เพิ่งโดนแบนล่วงหน้าจากร้านอาหารในซีแอทเทิลไปไม่นาน กลุ่มนักกฎหมายในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียก็เตรียมหาทางแบน Google Glass ไม่ให้ใช้งานในระหว่างขับรถแล้ว
ตามข้อเสนอที่กลุ่มดังกล่าวเรียกร้องมา ไม่ได้พูดถึง Google Glass เพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมถึงอุปกรณ์ไอทีแบบสวมครอบหัวทุกชนิด โดยให้เหตุผลว่าเขาทำงานเพื่อสนับสนุนกฎหมายห้ามไม่ให้ส่งข้อความระหว่างขับรถมานาน เน้นไปที่ผู้ใช้ที่ยังอายุน้อย และยังขับรถไม่แข็งว่าหากใช้อุปกรณ์ดังกล่าวแล้วจะยิ่งทวีความเสี่ยงมากขึ้น
แม้ว่า Google Glass จะมีฟังก์ชันสำหรับนำทาง แต่เราก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ในขณะขับรถ ซึ่งอาจจะดูวิดีโอ หรือส่งข้อความอยู่ก็ได้ และถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้มือก็ตาม แต่ก็ควรจดจ่ออยู่กับถนนอยู่ดี
ที่มา - C|NET
Comments
รอชมประเทศไทย
อยากรู้ว่าตอนใช้ google glass จริงๆมันจะเห็นภาพยังไง ตาคนเรามันจะโฟกัสเห็นข้อความที่เลนส์ได้เหรอ
นั่นสิครับ ผมก็งงมานานเหมือนกัน
เพิ่มระยะภาพให้ไกลออกไปได้แม้อยู่ใกล้ๆ ทำได้นะครับ ทำให้เห็นเหมือนอยู่ไกลออกไปประมาณนึง
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
งั้นถ้าใช้หลักการแบบนี้กระจกก็มีคุณสมบัติเป็นเลนส์ชนิดหนึ่ง นั้นหมายความว่าเราจะต้องใส่กระจกที่เป็นเลนส์แบบนี้ไม่มีผลกระทบต่อสายตาในระยะยาวเหรอครับ
ใช่ครับ มันเป็นเลนส์
ส่วนเรื่องผลกระทบต่อสายตาในระยะยาว ต้องดูที่ว่าหมายถึงผลกระทบด้านไหนครับ แต่ถ้าการใส่กระจกที่เป็นเลนส์สร้างปัญหา คนที่ใส่แว่นและคอนแท็กเลนส์ทั่วโลกคงลำบากล่ะครับ
ที่คนสายตาสั้น พอเริ่มใส่แว่นสายตาสั้นแล้วมันยิ่งสั้นเข้าไปอีก หรือคนสายตายาว ใส่แว่นสายตายาวแล้วมันยิ่งยาวเข้าไปอีก นั่นเพราะกล้ามเนื้อปรับเลนส์ตามันเริ่มชินครับ เหมือนถ้าผมสายตาสั้น 400 แต่ผมไม่ใส่แว่น กล้ามเนื้อเลนส์ตาผมจะฝืนเต็มที่ให้มองชัดเท่าที่จะปรับไหว แต่พอผมใส่แว่นสายตาสั้น 200 นาน ๆ เข้า พอมาถอดอีกทีกล้ามเนื้อเลนส์ตามันไม่ได้ฝืนหนักมานาน มันก็ฝืนไม่ไหวครับ
อะไรประมาณนี้แหละครับ จริง ๆ มีหลายปัจจัยร่วมด้วย
เล่น Line ตอนขับรถก็เจอมาแล้ว ไม่จับพวงมาลัยรถด้วยแค่เอามือไปแปะๆแล้วบังคับเอา คุณเธอบอกทำเล็บมาใหม่ๆ เดี๋ยวสีเล็บลอก (T-T) อยากจะวาร์ปซะตรงนั้น แล้วเจอกันปลายทางที่ไซท์ลูกค้าเลย
อ.สอนขับรถผมสอนว่าให้เลี้ยวรถวิธีนี้ (= มือเดียว) ล่ะครับ เป็นเทคนิคขั้น Advance ทีเดียว
จะบอกว่าตอนที่เรียนรถไม่มีพวงมาลัยพาวเวอร์ โคตรหนักเลย - -'
อ่านผ่านๆ เจอคำว่า ดูวีดีโอ กับ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้มือก็ตาม... oh wait..
ช่วงเปลี่ยนแปลงยุคสมัยเก่ากับสมัยใหม่
จริง ๆ แล้วกลุ่มนักกฏหมายที่ว่านี้เป็นกลุ่มตำหนวดจราจรแอบปลอมตัวมาครับ :)
เป้าหมายต่อไป - แบน GPS และเครื่องเสียงภายในรถประเภทมีจอ
เป้าหมายสุดท้าย แบนพวงมาลัย แป้นเบรค คันเร่ง และคันเกียร์
ผมว่าเค้าฟังขึ้นนะ เพราะว่าตอนขับรถไม่ควรมีอะไรมากวนใจ จะเป็นการโทร การส่ง sms การถ่ายภาพ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ทำให้ความปลอดภัยบนถนนลดลง ถ้ามันอาจทำให้คนตายใด้การห้ามไว้ก่อนจนกว่าจะมีมาตรการที่เหมาะสมก็น่าจะเป็นเรื่องดี
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
+1
เห็นด้วยครับ
ผมล่ะกลัวเขาแบนการมองกระจกมองข้างจริง ๆ (ฮา)
ล้อเล่นนะ
ผมว่าการมี GLASS มันช่วยให้เราละสายตาไปจากถนนได้ยากขึ้น เพราะว่าข้อมูลของตัวรถสามารถส่งไปที่ GLASS ได้หมดเลย (เผลอ ๆ ปลอดภัยกว่าติด GPS ด้วยซ้ำ) เพียงแต่ว่าอาจจะต้องมี Drive Mode ครอบอีกที
นี่เห็นค่ายรถเริ่มพัฒนา Hologram บน Windscreen ถ้าเกิดว่าสำเร็จจริงแต่โดนแบนอีกนี่คงเงิบไปตาม ๆ กัน
หากมันกรองข้อมูลและสามารถ augment ข้อมูลกับ object ได้แม่นอย่าง HUD ในเครื่องบินรบนั่นคงโอเค.. แต่กว่า HUD จะใช้ได้นี่ทดสอบกันยาวเลย ยิ่งบนถนนมีตัวแปรเยอะกว่ามากคงยิ่งต้องทดสอบกันอีกยาวเลย
ซักวันคงได้ใช้ แต่จะใกล้ๆ นี้หรืออีกนานคงขึ้นกับว่าจนตอนนี้ได้ทดสอบกับสภาพการใช้งานแบบนี้กันไปแค่ไหนแล้ว
ถ้า Glass ไม่บังทัศนวิสัยในการมองมากนัก การใช้กับการนำทาง แจ้งสภาพการจราจร อุบัติเหตุ จะเป็นประโยชน์มาก
ผมว่าถ้ากลัวเรื่องทำให้คนอื่นตายจริงก็ควรล็อกความเร็วรถทุกคันให้วิ่งต่ำกว่าห้าสิบกม.ต่อชม. นี้บ่อยให้ขับกันเป็นร้อยต่อให้ไม่มีอะไรมารบกวนเวลาขับก็ยังมีความเสี่ยงสูง
ปล. ประเทศเรามีคนตายจากอุบัติเหตุทางท้องถนนมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกมานานแล้ว ผมว่าเหตุที่ทำให้ไม่ลดลงสักทีเป็นเพราะมัวแก้ไขผิดจุดมาตลอดแบนโน้นนี้เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ลดการเกิดอุบัติเหตุลงเลย
จุดที่ไทยแก้น่าจะถูกแล้วนี่ คุ้นๆ ว่าเหตุที่เกิดโดยมากมันมีผลมาจากที่สิ่งที่แบนทั้งนั้น.. ประมาณว่าตบถูกยุงนะ ทว่าตบไม่แรงพอ ไม่ใช่ว่ายุงกัดแขนแต่ไปตีขา
ก็ใช่ครับ สิ่งที่เราห้ามส่วนมากเป็นต้นเหตุครับ แค่มีคนสั่งห้ามแต่ไม่มีคนมาห้ามจริง ๆ
ขับรถชนคนตายแล้วแกล้งบ้ายังรอดเลยครับ
ก็ถ้ามีใบรับรองจากแพทย์ (ซึ่งหาได้อยู่แล้ว) ก็สมควรรอดครับ แต่ต้องไม่ให้มีใบอนุญาตอีกตลอดชีวิต และธุรกรรมและอื่น ๆ จะต้องถูกจำกัดไปโดยอัตโนมัติ
เอ้อ แต่นี่ประเทศไทย คงมีเหตุผลแบบ "บ้าเฉพาะตอนนั้น" ได้ละมั้งครับ เหมือนเมาแล้วขับ ยึดใบขับขี่ก็ไปสอบใบใหม่
เราแก้แบบไทยไทยครับ ชอบโทษว่าเป็นความผิดของสิ่งโน้นสิ่งนี้ ซึ่งมันไม่ตรงจุดครับ ถ้าจะให้ตรงจุดต้องมีการบังคับเรื่อง speed limit ที่เข้มข้น การออกใบอนุญาตและการตรวจสอบผู้ขับขี่ว่ามีใบอนุญาตต้องไม่มีการทุจริต และเมื่อมีการกระทำผิดก็ต้องมีบทลงโทษที่บังคับใช้ได้จริงกับทุกชนชั้น ของพวกนี้เป็นสิ่งที่จะลดอุบัติเหตุได้จริง แต่เราก็ปัดไปใต้พรมเพราะเราไม่สามารถทำได้สักอย่าง ก็เลยหันมารณรงค์แบนนู้นนี้ซึ่งมันก็ช่วยลดอุบัติเหตุได้พอขำ ๆ แต่เรื่องหลัก ๆ ไม่ทำเราก็เลยได้เป็นอันดับต้น ๆ ของโลกครับ หรือคุณ tontpong เห็นว่าบ้านเรามีอุบัติเหตุน้อยเหรอครับจึงเอาไปเทียบกับตบยุง
เทียบการตบยุงแล้วคิดว่าผม "เห็นว่าบ้านเรามีอุบัติเหตุน้อย" ไปได้ยังไงหว่า.. เทียบใหม่กับการให้ยาละกัน
ที่เอ่ยว่า "เข้มข้น" หรือ "บังคับใช้ได้จริง" นั่น.. ผมคิดว่าแสดงว่ายาถูกขนานแล้ว แต่ยังรับยาไม่ครบโดส เช่นวันนึงต้องกินครั้งละเม็ดสามเวลาหลังอาหารแต่ดันกินแค่เม็ดเดียวครั้งเดียว อะไรทำนองนั้น
ส่วนยาผิดขนานนี่ เช่นจะป้องปรามเมาแล้วขับ แต่ดันตั้งด่านก่อนถึงผับ.. ด่านแบบนี้มันสำหรับตรวจอาวุธ/ยาละ
ก็แค่ตำรวจไม่กวดขันพอเท่านั้นล่ะครับ
ที่จริงรถผมทะเบียนขาด พรบ.ยังไม่ได้ต่อ ขับมา 2 เดือนละยังไม่เห็นโดนจับเลย (ไม่มีสำเนาทะเบียนรถในรถด้วยล่ะ)
ปล. อย่าเอาไปบอกตร.นะ
เดี๋ยวนี้เห็นรถไม่ติดป้ายทะเบียนขับกันเกลื่อน ป้ายแดงขับกลางคืนกันเต็มถนน แล้วผมก็ไม่เคยเห็นคันไหนโดนเรียกด้วย
ปลงไม่รู้จะปลงยังไงแล้วครับ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่าหลักคือๆ คนขาดสำนึก.. แม้จะไม่มีตำรวจหรือ จนท มาคอยตรวจจับ ถ้าคนมีสำนึกคงไม่ทำ
จนท ไม่เข้มงวดนั่นอีกเรื่อง ซึ่งถ้าทำขนานกันไปยิ่งได้ผลดี แต่หวังพึ่งมากคงไม่ได้ นั่งมอไซค์ไม่ใส่หมวกจะในซอยหรือถนนใหญ่มันมีผลถึงตายได้พอกัน ทว่าจะให้ตำรวจไปตั้งด่านทุกซอยคงไม่มีคนไม่พอแถมยิ่งทำยิ่งเปลืองงบ.. และยิ่งหากลดการใช้ effort กับเรื่องเช่นนี้ได้ น่าจะช่วยให้มี effort ไปทำภารกิจด้านอื่นได้มากขึ้นได้ผลดีขึ้น
นอกจากการสอนสร้างสำนึกโดยครอบครัวและโรงเรียนแล้ว การทำโฆษณาทำแคมเปญโปรโมทจึงสำคัญพอๆ กับการออกและบังคับใช้กฎหมาย.. แต่จะทำไงมัน "โดน" หนอ ทำไมเหมือนผลมันสู้พวกโฆษณาขายของหรือการสร้างกระแสอย่างแพลงกิ้งหรือกังนัมหว่า ??
ออกจะมีประโยชน์น่ะ ถ้าตั้งค่าการใช้งานเท่าที่จำเป็น
ผมว่า ตอนนำทางมันดีกว่า มองลงไปจอที่ติดที่อื่นนะ มองผ่านแว่นเลย ไม่ต้องละสายตาไปไหนเลย น่าจะดีกว่าเดิมอีก
Google Glass เขาอาจจะเน้นทำมาเพื่อคนที่ใช้ Google Car ก็เป็นได้ (ก็ไม่ต้องขับไง)
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
แค่โดนชนจากพวกใช้โทรศัพท์ก็เซ็งอยู่ล่ะ นี้ถ้ารู้ว่าใช้ Google Glass อีกนี้...
เดี๋ยวจะซื้อมาโปรแกรมแบบ คนเหล็ก terminator ใส่มาโชว์ /lol: ฮิฮิ
ที่จริง Google Glass นี่มันจะมาแก้ปัญหาเรื่องขับรถไปใช้มือถือไปด้วยซ้ำ กลับคิดจะแบนซะยังงั้น
แล้วคนที่ใช้แว่นสายตา+Google Glass นี่ทำยังไงเรอะ ถอดแว่นขับรถ?
ถอดพี่กูเกิ้ลก่อนขับ ตั้งสติก่อนสตาร์ท
ปัญหาคือภาพที่เกิดบนจอให้เห็นเป็นแบบใหนถ้าเป็นแบบไอคอนเตือนแล้วอ่านเมลให้ฟังหรือแค่อะไรที่ไม่ต้องปรับโฟกันสายตาก็คงไม่มีปัญหาท่านลองเอานิ้วมาใกล้ตาดูแล้วปรับมามองนิ้วทางข้างหน้าท่านก็จะเบลอเห็นไม่ชัดอย่าว่าแต่ขับรถเดินยังลำบากครับ
เปรียบแว่นสายตาไม่ได้หรอกครับ เพราะเราไม่ได้มองเลนส์ แต่ถ้ากูเกิ้ลทำให้ไม่ต้องมองเลนส์ได้แจ่มสุดๆ
ยังคาใจตอนที่เหลือกตาดูด้านบนอยู่บ่อยๆ จาก review ของ the verge ครับดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ ยังไงก็คงต้องรอผลการทดสอบว่ามันตอบสนองการใช้งานในชีวิตจริงและปลอดภัยเพียงพอออกมาก่อน
มิน่าล่ะ กูเกิ้ลถึงได้พยายามพัฒนารถไร้คนขับ
ผมว่าถึงแม้ว่าการมอง glass จะไม่ได้ละสายตาจากถนน แต่มันทำให้สมาธิไม่จดจ่อกับถนนครับ ถ้าเกิดเหตุขึ้นมาเราจะตอบสนองไม่ทัน ประมาณว่ารู้นะกำลังจะชน แต่ทำอะไรไม่ทันละ
การเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆๆ ต้องตามมาด้วยการไม่ยอมรับก่อน
ถ้ามันดี และมีคนใช้กันมากขึ้นจนเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับมันก็นะการเป็นของธรรมดา ที่ไม่มีใครคัดค้าน คับ
ผมว่าควรถอดน่ะดีแล้ว ในเรื่องการนำทางผมมองว่าไม่จำเป็นนะ ถ้าไม่รู้ทางเราจะขับรถออกไปทำไมหรือถ้ารู้แต่ไปไม่ถูกก็ต้องจอดถามคนแถวนั้นอยู่ดีครับ ส่วนเรื่องการจรารจถ้าให้มันแสดงผลขึ้นมันคงจะเป็นลายๆ(แสดงเส้นจราจร)บนแว่นน่ะทำให้ต้องเพ่งเยอะและลายตาเอาได้ #ให้เป็นหน้าที่ป้ายจราจรอัฉริยะแล้วกันนะ
ถ้าใช้งาน google glass หรือคุยโทรศัพท์มือถือพร้อมกับเล่นเกม gradius โดยไม่ตายได้ ผมจะถือว่ามันปลอดภัย
อาจจะต้องล็อคไปเลยว่าถ้าเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว >xx km/hr ห้ามใช้ app พวกข้อความ ฯลฯ (ห้ามที่ระบบ)
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
คิดว่าสุดท้ายคงเป็นกฎหมายบังคับdrive mode ในglass ว่าถ้าขับรถจะเข้าสู่modeนี้โดยจะแสดงข้อมูลเท่าที่จำเป็นเท่าันั้น
แต่คิดว่าก็อาจมีคนhack อีกอยู่ดี -_-"
พิสูจน์การใช้งานยังไงครับ? ว่าตอนสวมเปิดใช้งานหรือไม่ได้ใช้?
ต่างประเทศจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่ประเทศเราตอนนี้โทรศัพท์เวลาขับรถก็ไม่ค่อยจะโดนจับแล้ว (ทีไอตอนบังคับใช้ใหม่ๆ รถติดนิ่งๆ ก็ยังโทรไม่ได้เลย)
ในตอนนี้พูดยาก เพราะว่า Glass เองบรรดานักกฏหมายที่ออกมาแบน และเราๆ ก็ยังไม่ได้ลองใช้ พูดไม่ได้ว่ามันจะไม่รบกวนสมาธิ (ไหนใครบอกซิว่าตอนขับรถเสียง LINE ดังนี่สติไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่ซักนิดเดียว) การที่สมาธิไม่ได้จดจ่ออยู่กับการขับรถไม่ได้แปลว่าตาไม่เห็นนะครับ แค่ทำให้เราอาจจะตัดสินใจแบบฉับพลันไม่ทัน
จากที่อ่านบน Gizmodo มา หนึ่งในนักกฏหมายที่ผลักดันกฏหมายนี้ก็บอกว่า "กฏหมายไม่ได้มีหน้าที่คุ้มครองคนที่ก่อเรื่อง (ประมาณว่าขับแล้วชนก็เรื่องของคุณ) แต่มีหน้าที่ปกป้องไม่ให้คุณไปฆ่าใครตาย (จากการขับแล้วชนก่อนหน้า) " ผมว่ามันก็ฟังขึ้นนะ
ตามนั้นแหละครับ กับ unknow การห้ามเพื่อป้องกันไว้ก่อนเป็นเรื่องปรกติ
แต่ก็ไม่ไช่ว่าเราจะไม่ ไช้ gps ไช้ small talk หรือ ฟังเพลงขณะขับรถ เมื่ออุปกรณ์ออกมา แล้วมี solution ที่เหมาะสมมาด้วย การปลดแบนก็น่าจะต้องทำเช่นกัน
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
สมัยที่เขาคิดวิทยุติดรถยนต์มาขายก็มีคนออกมาประท้วง บอกว่าการฟังเพลงขณะขับรถจะทำให้เสียสมาธิเกิดอุบัติเหตุได้