Remedy Entertainment เปิดตัวเกม FBC: Firebreak เกมยิง FPS แบบทีมสามคน (three-player co-op) ในจักรวาลเดียวกับเกม Control ซึ่งถือเป็นเกมมัลติเพลเยอร์เกมแรกของ Remedy ด้วย
เกมนี้เคยมีโค้ดเนมว่า Project Condor และมีข่าวการจดเครื่องหมายการค้า FBC: Firebreak เมื่อต้นปีนี้ โดยชื่อ FBC ย่อมาจาก Federal Bureau of Control องค์กรที่พยายามควบคุมเหตุการณ์เหนือธรรมชาติในเกม Control และมีบทบาทในเกม Alan Wake 2 ด้วย
Remedy Entertainment เปิดตัว DLC ตัวที่สองของเกม Alan Wake 2 ชื่อว่า The Lake House มีกำหนดออกในเดือนตุลาคมนี้
เนื้อเรื่องของ DLC นี้เกิดในสถานีวิจัย The Lake House ริมทะเลสาบ Cauldron Lake ซึ่งมีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้น เหตุการณ์ใน DLC ขนานไปกับเหตุการณ์ในตัวเกมภาคหลัก ตัวเอกของภาคนี้เป็นตัวละครใหม่ชื่อ Kiran Estevez เจ้าหน้าที่ของ Federal Bureau of Control
Remedy Entertainment บริษัทเกมฟินแลนด์เจ้าของเกม Control และ Alan Wake ประกาศดึงบริษัทภาพยนตร์ Annapurna เข้ามาร่วมลงทุนในเกม Control 2 และพัฒนาแฟรนไชส์ Control กับ Alan Wake เป็นภาพยนตร์-ซีรีส์ทางทีวี
Annapurna Pictures เป็นบริษัทภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน ก่อตั้งเมื่อปี 2011 โดย Megan Ellison (ลูกสาวของ Larry Ellison แห่ง Oracle) มีผลงานสร้างภาพยนตร์ชื่อดังหลายเรื่อง เช่น Her, American Hustle, Nimona และภายหลังยังขยายมาทำธุรกิจเกมภายใต้ชื่อ Annapurna Interactive จัดจำหน่ายเกมอินดี้อย่าง Stray, Kentucky Route Zero, Outer Wilds, Cocoon เป็นต้น
Remedy Entertainment เปิดตัวเนื้อหาเสริมของเกม Alan Wake 2 ตามที่ประกาศไว้ โดยใช้ชื่อว่า Night Springs Expansion เกมจะเปิดให้เล่นเลยทันทีในวันนี้ 8 มิถุนายน
เหตุการณ์ในภาคนี้เกิดขึ้นที่ Night Springs เมืองสมมติที่ตัวเอก Alan Wake เคยเขียนขึ้นมาเป็นสคริปต์ของรายการทีวี (ในเกม) แต่เกมภาคนี้เราจะได้เล่นเป็นตัวละครอื่น 3 คน ใน 3 เรื่องราวที่แตกต่างกัน (episode) โดยตัวละครหนึ่งในนั้นคือ "The Sibiling" ที่หน้าตาเหมือนกับ Jesse Faden นางเอกของเกม Control จากค่ายเดียวกันมาร่วมแจมด้วย
Alan Wake 2 ยังจะมีเนื้อหาเสริมอีกตัวชื่อ The Lake House ตามมาภายในปีนี้ เนื้อหาเสริมทั้งสองชุดขายรวมกันในราคา 20 ดอลลาร์
Tero Virtala ซีอีโอของ Remedy Entertainment เผยข้อมูลผ่าน Business Review ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม ว่าในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ Alan Wake 2 ทำยอดขายได้ 1.3 ล้านชุดแล้ว สามารถคืนทุนส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและการตลาดได้แล้ว และ Remedy จะขายเกมนี้ในราคาเฉลี่ยที่สูง (high average price) ต่อไป โดยเป้าหมายของทีมงานในไตรมาสแรกนี้คือการพัฒนาส่วนเสริม (DLC) ของเกม แต่ไม่ได้พูดถึงการนำเกมลง Steam หรือแพลตฟอร์มอื่นบน PC แต่อย่างใด
ด้านรายได้รวมบริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น 56.2% หรือประมาณ 10.8 ล้านยูโร ขาดทุนจากดำเนินกิจการอยู่ที่ -19.3% หรือประมาณ -2.1 ล้านยูโร ซึ่งการขาดทุนบางส่วนมาจากการที่ Remedy ซื้อสิทธิ์ทั้งหมดของเกมซีรี่ส์ Control จาก 505 Games ในราคาประมาณ 17 ล้านยูโร
Tero Virtala ซีอีโอของ Remedy พูดถึงแผนสำหรับแฟรนไชส์ Alan Wake และ Control ในรายงานผลประกอบการประจำปีของบริษัทว่าทั้ง 2 เป็นแฟรนไชส์ที่แข็งแรง ทีมงานมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้ 2 แฟรนไชส์นี้เป็นที่รู้จัก ที่มีผู้เล่นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะสร้างภาคต่อออกมาอย่างสม่ำเสมอ และหวังว่าสามารถสร้างรายได้และผลกำไรในระดับสูงได้
นอกจากนี้ Tero ยังเผยความคืบหน้าของเกมที่ Remedy ที่กำลังพัฒนาอยู่มีรายละเอียดดังนี้
Tero Virtala ซีอีโอของ Remedy Entertainment เผยความคืบหน้าของโปรเจคเกมที่กำลังพัฒนาทั้งหมด 4 โปรเจค ในงานแถลงผลประกอบการประจำไตรมาส
สตูดิโอ Remedy Entertainment ประกาศสร้างเกม Control ภาค 2 ร่วมกับ 505 Games ผู้จัดจำหน่ายเกมภาคแรก
ตอนนี้ Control 2 ยังอยู่ในสถานะเริ่มพัฒนา มีงบประมาณเริ่มต้น 50 ล้านยูโร เกมจะใช้เอนจิน Northlight ของ Remedy เอง โดยจะลงพีซี, PS5, Xbox Series X|S
Control ภาคแรกออกในปี 2019 เป็นเกมยิงที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เกมประสบความสำเร็จอย่างมาก มียอดขายเกิน 3 ล้านชุด และได้รับรางวัล Game of the Year จากหลายสถาบัน
การที่เกมดังๆ หลายเกมกลายเป็นเอ็กซ์คลูซีฟบน Epic Games Store เป็นเรื่องที่ถูกวิจารณ์อย่างมาก เรารู้กันดีว่า Epic Games จ่ายเงินให้สตูดิโอผู้พัฒนาเกมเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ไม่เคยรู้ว่าเท่าไรกันแน่
ล่าสุดมีข้อมูลอย่างเป็นทางการออกมาหนึ่งกรณีคือ เกม Control ที่พัฒนาโดยสตูดิโอ Remedy Entertainment จากฟินแลนด์ ที่เคยสร้างชื่อจากเกม Max Payne, Alan Wake, Quantum Break โดยระบุว่า Epic Games จ่ายเงินให้สูงถึง 9.49 ล้านยูโร (ประมาณ 320 ล้านบาท)
เกม Control พัฒนาโดย Remedy Entertainment และจัดจำหน่ายโดย 505 Games ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอิตาลี (เกมอื่นที่จัดจำหน่ายคือ Bloodstained, Terraria และ Payday 2 เป็นต้น)
Epic Games Store ยังเดินหน้าเก็บเกมดังมาขายอย่างต่อเนื่อง นอกจากเกมของค่าย Quantic Dream ทั้งสามเกมแล้ว ยังมี The Outer Worlds เกมชูตติ้ง RPG มุมมองบุคคลที่หนึ่งแนวคาวบอยอวกาศ จากบริษัท Obsidian Entertainment อีกเกมด้วย
ปัจจุบัน Obsidian Entertainment เพิ่งถูกไมโครซอฟท์ซื้อกิจการไปเมื่อปลายปี แต่เกม The Outer Worlds ที่พัฒนามาก่อนหน้า ยังมีอิสระในการจัดจำหน่ายอยู่ ซึ่งเกมก็จะลงทั้ง Xbox One, PS4 และพีซี โดยเวอร์ชันพีซีจะขายบน Microsoft Store และ Epic Games Store เท่านั้น (จะลง Steam ในอีก 1 ปีให้หลัง)