ๆ
Jusci - Google Plus - Twitter
แค่ระบุตำแหน่งระหว่างอยู่ในโรงเรียนมันไม่น่าจะละเมิดอะไรเยอะแยะนะ ไม่ได้ติดเครื่องดักฟังด้วยซะหน่อย
อเมริกา ชอบบังคับ Policy แปลกๆ ก่อนหน้าก็ เปิดเผยรหัส Facebook ให้หัวหน้าที่ทำงาน ข่าวนี้ก็บังคับติดตามตำแหน่ง
ประเทศแห่งเสรีภาพ
บางคนคิดถึงประเทศไทย
ประเทศที่อยากเอาแบบประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่เค้ามีประชากรมีการศึกษามีจิตสาธารณะสูงกว่าเรา
เช่นเรื่องประชาธิปไตย แล้วเสรีภาพต่างๆนาๆ
ผมยังนึกถึงเรื่องคนป่า ถ้ามีคนเจริญแล้วเข้าไป ให้ความคิดพวกคนป่า แต่คนป่าพวกนั้นกลับยึดเอาพวกคนป่าของตัวเองซึ่งมากกว่า(อ้างได้ว่า ประชาธิปไตย) ไม่เอาด้วย คนป่าพวกนั้นก็ยังดักดานเหมือนเดิม แต่กลับภูมิใจในตัวเองว่านั้นคือประชาธิปไตยแล้ว มันก็คือประชาธิปไตยแบบคนป่า ประชาธิปไตยเหมือนกันกับพวกพัฒนาการศึกษาแล้ว แต่ผลต่างกันคนละโลก
เช่นเดียวกับประเทศสารขัณฑ์ อยากได้โน้น อยากเป็นเหมือนนี่ แบบประเทศพํฒนาแล้ว โดยหาคิดไม่ว่า ที่เค้าทำแบบนั้นได้เพราะเค้าพัฒนาการศึกษา แต่เรากลับคิดว่าถ้าเอาแบบเค้ามาใช้เราก็จะเจริญแบบเค้า โดยไม่คิดถึงพื้นฐานที่เรามี
มันอาจจะไม่เกี่ยวโดยตรงกับข่าว แต่ผมคิดว่า เราไปคิดถึงเสรีภาพบลาๆๆ ใช่ทุกคนควรมี แต่บางอย่างผมว่าหากจิตสำนึกมันยังปลูกฝังได้ยากอยู่ การมีกฏเข้ามาคุมมันก็ช่วยให้เราอยู่ได้ปรกติสุขนะครับ ไม่ใช่เราอ้างแต่เสรีภาพอย่างเดียว โดยไม่มองถึงระดับความคิดของสังคมเราในความเป็นจริง
ไก่กับนก มีปีกเหมือนกัน ดูแล้วคล้ายๆกัน ไก่เลยคิดไปว่าเราต้องบินได้เหมือนกัน สุดท้ายก็ไปกระโดดหน้าผาแบบนก มันก็ตกลงมาตายนะครับ
มันช่วยป้องกันนักเรียนหนีหรือถูกลักพาตัวได้นะ
ผมเคยคิดมานานแล้วว่าทำยังไงไม่ให้เด็กหาย ควรมีชิป RFID ติดตัวกับเด็กหรือติดกับบัตรประชาชนของเด็กแล้วให้เด็กเก็บติดตัวตลอด แต่ถ้าเด็กไม่พกติดตัวควรหาวิธีอื่น ผมว่าจะช่วยให้เด็กหายน้อยลงได้ :)
จะติดนักเรียนไปเพื่อ?
เอาไปติดนักการเมืองดีกว่า