ผลกระทบจากการเปลี่ยนเงื่อนไขการใช้งานของ Instagram ยังไม่จบสิ้น (ถึงแม้จะออกมาบอกทีหลังว่ามีการเปลี่ยนกลับแล้วก็ตามที) เมื่อ AppData สำรวจได้ว่าจำนวนผู้ใช้ที่มีความเคลื่อนไหว (active user) ในแต่ละวันของ Instagram จากเดิม 16.4 ล้านคนต่อวัน ลดลงมาเหลือ 12.4 ล้านคน เท่ากับว่ามีผู้ใช้หายไปถึง 25% เลยทีเดียว
ทั้งนี้ข้อมูลเหล่านี้ถูกเปิดเผยโดย AppData ซึ่งทำการเก็บสถิติของแอพพลิเคชันเอง ไม่ได้เป็นตัวเลขจาก Instagram โดยตรง แต่อย่างไรก็ดี Instagram ก็ปฏิเสธที่จะยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่
ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ Instagram คงต้องทำการบ้านหนักหน่อยเพื่อเรียกความเชื่อถือของผู้ใช้กลับมาในอนาคต
ที่มา - New York Post, AppData
อัพเดต: Instagram ออกมาปฏิเสธแล้วว่าข้อมูลของ AppData นั้น "ไม่เป็นความจริง" (The Verge)
Comments
ข่าวเปลี่ยน Policy นี่พอทราบ แต่ข่าวเปลี่ยนกลับนี่พึ่งจะทราบตอนนี้หล่ะ lol
+1 ครับ ไม่ทราบว่าเปลี่ยนกลับเหมือนกัน
แปลว่า 4 วันเป็นศูนย์ หรือว่าเป็น Exponential decay แบบไม่มีวันเท่ากับศูนย์กันแน่ งง
ผมว่าน่าจะอย่างหลังนะครับ แต่จะอย่างไหนก็แย่ทั้งคู่ ต่างกันที่เวลาเท่านั้นเอง T..T
หมายถึง daily active user ครับ คือ ไม่ได้ลดรายวัน แต่ ผู้ใช้ในแต่ละวัน ลดลงไปครับ
แบบนี้ควรเขียนเป็นอังกฤษดีกว่าไหมครับ อ่านปุ๊บเข้าใจเลย
ไม่ได้หมายความว่าแต่ละวันจำนวนผู้ใช้ลดลง 1 ใน 4
แต่หมายความาว่า จำนวนผู้ใช้ใน 1 วัน ลดลง 1 ใน 4 จากวันนู้น
งงไม๊ ^^
แต่หัวข่าวก็กำกวมอ่ะแหละ >/<
แต่คนไทยก็ไม่หยุดใช้ (ไม่รู้เรื่องนี้ด้วยมั่ง)
อ่านหัวข้อข่าวก็งง งี้ 4 วันคนหายหมดเลยดิ 555
+1 เหมือนผมเลย555
+1 อ่านผาดหัว ตกใจเลย ต้องรีบกดเข้ามาอ่านต่อ
WP8 ของผมแหละออกมาสิ จะอัพช่วย :P
ีคนไทยไม่สน เพราะไม่ได้อ่าน ฮ่าๆๆๆๆ
ผมคือ1ในนั้น
เดี๋ยวก็กลับมาเล่นอีก เชื่อสิ
สั้นๆ สมน้ำหน้า
Policy เป็ยังไง คนไทยไม่เคยอ่าน ตะบี้ตะบันใช้เหมือนเดิม
คนไทยนี่โง่บรมเลยใช่ไหมครับ
บางทีการยอมรับความจริงกับการดูถูกตัวเองมันก็ต่างกันนะ
ตีความอย่างไรว่าไม่อ่าน = โง่อ่ะครับ
ไม่อ่านมันน่าจะ = ไม่แคร์ ไม่สนใจนะครับ (ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องดี แต่ผมว่ามันเป็นความจริงนะ)
แล้วถ้าการไม่อ่าน = ทำผิดกฏข้อตกลงของเขาแล้วโดนเขาลงโทษหรือนำภาพไปใช้ แล้วออกมาโวยวายทีหลังผมเรียกว่าโง่บรมโง่นะ
บางทีมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ...
just because I don't care doesn't mean I don't understand - homer simpson
ทำไมถึงตีความว่าไม่อ่านแปลว่าโง่ล่ะครับ ?
ตรงนั้นผมแค่ประชดเฉย ๆ ครับ ขอโทษที่ใช้คำผิดเลยทำให้ผิดประเด็นไปครับ
เข้าใจว่าประชดครับ แต่คำประชดที่พูดมันก็มองได้อีกมุมนึงนะครับ หรือว่ามันผิด?
ส่วนที่ถามว่าไม่อ่าน แล้วทำไมถึงเรียกว่าโง่ ผลประโยชน์ของตัวเองเลยนะครับ?
ถ้าทำผิดกฏหมายแล้วอ้างว่าไม่รู้ได้รึเปล่าครับ แล้วทำให้พ้นผิดรึเปล่า?
ถึงขอโทษที่ทำให้ผิดประเด็นไงครับ
ผมแค่จะบอกว่า ทำไมชอบดูถูกว่าประเทศไทยแย่อย่างโน้นอย่างนี้ ส่วน 'ต่างประเทศ' ดีไปซะทุกอย่าง ซึ่ง 'ต่างประเทศ' ที่ว่ามันคือประเทศไหนก็ไม่รู้ แล้วประเทศนั้นเขานั่งอ่าน policy กันจริงหรือเปล่า หรือแค่มีคนปั่นกระแสลงข่าวโครมครามแล้วคนที่ทราบข่าวก็เลิกใช้ไปตาม ๆ กันแค่นั้น ซึ่งกรณีปั่นกระแสนี่ก็เกิดขึ้นในประเทศไทยเหมือนกัน (ดูได้จากเว็บข่าวไอทีดัง ๆ รวมถึงบล็อกนัน, แฟนเพจ drama addict, ส่วนข่าวกระแสหลักผมไม่ทราบเพราะไม่ค่อยได้ติดตาม) ที่ทำให้ผู้ใช้ในไทยเลิกใช้ไปหลายคนเหมือนกัน
ต่างประเทศไม่ได้ดีไปกว่าประเทศไทยทั้งหมด เพราะมันรวมข้อดีของแต่ละประเทศที่มีทั้งดี-เสียปนๆกันไป
แต่หลายๆด้านในหลายๆประเทศเราด้อยกว่าเขาจริงๆซึ่งต้องยอมรับและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันไป ซึ่งถ้าเราสามารถนำแต่ด้านดีๆมาประยุกต์ใช้ให้ถูกต้องแหละเหมาะสม(ไม่ใช่ทำครึ่งๆกลางๆแบบปัจจุบันนี้)เชื่อว่าในเวลาไม่นานเราคงจะหลุดพ้นจากคำว่าประเทศ"หยุดพัฒนา"
ในด้านเรื่องค่านิยมความรักชาติและหน้าที่ ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ทำได้ดีกว่าเรามาก
ในด้านเรื่องตัวกฏหมายที่เราไปก็อปโครงสร้างของเขามา(อังกฤษ)เขาก็ทำได้ดีกว่าเรามาก
ในเรื่องสิทธิเสรีภาพมนุษยชน(ประเทศโลกที่ 1 ส่วนใหญ่)ดีกว่าเรามาก
ในด้านการเดินทางและโทรคมนาคม(ประเทศโลกที่ 1 ส่วนใหญ่)ดีกว่าเรามาก
แต่ก็ต้องยอมรับว่าในทุกๆประเทศย่อมมีเรื่องไม่ดีเช่นกัน มีการปั่นกระแสและหลอกลวงเข่นกัน เพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์
แต่ถ้าเราไม่ทำเมื่อไหร่เราจะได้เป็นประเทศโลกที่ 1 กับเขาบ้างครับ?
ประเทศไทยอาจจะดีกว่าหลายๆประเทศที่อยู่ในประเทศโลกที่ 3 ในเกือบทุกด้านแต่เป็นเช่นนี้อีกไม่นานครับถ้าเรายังหยุดนิ่งอยู่กับที่ในขณะที่ผู็อื่นกำลังไล่ตามเรามาเรื่อยๆ ตัวอย่างที่เด่นชัดที่ที่สุดคือเรื่องการศึกษา ที่เราได้อันดับที่ 36จาก 40 ประเทศ และเรื่องรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทั้งๆที่เรามีรถไฟก่อนหลายๆประเทศในแถบเดียวกัน และสิงคโปรใช้เวลาเพียงไม่นานที่แซงหน้าเราไป
ปล.ข้อมูลหลายด้านอาจไม่ถูกต้องช่วยกันแย้งด้วยนะครับจะได้ศึกษาเพิ่มเติม
อย่างที่ผมบอกในคอมเมนท์แรกแหละครับ ผมไม่ได้ชาตินิยม ผมยอมรับความจริงว่าชาติเราด้อยกว่าชาติอื่นในหลาย ๆ ด้านตามที่คุณยกตัวอย่าง รวมถึงที่คุณไม่ได้ยกตัวอย่างอีกหลายเรื่องด้วย
แต่เรื่องการอ่าน policy
ดูจะเป็นการยกยอต่างประเทศเกินจริงไปหน่อยไหมครับ ผมเชื่อว่าถ้าเทียบสัดส่วนคนอ่าน policy ระหว่างไทยกับต่างประเทศ ผลก็ออกมาไม่ต่างกันมากหรอกครับ
ผมว่ามันก็อยู่ที่ทัศนคติของแต่ละคนนะเราถูกสอนมาว่าให้กด Next มันก็เลยเป็นอย่างที่เป็นอยู่ และส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องของค่านิยม ทัศนคติของคนในแต่ละสังคมว่าจะให้ความสำคัญและซีเรียสกับความเป็นส่วนตัวหรือข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ตของตัวเองมากสักเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ค่อนข้างแตกต่างกันมากในสังคมไทยกับประเทศอื่นโดยเฉพาะอเมริกา