ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปี ผมทุบกระปุกนำเงินก้อนหนึ่งไปซื้อชุดโปรแกรมกราฟิกตระกูล Adobe ในรุ่น CS6 Design Standard ซึ่งเป็นการซื้อตอนเขาจัดแคมเปญลดราคาในไทยเหลือประมาณ 30,000 บาทพอดี ก็เลยได้ใช้โปรแกรมลิขสิทธิ์ทั้งเครื่อง 100% เป็นครั้งแรก ดังนั้นรีวิวนี้จะเน้นการอธิบายความแตกต่างระหว่างธรรมเนียมดั้งเดิมของซอฟต์แวร์แบบกล่อง กับวัฒนธรรมการจ่ายเงินเช่าเพื่อใช้งาน ซึ่ง Adobe เดิมพันหมดหน้าตักไปกับวิธีนี้ครับ คงไม่ช้าไปหน่อยเนอะ
หลังจากผมซื้อ Adobe CS6 Design Standard ก็พบว่าชีวิตตัวเองสะดวกดี แต่ยังติดขัดอยู่นิดหน่อยตรงที่โปรแกรมชุด Design Standard อันมีแค่ Photoshop, Illustrator, Indesign และ Acrobat (ซึ่งผมใช้แค่สองตัวแรก) มันไม่ค่อยจะพอใช้นัก เพราะ Photoshop ที่ใช้เป็นเครื่องมือหลักดันขาดความสามารถบางประการที่ไม่มีในรุ่นประหยัด (ถ้าเป็นรุ่นท็อปๆ จะใช้ชื่อว่ารุ่น Extended)
พอเวลาผ่านไปแค่ครึ่งปี Adobe ก็เปิดตัวผลิตภัณฑ์เวอร์ชันใหม่ นั่นคือชุด Creative Cloud ซึ่งเปลี่ยนวิธีการเก็บตังค์เป็นแบบเหมาจ่ายรายเดือน โดยปรับวิธีคิดใหม่ให้ผู้ใช้ที่จ่ายเงินเช่าสิทธิ์เรียบร้อยแล้ว สามารถโหลดมาใช้กี่โปรแกรมก็ได้ไม่อั้น (เหมือนบุฟเฟต์โพนยางคำ) และยกเลิกผลิตภัณฑ์ตระกูล Creative Suite ที่มีวางขายมาแต่ดั้งเดิม เรียกว่าต่อไปนี้ ใครอยากใช้โปรแกรมของค่ายนี้ก็ไม่ต้องเสียเงินก้อนเหมือนในอดีตอีกแล้ว มาจ่ายค่าเช่ากับเราดีกว่า
ในฐานะของคนที่เพิ่งจ่ายเงินซื้อไปไม่นาน แม้จะเป็นชุดเล็กสุดเท่าที่เขาจะมีขาย แต่ก็รู้สึกเสียดายเงินขึ้นมาหน่อยๆ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จำนวนเงินที่จ่ายไปนั้นผมสามารถใช้ความสามารถใหม่ๆ ของโปรแกรมได้ "แบบยกค่าย" ติดต่อกันตั้งร่วมๆ 2 ปี ส่วนใครที่จ่ายชุดใหญ่ที่ราคาทั้งชุดเฉียดแสน ก็คูณเพิ่มไปอีกหลายปี มันก็ช้ำอยู่เหมือนกันนะ
แต่ไหนๆ พอผมมีโอกาสได้ใช้งาน Adobe CC แบบจริงๆ จังๆ ทั้งที และเห็นว่าแถวนี้ยังไม่มีใครเขียนรีวิว เลยจะขอเล่าประสบการณ์ให้อ่านกันครับ ว่าถ้าคุณอยากลองจะต้องเจออะไรบ้าง และคุ้มค่าไหมถ้าหากจะต้องจ่ายค่าเช่าซอฟต์แวร์ แทนที่จะซื้อแบบที่เราคุ้นๆ กัน เริ่มเลยนะ (บางภาพมีภาพต้นฉบับที่มีความละเอียดสูงๆ อยู่ กดที่ภาพเข้าไปดูขนาดเต็มเอาเองนะครับ)
ท่านใดที่ต้องการเสียเงินให้สบายใจเล่น ก็สามารถไปดูได้ในหน้าเว็บของ Adobe เลย ในนั้นก็จะมีป้ายเชิญชวนให้เสียเงินอยู่มากมาย ดังนั้นผมข้ามขั้นตอนของการจ่ายและชำระเงินไปเลยนะ
เมื่อเราทำการสมัครสมาชิก Adobe ID และล็อกอินที่ creative.adobe.com เรียบร้อย ก็จะปรากฏข้อความต้อนรับดังนี้ครับ
แต่ถ้าเข้ามาครั้งถัดๆ ไปก็จะเจอหน้านี้แทน
ไอคอนทั้งหมดที่เห็นนี่คือชุดบุฟเฟต์สุดคุ้มจริงๆ ครับ เรียกว่าอยากหยิบจานไหนก็กดโหลดมาได้เลย
แต่ก่อนอื่นถ้ายังไม่เคยติดตั้งอะไรในเครื่อง มันจะบังคับให้ลง Creative Cloud Installer ก่อนครับ
เมื่อติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว โปรแกรมก็จะไปฝังอยู่บนเมนูบาร์ (หรือถ้าเป็นวินโดวส์ก็ทาสก์บาร์) รอให้เราล็อกอินให้เรียบร้อย
เมื่อล็อกอินเสร็จแล้ว รายชื่อโปรแกรมทั้งหมดก็จะปรากฏขึ้นดังที่เห็นครับ อยากติดตั้งตัวไหนก็คลิก Install ได้เลย แล้วเดินไปอาบน้ำกินข้าวสักพัก กลับมาก็น่าจะเสร็จพอดี ในที่นี้ผมลอง Photoshop CC เป็นตัวแรกให้สมฐานะพระเอกของรายการครับ มีข้อสังเกตนิดหน่อยคือ เมื่อคลิกติดตั้งแล้ว ก็แทบจะไม่เห็นข้อมูลประเภทที่ว่า ขนาดไฟล์เท่าไหร่ โหลดคืนนึงจะเสร็จไหม ฯลฯ เลยครับ แต่จะขึ้นแค่ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ให้รอลุ้นเท่านั้นเอง
สรุปว่าผมเลยลองโหลดมาเผื่อไว้ก่อนซะ 6 โปรแกรมครับ (มี Lightroom ด้วย! ปกติก็ไม่เคยคิดจะซื้อใช้มาก่อน ที่โหลดมาเพราะตกเป็นเหยื่อบุฟเฟต่์นะเนี่ย)
ไม่นานนักเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วลองเข้า Photoshop ดูเป็นครั้งแรก ระบบจะแจ้งเตือนขึ้นมาว่า คุณมีค่า Presets ที่ใช้ในโปรแกรมรุ่นที่แล้ว ต้องการนำมาผนวกกับรุ่นใหม่เอี่ยมนี้เลยไหม (โอเคละกัน)
และนี่คือหน้าตาของโปรแกรมครับ จะเห็นได้ว่าถ้าใครที่ใช้เวอร์ชัน CS6 อยู่แล้วก็แทบไม่เห็นความแตกต่าง แต่ถ้ามาจากรุ่นก่อนหน้าก็อาจจะงงนิดนึงกับอินเทอร์เฟซที่เข้มขรึมสุดๆ (ถ้าไม่ชอบก็ปรับเป็นโทนสีอ่อนเหมือนเดิมได้นะ)
นี่คือจุดที่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าครับ โปรแกรมจะเห็นเราล็อกอินค้างไว้ด้วยบัญชี Adobe ID ทำให้ต่อไปนี้การตั้งค่าต่างๆ จะเชื่อมกับ Creative Cloud ดังนั้นไม่ว่าคุณจะใช้คอมพิวเตอร์กี่เครื่องที่ไหน ก็สามารถใช้บัญชีเดียวกันนี้ไปเปิดโปรแกรม และโหลดการตั้งค่าที่เหมือนกันในทุกเครื่องได้ ถ้าจะจินตนาการให้ง่ายๆ ก็คงเหมือนฟีเจอร์คล้ายๆ กันนี้ของโครมครับ
สำหรับประสบการณ์การใช้งานในแต่ละโปรแกรม พวกลูกเล่นใหม่ๆ ฟีเจอร์ใหม่ๆ อะไรพวกนี้ผมขอข้ามนะครับ เพราะมันเยอะ และน่าจะหาอ่านได้จากที่อื่นง่ายๆ อยู่แล้ว เรามาเน้นเรื่องความเป็น Creative Cloud กันต่อดีกว่า
สำหรับแอป Creative Cloud ที่เปิดไว้ตรงมุมจอนั้นก็มีหน้าที่ไว้คอยตรวจสอบการอัปเดตของชุดโปรแกรมทั้งหมดครับ อย่างในภาพนี่คือผมเปิดเครื่องอีกครั้งในตอนที่โปรแกรมต่างๆ กำลังทยอยอัปเดตพอดี ก็เลยมีลิสต์รายชื่อให้เลือก ในที่นี้ด้วยความเห่อของใหม่ ผมก็กดไปทั้งหมดเลย
ถ้าอยากดูว่าในแต่ละโปรแกรมมีอะไรใหม่บ้าง ก็กดลิงก์เล็กๆ ดูได้ครับ จะเห็นได้ว่าบางอย่างคือการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ไปเลย คือต่อไปนี้ไม่ต้องมาสนใจเรื่องเลขเวอร์ชันกันอีกต่อไปแล้ว เพราะตราบใดที่ยังจ่ายตังค์ให้ Adobe คุณก็จะได้ใช้โปรแกรมที่เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ
ถ้าอยากดูประวัติย้อนหลังการอัปเดตก็มีให้ในแท็บ Home ครับ ในแท็บนี้จะทำหน้าที่แสดงฟีดย้อนหลัง และบอกว่ามีอะไรใหม่สดๆ ร้อนๆ รอให้กดอัปเดต
ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมลองพามาดูแท็บอื่นๆ กันบ้างดีกว่า ในภาพคือแท็บ Files ซึ่งหลักการทำงานน่าจะคล้ายๆ พวก Google Drive หรือ Skydrive ครับ คือเก็บไฟล์เราเอาไว้บนเมฆเพื่อความสะดวกในการทำงานร่วมกับทีม หรือเผื่อคนมีคอมหลายเครื่อง น่าเสียดายที่ยังไม่เปิดใช้งาน (เข้าใจว่ายังทำไม่เสร็จ แต่ไม่ลดราคาให้นะ)
ส่วนแท็บ Fonts นี้ก็จะไปเชื่อมต่อกับ Adobe Typekit ซึ่งเป็นบริการคลังฟอนต์ของ Adobe ที่ใช้ง่ายมากจนเหลือเชื่อ หลักการทำงานก็คือมีฟอนต์อยู่บนเซิฟเวอร์ของ Adobe ชอบตัวไหนก็กดสั่งมาติดตั้งลงในเครื่องเราผ่านเว็บได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องไปยุ่งกับระบบติดตั้งฟอนต์ของเครื่องเลยสักนิด พอเสร็จแล้วก็สามารถใช้ได้ทั้งกับชุดโปรแกรม Adobe CC และโปรแกรมอื่นๆ ในเครื่องด้วย! ลองดูคลิปตัวอย่างการใช้งานแล้วร้องเหยดเลยครับ เจ๋งมาก... แต่ก็ยังไม่เปิดให้ใช้งานอยู่ดี ล่าสุดทราบมาว่าสามารถลงทะเบียนขอใช้งานได้ทั้งหมวด Files และ Fonts ครับ แต่คิวยาวหน่อยนะ
และในแท็บสุดท้ายก็คือ Behance เป็นแท็บที่เอาไว้ผูกบัญชีของเรากับบริการของเว็บดังกล่าว ซึ่งเป็นเว็บสำหรับโชว์ผลงานการออกแบบของดีไซเนอร์จากทั่วโลก
พอผูกบัญชีเข้าด้วยกันแล้วก็จะเป็นแบบนี้ครับ มีฟีดข่าวอะไรต่อมิอะไรขึ้นมา ในความเห็นส่วนตัวของผมก็คือ "มันจะมีมาทำไมก็ไม่รู้"
เมื่อพาทัวร์ในแอป Creative Cloud เสร็จแล้ว ก็อยากจะขอแวะเข้ามาดูชุดโปรแกรมที่ติดตั้งไว้นิดนึงครับว่ามีอะไรที่น่าสนใจบ้าง
โดยติดตั้งลงไปในเครื่องที่มี Adobe CS6 อยู่แล้วเลยแหละ ผลคือเวลาลงปั๊บมันจะไม่ทับเวอร์ชันเก่าครับ แต่บรรดาไอคอนของโปรแกรมชุด Adobe CS6 ใน Launchpad (สำหรับแมคนะ) จะถูกแทนที่ด้วย Adobe CC แทน ซึ่งโปรแกรมเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน เปิดดูในโฟลเดอร์ Applications ก็ยังอยู่สุขสบายดี ส่วนไอคอนของโปรแกรมที่วางไว้ตรง Dock ก็ยังอยู่ ผมเลยลองจับลากมาวางใกล้ๆ เพื่อเปรียบเทียบกัน จะเห็นได้ว่าดีไซน์ของไอคอนเปลี่ยนไปนิดหน่อย โดยโทนสีจะออกวับๆ แวมๆ เหมือนไฟนีออนตามร้านคาราโอเกะแถวสะพานควายครับ
ผมลองเข้าไปใช้งาน Illustrator CS6 (ของเดิม) แล้วเปิดไฟล์ที่สร้างจาก Illustrator CC (ของใหม่) ก็พบว่าเนื้อไฟล์ส่วนมากจะยังเข้ากันได้ดี ไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกับชาวบ้าน นั่นคงเป็นเพราะปกติผมไม่ได้ทำอาร์ตเวิร์กแบบพิสดารนัก ก็เลยเจอแค่ข้อความเตือนแบบในภาพ ซึ่งพอเปิดไฟล์มาพิจารณาดูก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากครับ อันนี้ใครที่ลองใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ของโปรแกรมรุ่นล่าสุดแล้วเอามาเปิดในเวอร์ชันเก่าไม่ติด ช่วยแจ้งด้วยนะครับว่ามันเละแค่ไหน
สิ่งที่น่าประทับใจใน Illustrator CC อย่างเห็นได้ชัดคือแถบเครื่องมือที่ใช้ทำงานกับตัวอักษรครับ ก่อนหน้านี้เวลาเลือกฟอนต์ทีนึงนี่ถึงกับปวดตับเลย เพราะในช่องเลือกฟอนต์มันพิมพ์ Search ตามชื่อไม่ได้ แต่พอมารุ่นนี้มีแว่นขยายมาให้ใช้ สบายครับ พิมพ์ชื่อคร่าวๆ ลงไปได้เลย
เสียอย่างเดียวคือการแสดงผลชื่อฟอนต์หลายๆ ตัวกลับเพี้ยนไปเยอะ อย่างฟอนต์ไทยนี่โดนแจ็กพ็อตไปหลายตัวเลย (เข้าใจว่าไปดึง metadata ในการแสดงชื่อฟอนต์มาคนละตัวกับเวอร์ชันก่อนหน้า) แต่โดยรวมแล้วประทับใจมากครับ
ส่วน Adobe Extension Manager CC นี่ก็หน้าตาไม่ต่างจากเดิมครับ จะมี Extension บางตัวที่มีข้อความแจ้งเตือนว่าไม่รองรับ Adobe CC อันนี้ก็ต้องรอให้ผู้พัฒนาปรับรุ่นตามกันไปอีกที
ชอบ
ไม่ชอบ
แถม
เนื่องจากผมไม่ได้ทำงานเกี่ยวกับวิดีโอ หรือซาวด์เอ็นจิเนียร์ใดๆ เลย แต่ก็ต้องแบกรับภาระจ่ายค่าเช่าโปรแกรมเหล่านี้ด้วย เพราะนี่คือระบบบุฟเฟ่ต์ ทำให้รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าตกลงไหนๆ เสียเงินแล้ว เราควรจะโหลดมาไว้ให้รกเครื่องเล่นๆ ไหม หรือ Adobe ควรมีทางออกให้กับกลุ่มคนคล้ายๆ กันนี้
ซึ่งก่อนหน้านี้เท่าที่ตามอ่านข่าวของวงการนักออกแบบและช่างภาพ ก็พบว่ามีเสียงเรียกร้องสะท้อนไปยัง Adobe ให้ช่วย "หั่น" แพ็กเกจ ซอยย่อยเป็นชุดเล็กเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในสมัย Creative Suite เสียทีเถิด แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับเสียที ยังคงมีแต่แพ็กเกจแบบเหมารวมมิตร (แพงสุด), แบบเช่ารายโปรแกรม (ถูกหน่อยแต่ก็ไม่ครอบคลุม), และรุ่นเพื่อการศึกษา (ลุงๆ อดไป)
จนวันหนึ่งแสงสว่างเรืองรองก็ปรากฏขึ้นมา เมื่อมีการเปิดตัวชุดเล็กสำหรับคนทำงานเกี่ยวกับภาพถ่าย ชื่อ Photoshop Photography Program ซึ่งมี 2 โปรแกรมได้แก่ Photoshop CC และ Lightroom CC พร้อมราคาของแพ็กเกจที่ถูกกว่าจ่ายเต็มชุดใหญ่อยู่พอสมควร (ในนี้บอกว่า 300 บาทต่อเดือนสำหรับผู้ที่มี Adobe CS3 ขึ้นไปในครอบครองอยู่แล้ว) ซึ่งนี่ก็เป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับน้าๆ ตากล้องในบ้านเราเลยนะครับ ที่จะได้ใช้โปรแกรมลิขสิทธิ์ในการทำมาหากินในราคาไม่แพงเลย และหมดข้ออ้างในการโหลด Photoshop + Lightroom เถื่อนซะที
Comments
เจิม
ม่ว่า ห้เลือก => ไม่ว่า ให้เลือก
ขอบคุณครับ อ่านจบด้วย สุดยอด
@iannnnn
จริงๆ ก็อ่านไม่จบนะครับ ข้ามไปเยอะเลย :D
ขออีกที่ บุฟเฟต่์ ตรง ต เต่า มีทัณฑฆาตซ้อนอยู่บนไม้เอกครับ
ชุดเล็กน่าสนใจมากครับ ยิ่งถ้ามี Photoshop อย่างเดียวให้ด้วยจะน่าสนใจกว่านี้อีก :D
มีแบบ Single App ให้เช่าด้วยนะครับ จะใช้ตัวไหนก็จิ้มเอาเลย ราคาเดือนละ 600 บาท
@iannnnn
น่าสนใจครับ แบบนี้พวกตากล้องขาดองงานสบายเลย รับงานทีละเยอะๆ เช่าเดือนเดียวแต่งรูปให้หมด :D
อ่าา ขอบคุณสำหรับการรีวิวนะครับ ตอนนี้ผมใช้เวอร์ชันทดลอง กำลังจะอัพเป็นตัวเต็มในราคานักเรียนนักศึกษา (เดือนละ 600 บาท) ครับ แม้จะรู้สึกว่าซื้อมาแล้วใช้ไม่ถาวร แต่ถ้าได้อัพเดทเป็นรุ่นล่าสุดตลอด ผมก็ยินดีจ่ายครับ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ใช้แต่ Photoshop CC จ่ายเดือนละ 600 บาท ใช้แต่งภาพเล่นๆ โน้นนี่ไปเรื่อยก็โอเคดี สบายๆ ใช้ซอฟต์แวร์ เพลง หนังแท้หมดแล้ว ปรับชีวิตตัวเองพอสมควรเหมือนกัน บางครั้งก็เสียดายเงิน แต่ก็นะ ของเค้าทำมาขายไม่ได้เอามาให้เราใช้ฟรีๆ เถื่อนๆ ><"
ตอนนี้ผมสนใจ Adobe Creative Cloud ราคานักเรียนอยู่ 600 บาทต่อเดือนได้ครบหมดทุกอัน (ปีแรก) ไม่รู้จะสอยดีหรือเปล่านะ หมดเขต 27 นี้ด้วยสิ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เป็นครั้งแรกในชีวิตนะครับ ที่มีของขายออนไลน์ในราคาเงินบาท แล้วถูกกว่าซื้อเป็น USD หรือว่าช่วงนี้เงินบาทอ่อนค่าไปหน่อย?
เงินอเมริกันอ่อนครับ 3-4 ปีมานี้ จริงๆ อ่อนมาเกือบ 25% (จาก 40 กว่าบาท เป็น 30 บาท)
แต่ทั่วโลก ยังหาทางออกกันอยู่ เพราะทุกอย่างตอนนี้ ผูกกับ USD
ถ้า FED (Federal Reserve) ยังดื้อตาใสให้ใช้นโยบายเดินบัญชีขาดดุล
หรือ ออกพันธบัตร กู้เงินออกมาอีก
เราอาจจะได้ใช้ USD แทนแบงค์กงเต็ก ในเร็วๆวันนี้
(แบงค์ us จะไม่มีค่าเหมือนแบงค์ซิมบับเวย์ เพราะมันมีเยอะเกินไป
แล้วก็ไม่มีใครอยากจะใช้มันแล้วด้วย หนีไปใช้เงินจีนดีกว่า)
เข้าใจว่าคงอ่านข่าวมากไปหน่อย
จริงๆ ผมสนับสนุนแนวคิดซอฟต์แวร์เช่าใช้ที่ทำให้ได้รุ่นใหม่มาใช้ตลอดเวลานะครับ แต่ตอนนี้เริ่มกังวลอยู่อย่างนึง คือความเข้ากันได้
ตอนนี้ซอฟต์แวร์เช่าใช้แบบคลาวด์ดังๆ ผมรู้จักอยู่สองเจ้า คือ Office 365 กับ Adobe CC ซึ่งฝั่ง Office นี่มีปัญหาความเข้ากันได้ของเอกสารมาเกือบทุกรุ่น โดยเฉพาะ Microsoft Word เปลี่ยนรุ่นใหม่ทีจัดหน้าเละตลอด
ไม่รู้ว่าฝั่ง Adobe มีปัญหานี้ขนาดไหน แล้วอนาคตแต่ละค่ายจะแก้ไขกันยังไง
ผมใช้ Photoshop CC ตัวเดียวครับ ส่วน แฟนผมซื้อ PS กับ AI CC ครับ ส่วนใหญ่เน้นซื้อรายตัวเสียมากกว่าครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
นาน น๊าน จะเห็นน้องนิทานมาpost :)
....แอบแซว
ติดการ์ตูนนิทาน4ช่องครับ ชอบ ชอบ
หนีไปใช้ Gimp inkacap
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
ได้ยินชื่อ Creative Cloud มานาน ที่แท้ก็คือ การเช่า App แบบ Buffet นั่นเอง
ความฝันที่จะได้ใช้ App PS ของจริง ก็ใกล้เป็นจริงแล้ว (เคยเห็นราคาแบบกล่องสมัยก่อน แล้วถึงกับเงิบ)
รอเคลียร์งานเสร็จแล้วกลับมาจับกล้องอีกครั้งจะซื้อแน่นอน
สนับสนุนการใช้ของลิขสิทธิ์ ครับ ทุกวันนี้ App/เพลงในเครื่องผม ได้จากการซื้อถูกลิขสิทธิ์ ทั้งหมด
จนหน่อย แต่สบายใจว่าไม่ได้ขโมยของใครมา
เช่าก็ดีนะ ช่วงไหนไม่ใช้ก็ไม่ต้องเช่า
ดีนะ ใช้ก็จ่าย ไม่ใช้ก็ไม่ต้องจ่าย เพราะราคาจริงมันสุดเอื้อมก่อนไป
แต่ส่วนตัวไม่ได้ทำงานกราฟฟิคอะไร มีแต่แต่งรูปเล่นๆ ก็คบหาเจ้า Gimp ต่อไป 555+
..: เรื่อยไป
เวอร์ชั่น Crack ก็มีนะ !!
การเช่า บังคับเช่าเป็นรายปีนะครับ แต่จ่ายทีละเดือน ทำให้ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน แต่ต้องจ่ายต่อเนื่อง
1 ID สามารถ Install กี่เครื่องก็ได้ แต่สามารถเปิดใช้งานพร้อมกันได้เพียง 2 เครื่อง ถ้าจะ login เครื่องที่ 3 ระบบจะให้ทำการ logout ออก 1 เครื่อง (ต้องทำเองที่เครื่องที่เคย logoin ไว้) หรือให้ระบบ logout ออกจากทั้ง 2 เครื่องโดยสั่งจากเครื่องที่ 3 ได้เลย
ถ้าเครื่องที่ไม่ได้ต่อ internet เป็นประจำ (ยังมีรึเปล่าครับ) adobe จะบังคับให้คุณต่อ internet เพื่อ login ทุก 30 วันครับ
หาต้องการใช้มากกว่า 2 โปรแกรมขึ้นไป ซื้อทั้งชุดคุ้มกว่าครับ เพราะรายตัว ตัวละ 600 ถ้าเช่า 3 ตัว ก็ 1800 ทั้งที่ทั้งชุดอยู่ที่ 1500 (อันนี้ราคาปกตินะครับ)
ตอนนี้ส่วนของ File กับ Font ใช้ได้แล้วนะครับ แต่จะมีปัญหาใช้ไม่ได้กับ OS X Mavericks คงต้องรอ update จาก adobe อีกครั้งหลังจาก OS X Mavericks ออกขายครับ
อยากให้ Autodesk ทำแบบนี้บ้างจัง
มีครับ แต่ราคาต่อซอฟท์แวร์ 1 ตัวนี่มากกว่า Adobe ทั้งชุด ประมาณ 3 เท่าครับ (อย่างว่าของเค้าระดับอภิมหาโปร)
เอาไปดูขำๆครับ
http://www.autodesk.com/buy/rental-plans
ทำงานกราฟฟิคนิดๆ หน่อยๆ เลยซื้อ Pixelmator มาใช้ ความสามารถโอเคในราคาซื้อขาดแค่ $15
ถอย CS6 Design Standard ราคานักศึกษาเหมือนกันครับ ตอนที่ Creative Cloud ออกมาใหม่ๆ ส่วนตัวไม่ชอบตรงจุดที่ว่าถ้าหยุดจ่ายเงินก็หมดสิทธิใช้เหมือนกันครับ ก็เลยตัดสินใจซื้อเป็นชุดเพื่อให้ใช้ได้ตลอดชีพชีวาวาย
แต่การเช่านั้นซอฟต์แวร์ที่ใช้จะเป็นตัวใหม่ล่าสุดอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับแบบกล่องพอออกตัวใหม่มาก็ต้องซื้อหรืออัพเกรดในราคาที่ไม่เบา
อย่างบางคนที่ใช้ความสามารถที่มีตอนนี้ก็เกินพอแล้วผมว่าแบบกล่องก็คุ้มกว่านะ อยางผมเน้นวาดกับปากกาเป็นหลักความสามารถอื่นๆนี่แทบไม่ได้ใช้เลย
เห็นด้วยครับ ผมก็จัดมาชุดนึงตอนเรียนเทอมสุดท้าย
เท่าที่ผมเห็น บางคนยังใช้ CS หรือ CS3 ทำงานหาตังได้อยู่เลย ถ้าหากจ่ายแบบเช่า ถ้าเกิดหยุดจ่ายไป เราก็หมดสิทธิ์ในโปรแกรมนั้นไปเลย ผมว่าแย่อ่ะ ซื้อขาด แล้วใช้ของเก่าไปก็ได้ อย่างน้อยก็ทำงานได้อยู่อ่ะ
จะติดต่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงใบเสร็จรับเงิน ติดต่อโคตรยากเลย ระบบการสั่งซื้ออะไรก็ดูมั่ว ๆ ดี ผมก็งง จะต่ออายุบัตรเครดิตใบเดิมต่อไม่ได้ จะใช้ใบใหม่ก็ไม่มีที่ให้เปลี่ยน อย่างเซ็งกับระบบการจัดการ
สมัครแล้วครับ กดโหลดโปรแกรมแบบว่าฟินมาก
ตัว Student ที่ต่างๆจากตัวทั่วไปเท่าที่ผมเห็นคือ ไม่มี Web Hosting มาให้ แล้วก็ไม่มี Story Plus มาให้
ถามว่าคุ้มไหมคงตอบไม่ได้ครับ เพราะนี้คือเงินพ่อแม่ครับ(ลูกที่ดีมากจริงๆ) เพราะตัวเต็มเดือนละ 1,500 (ของผม 600) นี่ก็ถือว่าโหดใช้ได้
สำหรับ ผมว่าถ้าทำงานพวก Production จะคุ้มมาก เพราะในชุดนี้ครบเครื่องจริงๆ และใช้ร่วมกันได้หมด Prelude,Premiere,Audition,After Effect,SpeedgRade แล้วก็ Photoshop อะไรก็คงได้ใช้อยู่แล้ว แล้วในความคิดผม โปรแกรมแนวนี้ควรได้อัพเดทเพื่อรองรับไฟล์ใหม่ๆตลอดเวลาด้วย
แต่ผมว่าถ้าทำงาน Design นี่คงไม่คุ้มนักครับ เพราะคงได้ใช้พวก Photoshop กับ Illustrator แค่นั้น ซึ่งผมว่าไม่คุ้มครับ แต่ถ้าท่านคิดจะใช้บริการออนไลน์ของเค้า ก็ต้องถือว่าของเค้าหลากหลายดีมากครับ แต่ถ้าทำงานวาดทั่วไป CS6 น่าจะคุ้มกว่าในระยะยาวครับ
ถ้าใครคิดว่าอยากใช้ให้คุ้มต้องใช้ให้ครบนี่ เป็นไปไม่ได้หรอกครับ โปรแกรมมันครบทุกแนวมาก คือผมว่าผมใช้หลายโปรแกรมแล้วนะครับ แต่ก็ยังเหลือให้โหลดอีกเกินครึ่ง พวก Edge(สร้างเว็บ) Dreamweaver หรือ Flash ต่างๆนี่ไม่ได้แตะเลย
ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆครับ เอามาแชร์กัน
ในโลกของคนทำงานนี่ เดือนละ 1500 กับการใช้งานแค่ 2 โปรแกรมที่ว่าโหดๆ ทุกวัน มันคุ้มนะครับ 5555 ยิ่งถ้าเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทด้วยแล้วถือว่าคุ้มมากเลย
@iannnnn
เป็นค่าใช้จ่ายบริษัทยังไงมันก็คุ้มอยู่แล้วล่ะครับ 55555
ว่าแต่อย่างงานของพี่แอนนี่ได้ใช้โปรแกรมไหนบ้างอ่ะครับ
แก้ข่าวนะครับ ตัว Student มี Web Hosting กับ Story Plus นะครับ ตอนแรกหาไม่เจอ แหะๆ
รวกวนขอถามนิดนึงนะคะ คือใช้โปรแกรมเถื่อนอยู่ แต่ตอนนี้อยากจ่ายใช้โปรแกรมลิขสิทธิ์อ่ะค่ะ ไม่ทราบว่า เราควร uninstall ของเถื่อนก่อน แล้วค่อยลง Creative cloud หรือว่าลงไปได้เลยคะ
Adobe Cloud ตัวแทนจำหน่าย
Photoshop Illustrator Acrobat CS6/CC
http://www.padee.co.th/adobe.html