Apple Watch Store สาขาแรกถูกสร้างขึ้นในรูปแบบ “ร้านค้าชั่วคราว” เพื่อสนับสนุนยอดขายสินค้า โดยจะตั้งแยกออกมาจากร้านค้าทั่วไป เนื่องจากในช่วงแรก Apple Watch ได้ถูกวางไว้ในตำแหน่งสินค้าหรูหรา เทียบได้กับนาฬิกาชั้นนำทั่วโลก แต่ล่าสุดดูเหมือนจะไม่ค่อยได้รับผลตอบรับดีเท่าไหร่ Apple ก็ดูเหมือนจะปรับตัวทันโดยเน้นกลุ่มลูกค้าไปที่การออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น
สำหรับสาขาสุดท้าย Isetan Shinjuku ได้ติดป้ายประกาศว่าจะปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2561 และขอบคุณลูกค้าทุกคนที่สนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ Apple เคยเปิดทั้งหมด 3 แห่งทั่วโลก ได้แก่ Selfridges ใน London และ Galeries Lafayette ใน Paris โดยทั้งสองสาขาปิดไปตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว
ทั้งสามสาขาเปิดตัวขึ้นพร้อมกับ Apple Watch รุ่นแรกในปี 2015
ซึ่งในยุคมั้ยนั้น Apple ได้วางตำแหน่ง Apple Watch รุ่นบนอย่าง Edition อยู่ในกลุ่มสินค้าหรูหรา เริ่มต้นด้วยราคาสามแสนกว่าบาท (วัสดุทองคำ) จนกระทั่งรุ่นถัดไปมีการลงสเปคความหรูหราลงเป็น Modern Editions ที่เป็นเซรามิคเหลือเพียงสี่หมื่นกว่าบาท (แต่ก็ยังแพงอยู่ดี) และปัจจุบันเพิ่มความเป็นอุปกรณ์ออกกำลังมากยิ่งขึ้น
ที่มา – appleinsider
The post Apple Watch Store สาขาสุดท้ายกำลังจะถูกปิดตัว appeared first on iPhoneMod.
libdatrie 0.2.11 ออกแล้ว หลังจากที่ไม่ได้ออกรุ่นมาเลยถึงสองปีครึ่ง และนับเป็น release แรกของ libdatrie ที่ออกจาก github หลังจากที่ปล่อยให้แพกเกจอื่น ๆ ทยอยออกรุ่นกันไปเยอะแล้ว
รุ่นนี้มีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนอกเหนือจากการย้ายมา Github คือ:
ถือว่ารุ่นนี้ได้รับ contribution จากผู้ใช้ค่อนข้างหลากหลาย โดยเฉพาะการช่วยวิเคราะห์ปัญหาที่น่าประทับใจ และได้รู้เพิ่มเติมว่ามีการใช้งาน libdatrie กับ PHP ด้วย
และเช่นเคย upload 0.2.11-1 เข้า Debian เรียบร้อยแล้ว พร้อมความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การรองรับการ build ที่ไม่ต้องใช้ (fake)root
กระแสสังคมไร้เงินสดในบ้านเรามีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เรื่องการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตตามมาด้วยบัตรเดบิตของธนาคารต่างๆ ที่ใครๆ ก็มีได้ และพัฒนามาอีกหน่อยก็กระเป๋าเงินดิจิตอลอย่าง True Wallet, ส่วนที่เป็นกระแสเมื่อไม่นานมานี้ก็คือการชำระเงินผ่าน QR Code ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับการรับชำระของร้านค้าและผู้ใช้งานทั่วไป
ทางกลุ่มทรูสนับสนุนสังคมไร้เงินสดจึงได้เปิดแคมเปญยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่า True Point & Pay ยิ่งขาย ยิ่งจ่าย ยิ่งได้ทรูพอยท์ ผนึก ทรูยู ทรูไอดี ทรูมันนี่ เสริมความแข็งแกร่ง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล โดยได้ดึง “โป๊ป ธนวรรธน์” ชวนร้านค้าเพิ่มยอดขายและกำไรอย่างสมาร์ท ด้วยแอปฯใหม่ “ทรู เถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
เปิดตัวแอป ทรู เถ้าแก่ 4.0 – True Merchant 4.0 สำหรับร้านค้า สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่มกรุงเทพฯ 23 เมษายน 2561 – กลุ่มทรู ผนึก ทรูยู ทรูไอดี ทรูมันนี่ สานต่อนโยบายรัฐก้าวสู่สังคมไร้ เงินสด เปิดตัวแคมเปญ “True Point & Pay ยิ่งขาย ยิ่งจ่าย ยิ่งได้ทรูพอยท์” ผ่าน “ทรูเถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” แอปพลิเคชันใหม่คู่ใจร้านค้า ช่วยเพิ่มยอดขาย และกำไร
นำ “โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” เชื่อมต่อกระแส ออเจ้า เจาะกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ายุคใหม่ เจ้าของร้านค้ามาเป็นพันธมิตร เพื่อให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยกัน สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่มและยังโปรโมทร้านฟรีผ่านสื่อแบบครบวงจรอีกด้วย โดยแอปฯ “ทรูเถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” ซื้อ-ขายง่าย ผ่าน QR Code เพียงสแกน QR Code ของร้านก็ชำระเงินผ่าน ทรูมันนี่ วอลเล็ทได้ทันที ปลอดภัย ไม่ต้องใช้เงินสด
ทั้งนี้ร้านค้าที่ สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ “ทรู เถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” เพื่อใช้เป็นแอปฯ รับชำระเงินลูกค้า ได้ทั้งระบบ iOS และ แอนดรอยด์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.trueyou.co.th/truemerchant4.0
นายฐานพล มานะวุฒิเวช ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ และบริหารความสุขลูกค้าบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล สนับสนุนการสร้างสังคมไร้เงินสดตามนโยบายของรัฐบาล จึงเปิดแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี True Point & Pay ชูแนวคิด ยิ่งขาย ยิ่งจ่าย ยิ่งได้พอยท์ โดยสำหรับลูกค้ายิ่งใช้จ่าย ยิ่งได้พอยท์เพิ่ม
ส่วนร้านค้ายิ่งขาย ยิ่งได้ ยิ่งรวย ดึงพระเอกแห่งยุคโป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาชวนร้านค้าให้มาร่วมเป็นพันธมิตรกับทรู เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ “ทรูเถ้าแก่ 4.0- True Merchant 4.0”
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษ จับรางวัลทุกวัน 5 รางวัลสำหรับลูกค้า 5 รางวัลสำหรับร้านค้า ตั้งแต่วันที่ 15พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2561 รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท อาทิ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และทองคำ นายฐานพล มานะวุฒิเวช กล่าวสรุป
นายธีรวัฒน์ ติลกสกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในฐานะที่ทรูมันนี่เป็นผู้ให้ บริการด้านการชำระเงินอิเล็ กทรอนิกส์ และบริการทางการเงินสำหรับผู้ บริโภคในยุคดิจิทัล รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่ วมแคมเปญนี้ ลูกค้าและร้านค้าจึงสามารถมั่ นใจและวางใจได้ว่านอกจากได้รั บความสะดวกสบายในการใช้จ่ายแล้ว ยังจะได้รับการปกป้องรั กษาความปลอดภัยบัญชีผู้ใช้ด้วยมาตรฐานระดับโลก”
นางสาวญาดาผนิต โพธิ์เนียร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิ ชย์ บริษัท ทรู ดิจิตอล แอนด์ มีเดีย แพลตฟอร์ม จำกัด กล่าวว่า “ทรูไอดี แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ ความความต้องการที่ หลากหลายของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ รู้สึกยินดีที่ได้มอบสิทธิพิเศษต่างๆ จากทรูยู โดยทุกการใช้จ่าย 25 บาทจะได้รับ 1 ทรูพอยท์เพื่อนำไปแลกรับเป็นส่วนลดในร้านค้าต่างๆ อีกมากมาย”
สำหรับร้านค้าที่ สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปเถ้าแก่ 4.0 เพื่อใช้เป็นแอปรับชำระเงินลู กค้า ได้ทั้งระบบ iOS และ แอนดรอยด์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.trueyou.co.th/truemerchant4.0
The post เปิดตัวแอป ทรู เถ้าแก่ 4.0 – True Merchant 4.0 สำหรับร้านค้า สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม appeared first on iPhoneMod.
บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC ได้รายงานงบการเงินไตรมาส 1 ของปี 2561 โดยกำไรในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น แต่รายได้ของทาง DTAC ในไตรมาสนี้ลดลงเล็กน้อย 3.5% รวมไปถึงต้นทุนและค่าใช้จ่ายก็ลดลงเช่นกัน
ไตรมาส 1 ของทาง DTAC กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,315 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าในไตรมาส 1 ปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 229 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญของไตรมาสนี้อยู่ที่ค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่ลดลง
ลูกค้าของทาง DTAC ไตรมาส 1 อยู่ที่ 21.812 ล้านเลขหมาย ลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ซึ่ง DTAC มีลูกค้า 24.310 ล้านเลขหมาย ARPU เฉลี่ยต่อเลขหมายอยู่ที่ 240 บาท เพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว
รายได้รวมของทาง DTAC อยู่ที่ 19,060 ล้านบาท รายได้ลดลงจากไตรมาส 1 ปีที่แล้วอยู่ที่ 3.5% รายได้จากเสียงและข้อมูลเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว ส่วนทางด้านรายได้จากบริการข้ามแดน ลดลง 14% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว รายได้ให้บริการอื่นๆ และรวมไปถึงรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ (ค่า IC) ลดลง 25% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว
ต้นทุนของทาง DTAC ลดลง 6.9% อยู่ที่ 14,247 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว โดยได้ปัจจัยจากค่าธรรมเนียมและส่วนแบ่งรายได้ลดลง ค่าเชื่อมต่อโครงข่ายลดลง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ลดลง รวมไปถึง ต้นทุนการจำหน่ายเครื่องและเลขหมายลดลง แต่ทางด้านของค่าเสื่อมราคา รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้านโครงข่ายเพิ่มขึ้น
ค่าใช้จ่ายของ DTAC ไตรมาสนี้ลดลง 6.3% อยู่ที่ 3,643 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปีที่แล้ว ประเด็นสำคัญของไตรมาสนี้คือค่าใช้จ่ายการขายและการตลาดลดลง 22%
DTAC คาดว่างบประมาณสำหรับลงทุนขยายเครือข่ายในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 15,000 ถึง 18,000 ล้านบาท และล่าสุดทางบริษัทได้เป็นพันธมิตรคู่ค้ากับทาง TOT โดยนำคลื่น 2300 MHz มาใช้งานด้วย
ที่มา – ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หลังจากยืดเยื้อมานานข้ามปี ในที่สุดความร่วมมือระหว่าง dtac และ ทีโอที นำคลื่นความถี่ 2300MHz มาให้บริการ 4G LTE-TDD ก็ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการเรียบร้อย
กรอบความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลาถึง 2568 โดยทีโอที จะเช่าเครื่องและอุปกรณ์โทรคมนาคมจากเทเลแอสเสท ซึ่งเป็นบริษัทลูกของดีแทค ไตรเน็ต เพื่อนำมาสร้างโครงข่ายโทรคมนาคมสำหรับให้บริการไร้สายความเร็วสูง (Broadband Wireless Access, BWA) ทั้งบริการบรอดแบนด์ไร้สายประจำที่ (Fixed Wireless Broadband) และบริการบรอดแบนด์เคลื่อนที่ (Mobile Broadband) ผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งความจุโครงข่ายส่วนหนึ่ง (Capacity) ทีโอที ได้นำมาให้บริการตอบโจทย์ความต้องการใช้งานของลูกค้า และตอบสนองนโยบายของรัฐ และความจุโครงข่าย (Capacity) อีกส่วนหนึ่ง จะนำมาให้บริการแก่บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต ในรูปแบบของการใช้บริการข้ามโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Roaming)โดย ทีโอที จะมีรายได้จากการให้บริการโรมมิ่งปีละประมาณ 4,510 ล้านบาท
ความร่วมมือครั้งนี้ มีการคัดเลือกจากผู้สนใจ 6 รายที่เข้าร่วมยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นพันธมิตรคู่ค้าบริการไร้สายคลื่นความถี่ 2300 MHz กลุ่มบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต เป็นผู้ที่ผ่านกระบวนการคัดเลือกมาอย่างโปร่งใส รัดกุม ทุกขั้นตอนโดยทีมงานที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ในการสรรหาคู่ค้าระดับโลก ซึ่งก็คือ บริษัท เดเทคอน และไพร์มสตรีท แอดไวเซอรี่ ที่เริ่มกระบวนการคัดเลือกคู่ค้าตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2559 โดยกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการสรรหาคู่ค้าอย่างละเอียด ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ผลงาน รวมถึงประสบการณ์ที่ผ่านมา และตลอดจนผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ ทีโอที มั่นใจได้ว่า พันธมิตรคู่ค้าที่ผ่านการคัดเลือกจากที่ปรึกษาจะส่งเสริมการทำธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะบริการไร้สายของ ทีโอที ในระยะยาว และสร้างหลักประกันด้านการเงินให้กับ ทีโอที ได้เป็นอย่างดี
สำหรับคลื่นความถี่ 2300MHz เป็นคลื่นที่กว้างที่สุด ขนาด 60MHz ทำให้ dtac สามารถให้บริการด้วยเทคโนโลยี 4G LTE-TDD บนคลื่น 2300MHz จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดของการใช้งานทรัพยากรคลื่นความถี่ด้วยเทคโนโลยี Time Division Duplex (TDD) ในทางเทคนิค คือการใช้งานคลื่นความถี่แบนด์เดียวทั้งรับและส่งข้อมูลในเวลาเดียวกัน จึงทำให้เพิ่มศักยภาพการรองรับรูปแบบการใช้งานดาต้าได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ จากการรายงานของสมาคมจีเอสเอ็ม หรือ GSMA Intelligence การขยายโครงข่าย LTE-TDD ของผู้ประกอบการทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญโดยคาดว่า TDD จะมีสัดส่วนทั่วโลกถึง 22% ในปี 2563
ติดตามผลประกอบการไตรมาสแรก ปี 2561 ของดีแทคได้ที่นี่
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
กลุ่มทรูเปิดตัว ทรูเถ้าแก่ 4.0 (True Merchant 4.0) แอพพลิเคชั่นสำหรับร้านค้า โดยเปิดบริการให้ใช้ฟรี ชำระเงินผ่าน QR Code ของ TrueMoney Wallet ถือเป็นการเดินเกม Digital Money อีกขั้นของกลุ่มทรู
กระแสสังคมไร้เงินสดกำลังมาแรง หลายธุรกิจต่างปรับตัวเพื่อแย่งชิงฐานลูกค้ากันอย่างดุเดือด สิ่งสำคัญที่เห็นได้ชัดคือ ไม่ใช่แค่เพียงธุรกิจธนาคารเท่านั้นที่ต้องเร่งครอบครองพื้นที่นี้อย่างรวดเร็ว แต่ในด้านของสาย Non-Bank อย่าง True Money ก็เร่งปรับตัวไม่หยุดเหมือนกัน
ฐานพล มานะวุฒิเวช ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์และบริหารความสุขลูกค้าบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ประกาศในงานเปิดตัวว่า “เรามองเห็นว่าฝั่งลูกค้ามีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้จ่ายมากมาย แต่ในฝั่งร้านค้าเรายังไม่ได้เห็นมากนัก กลุ่มทรูจึงคิดว่าเราต้องทำแอพเพื่อร้านค้าขึ้นมา เราจึงใช้ชื่อว่าทรูเถ้าแก่ 4.0 ตรงคำว่า 4.0 ต้องการให้สอดคล้องกับกระแสไทยแลนด์ 4.0 ของไทย”
“แอพพลิเคชั่นทรูเถ้าแก่ 4.0 จะเข้ามาตอบโจทย์พ่อค้าแม่ค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพราะสะดวกในการรับชำระเงินจากลูกค้าด้วย QR Code ผ่าน True Money Wallet”
ฐานพล ระบุว่า ร้านค้าที่เข้ามาใช้บริการทรูเถ้าแก่ 4.0 จะได้สิทธิประโยชน์ดังต่อไปนี้
ก่อนอื่น แอพใหม่ของทรูตัวนี้ พูดง่ายๆ คือ ไม่ได้แตกต่างจากแอพของธนาคารต่างๆ ที่ให้ใช้ร้านค้าจ่ายเงินผ่าน QR Code เพราะแอพเถ้าแก่น้อย 4.0 ก็ทำงานผ่าน True Money Wallet และใช้ QR Code ได้เหมือนกันทุกประการ
สิ่งที่ ฐานพล ผู้บริหารกลุ่มทรู ย้ำความโดดเด่นของแอพตัวนี้คือการสะสมแต้มคะแนนหรือพอยท์ที่ใช้จ่ายและแลกของได้อย่างหลากหลาย “เราไม่ได้คิดว่าธนาคารเป็นคู่แข่ง แต่เราเพียงแค่ต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพาร์ทเนอร์ของเราเท่านั้น”
วิธีการแจกพอยท์ของทรูจะแบ่งเป็น
การปรับตัวและแข่งขันเพื่อเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเป็นกระแสที่ดุเดือดขึ้นทุกวัน ผู้เล่นที่ไม่ใช่ธนาคารอย่างกลุ่มทรูส่งทรูเถ้าแก่ 4.0 แอพพลิเคชั่นสำหรับร้านค้า ชูจุดเด่นของบริการด้วยการแลกพอยท์สะสมที่นำไปแลกของและใช้จ่ายได้ เชื่อว่าธนาคารต่างๆ ก็ไม่นิ่งนอนใจในสมรภูมิครั้งนี้อย่างแน่นอน
รายละเอียดทรูเถ้าแก่ 4.0 ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ ส่วนตัวอย่างโฆษณาของทรูเถ้าแก่ 4.0 ดูได้ด้านล่างนี้
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
ถ้าพูดถึงวงการสตาร์ทอัพ เรามักจะได้ยินถึงการนำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ ณ วันนี้โลกเดินทางมาถึงยุคของ “เทคโนโลยีชั้นสูง” หรือ Deep Tech กันแล้ว ซึ่งสิ่งนี้แหละที่กำลังจะกลายเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จในการแข่งขันของโลกในอนาคตอันใกล้อีกด้วย
ถ้าผู้อ่านยังไม่รู้จักว่า Deep Tech คืออะไร บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับ Deep Tech กันให้มากขึ้น
Deep Tech คืออะไร?โดยปกติเราน่าจะรู้จักกับเทคโนโลยีอย่างเช่น ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI, Blockchain ที่เป็นระบบการจัดเก็บข้อมูลแบบไร้ศูนย์กลาง, เทคโนโลยีสาย Cloud Computing, อุปกรณ์ IoT รูปแบบต่างๆ หรือกระทั่งเทคโนโลยี AR/VR ที่เป็นการจำลองภาพแบบเสมือนจริง
ส่วน Deep Tech ซึ่งย่อมาจากคำว่า Deep Technology หรือมีผู้แปลเป็นไทยไว้ว่า “เทคโนโลยีชั้นสูง” โดยหลักการแล้วมาจากการผสมผสานเทคโนโลยีเข้าด้วยกันเพื่อสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ล้ำขึ้นไปอีก อย่างเช่น การนำเอา AI ผสมผสานกับ Big Data เพื่อทำให้ระบบการทำนายข้อมูลในอนาคตมีความแม่นยำมากขึ้น หรือ การนำเอาเทคโนโลยี Mixed Reality มาใช้ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ต่อยอดประสบการณ์ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
แต่การจะไปถึงจุดนั้น นอกจากการผสมผสานเทคโนโลยีเข้ากันแล้ว สิ่งหนึ่งที่สำคัญของ Deep tech คือการมี Deep Knowledge หรือความรู้เชิงลึกที่ต้องสกัดมางานวิจัย ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังมีความรู้ที่จำกัดอยู่มาก กล่าวคือเทคสตาร์ทอัพในประเทศไทยมีลักษณะเป็นแพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชั่นอยู่เป็นส่วนมาก ซึ่งเป็นการมุ่งตอบสนองความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคในด้านต่างๆ จึงเป็นโมเดลที่สามารถลอกเลียนแบบได้ไม่ยาก และท้ายที่สุดผู้ที่พัฒนาแพลตฟอร์มที่ครองใจผู้บริโภคได้มากที่สุดจะเป็นผู้อยู่รอด มีสตาร์ทอัพเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถฉีกตัวเองออกมาด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองด้วย Deep Tech สมัยใหม่
การจะเข้าใจภาพรวมของ Deep Tech จำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าการจะเกิดเทคโนโลยีชั้นสูงได้นั้น จำเป็นจะต้องอาศัยการสร้างความรู้เชิงลึก และการมี ecosystem ที่พร้อมต่อการพัฒนา และสุดท้ายจะนำไปสู่ความพร้อมในการแข่งขันของประเทศในอนาคต
Deep Tech กับความพร้อมสำหรับการแข่งขันในอนาคตในปัจจุบัน ถ้าไปเปิดผลวิจัยจาก IMD ในปี 2017 จะพบว่า ความสามารถในการแข่งขันทาง “เทคโนโลยีดิจิทัล” ถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในในตัวชี้วัดความสำเร็จของประเทศไปแล้ว
ผลการวิจัยระบุว่า หากดูที่ขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว ประเทศที่เป็นผู้นำของโลกขณะนี้คือ ฮ่องกง ตามมาด้วยสวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกาตามลำดับ
แต่ถ้าเสริมปัจจัยเรื่อง “เทคโนโลยีดิจิทัล” เข้าไปในสมการ ผลปรากฏว่าประเทศที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำในด้านการแข่งขันทางธุรกิจกลับไม่ใช่ฮ่องกง แต่กลายเป็นสิงคโปร์ ตามมาด้วยสวีเดน สหรัฐอเมริกา และฟินแลนด์ ส่วนฮ่องกงตกไปอยู่ในลำดับที่ 7
คำถามคือ อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในเรื่องนี้ได้ คำตอบก็คือ การสนับสนุนจากภาครัฐในการผลักดันนวัตกรรมผ่านการลงทุนใน Deep Tech และงานวิจัยเชิงลึก มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2016 ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นรูปธรรม คือเมื่อกลางปี 2017 ที่ผ่านมา รัฐบาลสิงคโปร์ได้ประกาศจัดตั้งกองทุนนวัตกรรมของประเทศที่มีมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่ากองทุนนี้จะสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจของประเทศได้อีกไม่ต่ำกว่า 1.5 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ในอีก 5 ปีข้างหน้า
แล้วประเทศไทยพร้อมแค่ไหนกับการแข่งขัน?ถ้าใช้ข้อมูลตามผลวิจัยของ IMD หากดูเพียงความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ปัจจุบันประเทศอยู่ในอันดับที่ 27 ของโลก แต่หากเพิ่มปัจจัยเรื่องความสามารถในการแข่งขันทางเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไป ประเทศไทยจะตกไปอยู่ที่ 41 ของโลก
หากถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น จากข้อมูลที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาของประเทศไทยคือ การวิจัยด้าน Deep Tech ที่ยังมีความท้าทายและข้อจำกัดอยู่หลายส่วน สิ่งสำคัญคือความไม่ต่อเนื่องของภาคความรู้ นั่นคือสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัย และภาคธุรกิจ หรือบริษัทเอกชน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันคือ ภาคการศึกษาและภาคธุรกิจต่าง ๆ ไม่ทำงานร่วมกัน ภาคการศึกษามีองค์ความรู้อยู่มาก แต่ขาดการสนับสนุนเชิงพาณิชย์ ในขณะที่ภาคธุรกิจก็ไม่ดึงความรู้จากภาคการศึกษาไปใช้วิจัยพัฒนา ทำให้เสียโอกาสในภาพรวมของการพัฒนา Deep Tech ด้วยการเอาข้อได้เปรียบของแต่ละฝ่ายมาเกื้อหนุนกัน (Synergy) และที่มากไปกว่านั้น ต้องยอมรับว่าวงจรการสร้างความรู้ในปัจจุบันของไทยยังช้ามาก เพราะรูปแบบการเรียนในมหาวิทยาลัย 4 ปีตามหลักสูตรปกติ อาจทำให้ก้าวไม่ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และการวิจัยในมหาลัย ก็อาจไมได้ตอบโจทย์ธุรกิจจริง
นอกจากนั้น ถ้าไปเทียบกับวงการเทคโนโลยีในฝั่งตะวันตกกับประเทศไทย ยกตัวอย่างเช่น เมืองแห่งเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกาอย่าง Silicon Valley ที่มีการส่งเสริมให้เกิด ecosystem ที่ดี จะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังตามหลังอยู่มาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อต้นปี 2018 มีการจัดงาน SILICON VALLEY DEEPTECH SUMMIT เพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งปันองค์ความรู้ในแวดวงเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความรู้เชิงลึกจากหลากหลายวงการ ในขณะที่สังคมไทยยังไม่มีการบูรณาการความรู้ในเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นเอกภาพ
แต่หากเราถอดบทเรียนของประเทศที่ประสบความสำเร็จข้างต้น จะพบว่า ความสำเร็จของสิงคโปร์ คือการมีผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่างภาครัฐที่พร้อมผลักดันและลงทุนอย่างจริงจังให้เกิดการสร้างนวัตกรรมเชิงลึกอย่าง Deep Tech มีการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลอย่างชัดเจน มีกองทุนสนับสนุนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Early Stage Venture Fund ที่จับสตาร์ทอัพ มาแมทช์กับผู้ลงทุนได้อย่างลงตัว หรือโครงการสนับสนุนด้าน R&D ถึง 19 ล้านเหรียญสิงคโปร์ หรือการออกนโยบาย World’s First Smart Nation
หรืออย่างอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศที่มีจำนวนสตาร์ทอัพเทคโนโลยีที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดย 20% ของจีดีพีของประเทศ มาจากอุตสาหกรรมไฮเทค โดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีด้าน Cybersecurity และ Fintech ยังมีภาครัฐที่ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขันให้สตาร์ทอัพมีสถานะเหมือนสินค้าส่งออกสำคัญ ทั้งลดกำแพงภาษีต่าง ๆ ให้นักลงทุน รวมทั้งการสนับสนุนด้านการศึกษาในเรื่องเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเพื่อสร้างคนในประเทศ ความเชี่ยวชาญด้าน Cybersecurity ของอิสราเอลจึงเป็นที่ต้องการนักลงทุนต่างชาติเป็นอย่างมาก ขณะที่ Fintech ของอิสราเอลก็เป็นที่ยอมรับของสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างชาติอย่างมาก
อีกประเทศที่น่าสนใจคือ ไต้หวัน ซึ่งรัฐบาลเลือกที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศด้วยการให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมวิจัยนวัตกรรมเป็นตัวนำ นอกเหนือจากการเป็น OEM/ODM แบบเดิม โดยมุ่งเน้นใน 5 อุตสาหกรรมกลยุทธ์หลัก ๆ คือ Internet of Things, Biotech/Medicare, Green Energy, “Smart” Machinery และ National Defense หรืออย่างอุตสาหกรรม Semiconductor ซึ่งไต้หวันเป็นผู้นำโลกมานาน ก็ผ่านการพัฒนามาจนถึงจุดนี้โดยอาศัยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ระดับโลก เพื่อลดต้นทุนการผลิต และรองรับความเสี่ยงในการผิดพลาดทางเทคโนโลยี และยังสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากต่างชาติด้วย และรัฐบาลก็ได้เริ่มวางนโยบายที่จะยกระดับประเทศให้ก้าวข้ามจุดของการเป็นผู้ผลิตตัวกลาง หรือผู้รับสั่งผลิต ไปสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมสมัยใหม่ ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ แก่ผู้ลงทุน และการลดหย่อนผ่อนผันด้านกฏระเบียบต่าง ๆ
แล้ว Deep Tech ในไทยตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?อรพงศ์ เทียนเงิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด (ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์) ให้ความเห็นว่า “Deep Tech ในไทยยังอยู่ในขั้นของการคิดค้น พัฒนา และต่อยอด หากเทียบเรื่องการจดสิทธิบัตรนวัตกรรมกับประเทศเทคโนโลยีอื่น ๆ ในโลก ยังถือว่าน้อยกว่ามาก แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการวิจัยเชิงลึก ประเทศไทยถือว่ามีองค์ความรู้ในส่วนนี้อยู่แล้วแต่อยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่สิ่งที่จำเป็นต้องทำ คือการเชื่อมโยงภาคการศึกษามหาวิทยาลัย กับภาคธุรกิจเอกชน เพื่อสกัดเอาความรู้เชิงลึกมาใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการพัฒนาและต่อยอดให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการของตลาดได้จริง เพื่อให้พร้อมต่อการแข่งขันของประเทศในอนาคต”
สำหรับสังคมไทย เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงดิจิทัลของโลก หลายภาคส่วนก็เริ่มมีการขยับตัว หลายบริษัทมีการจับมือกันทำสตาร์ทอัพในช่วงที่ผ่านมา แต่ถ้าพูดถึงการสร้างเทคโนโลยีชั้นสูงหรือ Deep Tech ในอุตสาหกรรมต่างๆ เรียกได้ว่ายังมีน้อยมากๆ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ เราได้เห็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของดิจิทัล เวนเจอร์สที่ได้จับมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีและมหาวิทยาลัยชั้นนำ ก่อตั้งโครงการสตาร์ทอัพที่มุ่งส่งเสริมสาย Deep Tech โดยเฉพาะ ที่มีชื่อว่า U.REKA ก็น่าจะถือเป็นฤกษ์ยามที่ดีของวงการเทคโนโลยีไทย ที่จะได้เห็นการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นของคนไทยเองมากขึ้น แม้ว่าอยู่ในช่วงตั้งไข่ แต่การที่ภาคส่วนต่างๆ เริ่มเข้ามามีบทบาทในการผลักดัน Deep Tech ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของสังคมไทย เพราะการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีชั้นสูงจะตอบโจทย์การสร้างนวัตกรรมที่มีศักยภาพเพื่อให้ประเทศพร้อมต่อการแข่งขันทางธุรกิจในอนาคต งานนี้นักวิจัย นิสิตนักศึกษา หรือบุคคลทั่วไปที่สนใจในการพัฒนานวัตกรรม Deep Tech สามารถรวมตัวกันและสมัครเข้าร่วมในโครงการนี้ได้เลยที่ www.u-reka.co
สรุปจะเห็นได้ว่า Deep Tech คือเทคโนโลยีชั้นสูงที่ต้องใช้ความร่วมมือของหลายภาคส่วน การส่งเสริมให้เกิด ecosystem ในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงในประเทศไทยจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อการนำเอางานวิจัยที่เป็นความรู้เชิงลึกหรือ Deep Knowledge จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ออกมาสู่สาธารณะเชื่อมต่อกับภาคธุรกิจ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Tesco Lotus เดินหน้าขยายสาขา พัฒนาสู่ Omni Channel เชื่อมต่อออฟไลน์ และออนไลน์ เพิ่มพื้นที่ขายอีก 600,000 ตารางฟุต พร้อมวางแผนสู่ Cashless ในอนาคต
แม้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาวงการค้าปลีกจะถูกผลกระทบจากการช้อปออนไลน์ เห็นได้ชัดจากในต่างประเทศที่มีการปิดสาขากันอย่างหนัก ทำให้มีการปรับตัวกันอย่างยกใหญ่ เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคในยุคนี้ แต่ในประเทศไทยค้าปลีกยังไปได้สวยอยู่ เพราะกลุ่มผู้บริโภคยังชอบเดินห้าง
เมื่อเจาะตามกลุ่มพูดถึงเซ็กเมนต์ของไฮเปอร์มาร์เก็ตที่มี 2 ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง เทสโก้ โลตัส และบิ๊กซี มีการห่ำหั่นเล่นสงครามราคากันมาตลอด เพราะกลุ่มลูกค้าในเซ็กเมนต์นี้ตัดสินใจซื้อด้วยราคาเป็นส่วนใหญ่
แต่แค่ราคาอย่างเดียวก็มัดใจไว้ไม่อยู่ จำเป็นต้องสร้าประสบการณ์ที่ดีมากขึ้น ซึ่งในช่วงหลังมานี้เทสโก้ โลตัสมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำมาเชื่อมกับการขายในรูปแบบเดิมที่อยู่หน้าร้าน
ในปีนี้เทสโก้ โลตัสได้ประกาศแผนลงทุนในปี 2018 ไม่ได้กำหนดเป้าหมายว่าขยายกี่สาขา แต่กำหนดเป็นขนาดพื้นที่ที่จะขยายจำนวน 600,000 ตารางฟุต เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 40%
เหตุผลที่ไม่ได้กำหนดเป็นจำนวนสาขานั้น “สมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย” CEO คนใหม่ของเทสโก้ โลตัส ได้ให้เหตุผลว่า
“การขยายสาขาในปีนี้ไม่ได้ระบุเป็นจำนวนสาขา เพราะไม่ได้บริหารว่าจะเป็นเป็นฟอร์มแมทอะไร จำนวนเท่าไหร่ แต่จะดูช่องว่าง และโอกาสในแต่ละพื้นที่มากกว่าว่าจะสามารถเปิดรูปแบบไหนได้ มีความยืดหยุ่นในการเปิด และไปทำเลที่เป็นอำเเภอรองมากขึ้น เพราะยังมีโอกาส มีการขาดร้านค้าอยู่มาก”
ผนึกออนไลน์ ออฟไลน์ ลุย Omni Channel
แม้เทสโก้ โลตัสจะแข็งแกร่งในร้านค้าออฟไลน์ที่มีเกือบ 2,000 สาขา แต่มื่อยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้ต้องโฟกัสที่ออนไลน์มากขึ้น ได้มีการปั้นแพลตฟอร์มช้อปออนไลน์ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ต้องการช้อปผ่านช่องทางนี้
และมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่น ซึ่งแอพจะเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าสู่ Omni Channel ได้ มีการใส่ข้อมูล Club Card สามารถใช้แทนบัตรได้ สะสม e-Stamp ได้ และใช้ e-Coupon ส่วนลดได้เช่นกัน เรียกว่าไปที่สโตร์แล้วพกมือถือไปเครื่องเดียว ทดแทนการพกบัตรแบบเดิม
“ความสะดวกของลูกค้าในตอนนี้ไม่ใช่แค่มีสาขาที่ใกล้บ้าน แต่ต้องเป็นการบริหารทางเลือกให้ลูกค้ามีหลายฟอร์แมทตามความต้องการ และต้องซื้อที่ไหนก็ได้ เชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อ”
เสริมประสบการณ์ลูกค้า
เทสโก้ โลตัสได้มีการลงทุนปรับโฉมสโตร์ให้ทันสมัยมากขึ้น เริ่มที่โซนอาหารสดที่ได้มีการเน้นเป็นพิเศษ เรียกว่า Premium Fresh Food เริ่มที่สาขาสุขุมวิท 50 และได้ขยายเพิ่มในอีก 6 สาขา ในปีนี้จะขยายเพิ่มอีก 15 สาขา
รวมถึงในปีนี้มีการปรับโฉมภาพรวมของสโตร์อีก 120 สาขาให้ทันสมัยขึ้น เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าเมื่อมาเยือนที่สโตร์
สรุป
แม้สถานการณ์ค้าปลีกในตลาดโลกจะไม่ค่อยสู้ดี แต่ในไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อยู่ ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่ยังมีการลงทุนอย่างหนัก เพราะคนไทยยังมีพฤติกรามชอบเดินห้าง ชอบจับชอบทดลองสินค้าเองอยู่ การปรับตัวของค้าปลีกก็ช่วยทำให้ตามทันพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้น ยิ่งอยู่ได้ในระยะยาว
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
เชื่อว่าหลายๆ คนยังชื่นชอบงานออกแบบของ iPhone SE อยู่ มาชมเหตุผลกันว่าเพราะอะไร iPhone SE ยังเป็น iPhone ที่ได้รับความนิยมในงานออกแบบ
ทำไม iPhone SE ยังเป็น Design ที่ผู้คนชื่นชอบอยู่เราได้สรุปความเห็นจาก Steven Frank ที่เผยผ่าน Twitter ถึงสาเหตุที่งานออกแบบของ iPhone SE ยังได้รับความนิยมอยู่
หากใครพอจำได้ iPhone 4 เป็น iPhone ที่มีการปรับ Design ครั้งใหญ่จาก iPhone ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2007 และเป็นรูปทรงที่ดูหรูหรา น่าใช้งานมาก ใช้มาตั้งแต่ iPhone 4 – iPhone SE
ด้านหลังของ iPhone SE นั้นเป็นพื้นผิวเรียบเสมือนกันไม่มีส่วนใดที่นูนขึ้นมา โดยเฉพาะกล้องหลังที่ฝังอยู่ในตัวเครื่องเลยทำให้ดูสวยงามมาก (ไม่นูนขึ้นมาเหมือนรุ่นใหม่ๆ)
สำหรับขนาดตัวเครื่องของ iPhone SE นั้นถือว่าเป็นจุดเด่นเลยทีเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบ iPhone ตัวเครื่องไม่ใหญ่ ไม่หนักมาก สามารถใช้งานด้วยมือข้างเดียวได้อย่างสบาย
ใน iPhone SE นั้นจะวางปุ่ม Power ไว้ที่ด้านบนเนื่องจากตัวเครื่องขนาดไม่ใหญ่มากและการใช้นิ้วกดเพื่อล็อกเครื่องก็ทำได้ง่ายมาก นอกจากนั้นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง ก็ใช้เป็นแบบวงกลม ที่หาไม่ได้แล้วใน iPhone รุ่นใหม่ๆ
ในมุมมองลักษณะการใช้งานจริงจะเห็นว่าการกดปุ่ม Home เพื่อออกจากแอป, เรียก Multitask, Touch ID ก็สามารถใช้งานได้ง่ายจบในปุ่มเดียว ไม่เหมือนกับ iPhone X ที่ไม่มีปุ่ม Home แล้วผู้ใช้จะต้องเรียนรู้รูปแบบการใช้งานอีกแบบหนึ่ง
จุดเด่นของ Touch ID ที่ปุ่ม Home คือ เราสามารถตั้งให้สแกนหลายนิ้วได้ และการสแกนนิ้วด้วย Touch ID ผู้ใช้เพียงหยิบเครื่องขึ้นมา วางนิ้วลงบนปุ่ม Home ก็สามารถปลดล็อกเครื่องได้เลย ซึ่งก็สะดวกไม่แพ้ Face ID
ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.iPhone SE เป็น iPhone รุ่นที่ยังมีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. อยู่ เพราะตั้งแต่ iPhone 7 เป็นต้นมาช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ถูกตัดออกไปแล้ว (และอาจไม่กลับมาอีก)
ทั้งหมดนี้ คือ จุดเด่นด้านการออกแบบ iPhone SE ที่ยังสร้างความประทับใจและชื่นชอบจากผู้ใช้อยู่ และยังมีปัจจัยด้านอื่นอย่างเช่น ราคาที่ย่อมเยา, สเปกแรง ที่ทำให้ผู้ใช้ชื่นชอบรุ่นนี้มาก และ Apple ก็ยังเปิดขายรุ่นนี้อยู่ใน Apple Store Online ประเทศไทย
สำหรับปี 2018 นี้ก็มีข่าวลือเกี่ยวกับ iPhone SE 2 รุ่นใหม่มาให้ติดตามกันมากขึ้น ส่วนรูปแบบการออกแบบตัวเครื่องจะยังคงเดิมหรือไม่ ต้องรอดูกันในปีนี้ครับ
The post ทำไม iPhone SE ยังเป็น Design ที่ผู้คนชื่นชอบอยู่และอยากให้มีรุ่นใหม่ appeared first on iPhoneMod.
ข่าวนี้อาจทำให้ผู้ชื่นชอบในการเสี่ยงทายอาจเซ็งไปตามๆ กันเล็กน้อย ถ้าหากถูกรางวัลขึ้นมา เมื่อกรมสรรพากรเตรียมเก็บภาษีรางวัลลอตเตอรีเพิ่มเติม เพราะว่าอัตราเดิมที่ใช้มานานถึง 36 ปี เพราะอัตราเงินเฟ้อได้ขึ้นไปเกินแล้ว
ประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ได้กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพากรกำลังอยู่ระหว่างการแก้ไขประมวลรัษฏากรเพื่อเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีอากรแสตมป์สำหรับใบรางวัล จาก 0.25% เป็น 2% ของเงินรางวัล ซึ่งได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี คณะกรรมการกฤษฎีกา และ สภานิติบัญญัติ
เงินเฟ้อเปลี่ยนไป เงินรางวัลก็เปลี่ยนสำหรับประเด็นที่ต้องเพิ่มอัตราการจัดเก็บนั้นเป็นเพราะว่า อัตราเดิม 0.25% นั้นใช้มานานถึง 36 ปี และยังรวมไปถึงเรื่องของเงินรางวัลที่เปลี่ยนไปด้วย เพราะในอดีตเงินรางวัลของสลากกินแบ่งรางวัลที่ 1 เท่ากับ 1 ล้านบาทเท่านั้น แต่ในปัจจุบันรางวัลที่ 1 คือ 6 ล้านบาท
ฉะนั้นทางกรมสรรพากรจึงต้องปรับค่าอากรให้เหมาะสมกับปัจจุบัน ซึ่งกรมเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อผู้ที่ถูกรางวัลแน่นอน เพราะส่วนต่างเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และยังสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ที่ถูกรางวัลในกรณีอื่นๆ เพราะว่าจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% ซึ่งแตกต่างกับการถูกรางวัลสลากกินแบ่ง ซึ่งไม่ต้องเสียภาษีตรงนี้
ไม่ได้คาดหวังกับรายได้อธิบดีกรมสรรพากร ยังได้กล่าวเสริมว่า การที่ปรับอัตราเก็บภาษีใหม่ขึ้นมาเป็น 2% ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รายได้เพิ่มจากตรงนี้ โดยแต่ละเดือนกรมสรรพากรจะมีรายได้จากอากรแสตมป์สำหรับเงินรางวัลสลากกินแบ่ง ซึ่งตกอยู่ประมาณเดือนละ 100 ล้านบาท แต่ทำให้เกิดความเป็นธรรมและอัตราจัดเก็บสอดคล้องกับปัจจุบัน
ที่มา – หนังสือพิมพ์ข่าวสด, หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
แอปพลิเคชันสำหรับการแต่งภาพอีกหนึ่งตัวที่แนะนำว่าต้องไว้สำหรับ iPhone เลยนั่นก็คือ Snapseed ที่พัฒนาโดย Google เป็นแอปแต่งรูปที่ฟีเจอร์ดีมากและใช้งานง่ายได้ผลลัพธ์ออกมาสวย แถมแอปนี้เปิดให้ใช้งานได้ฟรีด้วย เหล่านักถ่ายภาพชั้นนำหลายๆ คนในเมืองไทยก็ยังแนะนำแอปนี้เช่นกัน
Snapseed แอปแต่งรูปขั้นเทพจาก Google อัปเดต UI รองรับ iPhone X แล้ววันนี้มีข่าวมาอัปเดตกันสั้นๆ แจ้งให้ทราบว่าแอป Snapseed เนี่ย วันนี้ปล่อยอัปเดตในเวอร์ชัน 2.18.1 บน App Store ให้โหลดใช้งานกันโดยการเปลี่ยนแปลงหลักก็คือการปรับ UI (User Interface) ให้รองรับกันหน้าจอของ iPhone X นั่นเองครับ ซึ่งจริงๆ แล้วก่อนหน้าที่ยังไม่อัปเดตนั้นงานใช้งานก็ยังทำได้ปกติ(ผมก็ใช้ประจำ) ซึ่งมันก็ดีที่พัฒนาออกมาให้รองรับ เพราะเราจะได้พื้นที่การแสดงผลที่มากยิ่งขึ้นเมื่อใช้งานนั่นเองครับ
ทีมงาน iMod เคยเขียนบทความแนะนำเอาไว้แล้วลองชมกันได้ที่ แต่งรูปบน iPhone ด้วยแอป Snapseed [วีดีโอ] หรือชมคลิปด้านล่างได้เลย นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ Snapseed สามารถทำได้ ลองเล่นกันดูนะครับ ไม่ยากอย่างที่คิด
สนใจสามารถดาวน์โหลด Snapseed ได้ฟรีที่ App Store รองรับ iDevice ทุกตัวที่ติดตั้ง iOS 8.0 ขึ้นไป
The post Snapseed แอปแต่งรูปขั้นเทพจาก Google อัปเดต UI รองรับ iPhone X แล้ว appeared first on iPhoneMod.
ขยายทั้งในและนอกประเทศอย่างเข้มข้น หลังจากที่คนไทยได้เห็นแจ๊ค หม่ามาเยือนไทย และจับมือรัฐบาลพร้อมลงทุนกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท ล่าสุด Alibaba ลงทุนในอีคอมเมิร์ซบ้านเกิด ขยายตลาดชนบท เพราะในเมืองเริ่มอิ่มตัว
Alibaba เตรียมประกาศลงทุนใน Huitongda Network แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีฐานลูกค้าอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วประเทศจีน ด้วยเม็ดเงินจำนวน 717.2 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทย 2.2 หมื่นล้านบาท
การจับมือลงทุนในครั้งนี้จะนำไปสู่การสนับสนุนในด้านซัพพลายเชนให้แก่กัน รวมถึงการที่ Alibaba จะเข้ามาจัดการคลังสินค้า โลจิสติกส์ เทคโนโลยี รวมไปถึงการสนับสนุนด้านคลาวด์และโซลูชั่นโลจิสติกส์ที่บริษัทมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ความร่วมมือของ Alibaba กับ Huitongda เป็นกลยุทธ์ที่น่าจับตามอง เพราะนับวันตลาดในเมืองหลักอย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หรือเซินเจิ้นที่ Alibaba ทำมาตลอด (และทำได้ดีด้วย) เริ่มจะอิ่มตัว
อันที่จริงแล้ว Taobao (ของ Alibaba) ได้เริ่มเจาะตลาดอีคอมเมิร์ซในชทบทมาสักพักแล้ว ขณะนี้ครอบคลุมบริการกว่า 19 จังหวัด 700 มณฑล และอีกกว่า 30,000 หมู่บ้านทั่วประเทศจีน เรียกได้ว่าตลาดนี้กำลังเติบโตและไปได้สวย เพราะถ้าไปเปิดดูรายได้ของ Alibaba จะพบว่า เกือบ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือรายได้กว่า 5 แสนล้านบาทของบริษัทมาจากการขายสินค้าเกษตร เพราะที่สำคัญ Alibaba มีเครือข่ายผู้ค้าชาวนาอยู่ทั่วประเทศกว่า 1 ล้านราย
ข้อมูลเพิ่มเติม
Huitongda เริ่มต้นธุรกิจเมื่อปี 2010 เป็นบริษัทในเครือ Five Star Holdings ทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่เน้นไปในตลาดชนบทโดยเฉพาะ มีรูปแบบธุรกิจหลากหลายทั้ง B2B, B2C และ O2O ปัจจุบันมีตลาดในกว่า 18 จังหวัด ครอบคลุม 15,000 เมืองและเป็นพันธมิตรกับร้านค้ากว่า 80,000 แห่งทั่วประเทศจีน
ที่มา – ChinaMoneyNetwork
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
สำหรับฟีเจอร์หนึ่งใน iOS 11 ที่แอปเปิลพูดถึงในงานเปิดตัวนั่นก็คือแท็บ Today ใน App Store ซึ่งจะเป็นหน้าที่คอยแนะนำแอปต่าง ๆ มากมายแบบรายวันเช่น App of the Day, Game of the Day และมีการแสดงรายละเอียดของแอปนั้น ๆ อย่างละเอียด
ล่าสุด TechCrunch ได้ออกมารายงานข้อมูลจาก Sensor Tower ว่าหลังจากที่แอปเปิลได้เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอแอปบน App Store (US) เป็นแบบใหม่นี้ ทำให้ยอดดาวน์โหลดแอปที่ได้รับการแนะนำเพิ่มขึ้นสูงถึง 800%
ซึ่งจากกราฟจะเห็นว่าจำนวนดาวน์โหลดในสัปดาห์ปกติที่ไม่ได้รับการแนะนำต่ำมาก แต่หลังจากที่ถูกแนะนำในแท็บ Today ยอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สูงสุด 802% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ แอปเปิลยันช่วยแนะนำแอปจากผู้ผลิตเจ้าใหญ่ ๆ เช่น Electronic Arts, Warner Bros., Square Enix, Gameloft, Noodlecake Studios และ Kingให้มีการดาวน์โหลดมากขึ้นอีกด้วย และจากแหล่งข่าวเผยว่า 13 ใน 15 บริษัทที่ผลิตแอปนั้นมียอดดาวน์โหลดในสหรัฐมากกว่า 1 ล้านครั้ง หลังจากที่เปลี่ยนมาใช้ App Store ใหม่
ส่วนแอปที่มาจากผู้ผลิตรายเล็ก ๆ ที่มียอดดาวน์โหลดน้อยกว่า 10,000 ครั้ง แอปเปิลก็มีการนำแอปขึ้นไปในหน้าแนะนำเช่นกัน ซึ่งทำให้ยอดดาวน์โหลดก็เพิ่มขึ้นถึง 29% ด้วย สุดท้ายจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลง App Store รูปแบบใหม่ในครั้งนี้ แอปเปิลทำเพื่อนักพัฒนาโดยเฉพาะ เพื่อผลักดันให้นักพัฒนาแอปหันมาทำแอปให้ iOS มากขึ้นนั่นเอง
ที่มา – MacRumors
The post ผลสำรวจเผย Featured Apps บน iOS 11 ทำให้ยอดดาวน์โหลดเพิ่มขึ้น 800% appeared first on Macthai.com.