โครงการ Crew Dragon เป็นโครงการของ SpaceX ร่วมกับ NASA มีเป้าหมายส่งมนุษย์ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) เนื่องจากสหรัฐอเมริกาไม่เคยส่งนักบินอวกาศไปนอกโลกเองเลยมาตั้งแต่ปี 2011 และต้องใช้บริการจรวด Soyuz ของรัสเซียมาตลอด
ก่อนหน้านี้เราเห็นความคืบหน้าของโครงการนี้เรื่อยมา เช่นการทดสอบยิงจรวด Falcon 9 ส่งแคปซูล Crew Dragon ไปเชื่อมต่อกับ ISS พร้อมหุ่นจำลองนักบินอวกาศสำเร็จมาแล้ว และขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบการยกเลิกภารกิจกลางอากาศ (in-flight abort test)
ยูซากุ มาเอะซาวา (Yusaku Maezawa) มหาเศรษฐีญี่ปุ่นเป็นคนแรกที่ SpaceX เปิดเผยชื่อในฐานะผู้โดยสารที่จะเดินทางไปดวงจันทร์กับจรวด BFR คนแรกในราวปี 2023 นี้
มาเอะซาวาเพิ่งออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับทริปนี้ว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปคนเดียว แต่อยากไปกับผู้หญิงที่เป็นคู่แท้ของเขา และแน่นอนตามประสามหาเศรษฐี การตามหาครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา เมื่อการค้นหาคู่แท้เพื่อไปดวงจันทร์ครั้งนี้จะถูกนำไปสร้างเป็นรายการทีวีด้วยในชื่อ "Full Moon Lovers" และมีการเปิดรับสมัครหาผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ของมาเอซาวาผ่านหน้าเว็บไซต์ด้วย โดยกำหนดการรับสมัครถึงวันที่ 17 มกราคมนี้
เพิ่งผ่านปีใหม่มาเพียง 7 วัน แต่ SpaceX ก็ทำภารกิจแรกของปีนี้สำเร็จแล้ว โดยเป็นภารกิจปล่อยดาวเทียมโครงการ Starlink อีก 60 ดวง รวมแล้วขณะนี้มีดาวเทียม Starlink ถูกปล่อยออกไปแล้ว 180 ดวง มากที่สุดในกลุ่มดาวเทียมทั้งหมดที่อยู่ในวงโคจร
ในด้านภารกิจ SpaceX ได้ใช้จรวด Falcon 9 เหมือนเดิม โดยส่วนบูสเตอร์ถูกใช้งานมาแล้ว 3 ครั้ง ทำให้ภารกิจครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ของบูสเตอร์ตัวนี้ ซึ่ง SpaceX ได้ออกแบบให้บูสเตอร์ต้องการการซ่อมแซมและเปลี่ยนอะไหล่น้อยที่สุดก่อนจะออกบินอีกครั้ง โดยตั้งเป้าไว้ว่าบูสเตอร์หนึ่งตัวจะต้องทำภารกิจได้มากถึง 10 ครั้ง และสถิติขณะนี้ก็อยู่ที่ 4 ครั้ง
โครงการ Starlink เป็นโครงการขนาดใหญ่ของ SpaceX ที่วางแผนปล่อยดาวเทียมเล็กๆ นับหมื่นดวงกระจายรอบโลกเพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต โดยขณะนี้ได้ปล่อยดาวเทียมออกไปแล้วสองชุด ชุดละ 60 ดวง แต่กลับสร้างปัญหาและความกังวลให้วงการดาราศาสตร์ เพราะดาวเทียมจำนวนมากเหล่านี้สะท้อนแสงต่างๆ กลับลงมายังโลกและเห็นชัดยามค่ำคืน รบกวนการวิจัยและกลุ่มนักดูดาว โดยนักดูดาวระบุว่าดาวเทียม Starlink นั้นสะท้อนแสงมากกว่าดาวเทียมอื่นๆ เสียอีก
ยาน Starship Mark 1 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เกิดระเบิดระหว่างการทดสอบเติมไนโตรเจนจนเต็มความจุ
Elon Musk ออกมาทวีตยืนยันเหตุการณ์นี้ โดยระบุว่ายานต้นแบบนี้ให้คุณค่ากับการผลิตยานรุ่นต่อไป
ตอนนี้ SpaceX มียาน Starship อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 ลำ โดย Mark 2 กำลังสร้างในรัฐฟลอริดาร์ และ Mark 3 อยู่ในรัฐเท็กซัส คาดว่า Mark 3 จะขึ้นสู่วงโคจรในปี 2020 นี้
ที่มา - ArsTechnica
SpaceX ประกาศความสำเร็จในการนำส่งดาวเทียมให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง Starlink เป็นชุดที่สอง หลังจากนำส่งชุดแรกไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ทางบริษัทระบุว่าภารกิจนี้เป็นภารกิจที่มีน้ำหนักสัมภาระหนักที่สุดที่เคยมีมา ไม่ชัดเจนว่าทำไมน้ำหนักต่างจากการส่ง Starlink รอบแรก แต่ตัวดาวเทียมอาจจะมีการปรับปรุง โดยภารกิจนี้ตัวจรวดนั้นใช้เป็นครั้งที่สี่นับว่าเป็นการใช้ซ้ำมากที่สุด และตัวปลอกหุ้มสัมภาระ (fairing) ก็เคยถูกใช้งานมาก่อนแล้ว นับเป็นภารกิจแรกที่ถูกใช้ซ้ำ
เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย Elon Musk ได้ไปพูดที่โรงงานประกอบยาน Starship ของ SpaceX ณ เมือง Boca Chica รัฐ Texas โดยเป็นการประกาศความคืบหน้าของโครงการ Starship ที่มีเป้าหมายส่งคนไปดาวอังคาร
ก่อนงานนี้หนึ่งวัน Jim Bridenstine ผู้อำนวยการ NASA ได้ทวีตถึง SpaceX ว่าเขาจะจับตาดูงานนี้ แต่ขณะนี้โครงการ Commercial Crew ที่มีเป้าหมายส่งมนุษย์จากโลกไปสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) นั้นล่าช้าไปหลายปีแล้ว (ซึ่ง NASA เป็นลูกค้าอยู่) โดย NASA คาดหวังว่า SpaceX จะทุ่มเทกับโปรเจ็คนี้ให้คุ้มกับที่ชาวอเมริกันเสียภาษีมาให้ และตอนนี้ควรจะส่งมอบงานได้แล้ว
Elon Musk เปิดตัวจรวด Starship หรือชื่อเดิม BFR ที่เป็นจรวดขนส่งขนาดใหญ่ มีความสามารถขนส่งระวางขึ้นวงโคจรได้สูงสุดถึง 150 ตัน ขณะที่ตัวจรวดเปล่าๆ มีน้ำหนักประมาณ 120 ตัน หรืออาจจะลดได้ถึง 110 ตัน (เขาหวังว่าจะลดเหลือ 99 ตัน)
Starship เป็นจรวดสองขั้น ขั้นแรกคือ Super Heavy สำหรับนำส่งเป็นเครื่องยนต์ Raptor จำนวน 37 ตัว มีขาจอด 6 ขาเป็นครีบท้ายจรวด ขณะที่ตัวจรวด Starship เองขั้นที่สองมีเครื่องยนต์ 6 เครื่อง รองรับการเติมเชื้อเพลิงขณะอยู่บนวงโคจร
น้ำหนักขนส่งที่สูงขนาดนี้ ทำให้ Starship มีโอกาสที่จะขนผู้โดยสารได้ถึงคราวละ 100 คน
ความฝันของ Elon Musk คือการให้มนุษย์ไปตั้งรกรากได้ที่ดาวอังคาร ซึ่งขณะนี้ SpaceX กำลังวิจัยและพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่สำหรับจรวดในอนาคตในชื่อ Raptor และได้ทดสอบสำเร็จไปสองครั้งแล้ว
เครื่อง Raptor ตัวต้นแบบถูกติดตั้งเข้ากับยาน Starhopper ที่มีหน้าตาเหมือนถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา SpaceX ได้ทดสอบยาน Starhopper ครั้งแรกโดยมันลอยขึ้นไปได้ 20 เมตร
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา SpaceX จัดการแข่งขัน Hyperloop Pod Competition ที่จัดปีละครั้งมาจนถึงครั้งที่ 4 แล้ว โดยการตัดสินยังคงเหมือนครั้งก่อนๆ คือผู้ชนะต้องเป็นทีมที่ทำความเร็วได้สูงที่สุด ซึ่ง 3 ครั้งที่ผ่านมา ทีม WARR Hyperloop จากมหาวิทยาลัยเทคนิคมิวนิก (Technische Universität München) ประเทศเยอรมนี เป็นผู้ชนะมาโดยตลอด
สำหรับการแข่งขันปีนี้ กติกาก็ยังคล้ายเดิมคือโฟกัสที่ความเร็วเป็นหลัก แต่คราวนี้แต่ละทีมต้องใช้ระบบสื่อสารของตัวเอง (ครั้งก่อน SpaceX เป็นผู้จัดหาระบบสื่อสารให้) และ pod ของแต่ละทีมต้องวิ่งได้จนถึงระยะ 30 เมตรก่อนถึงเส้นชัย กล่าวคึอถึงระหว่างทางจะวิ่งได้เร็วมาก แต่หยุดวิ่งก่อนถึงระยะที่กำหนดก็ถือว่าแพ้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว SpaceX ประสบความสำเร็จในภารกิจ STP-2 ส่งดาวเทียมพร้อมกัน 24 ดวงขึ้นสู่วงโคจร โดยความพิเศษอย่างหนึ่งของภารกิจนี้ คือการเก็บปลอกหุ้มสัมภาระ (fairing) ที่เป็นหัวจรวดสองชิ้นประกบกันไว้เพื่อป้องกันสัมภาระภายในขณะขึ้นสู่อวกาศ วันนี้ Elon Musk ก็โชว์วิดีโอที่ได้จากตัว fairing เอง
วิดีโอแสดงให้เห็นว่าเมื่อตัว fairing กำลังกลับเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ จะเกิดความร้อนสูงมากจนเห็นเป็นเปลวสีน้ำเงิน
เมื่อวานนี้ช่วงบ่ายโมงครึ่งตามเวลาประเทศไทย SpaceX ได้ยิงจรวด Falcon Heavy ออกสู่ห้วงอวกาศเป็นครั้งที่สาม ภายใต้ภารกิจชื่อ STP-2 ซึ่งเป็นภารกิจที่ยากที่สุดเท่าที่ SpaceX เคยทำมา
จรวด Falcon Heavy ประกอบไปด้วยแกนจรวด Falcon 9 จำนวน 3 ลำมัดติดกัน มีเครื่องยนต์ Merlin รวม 27 เครื่อง พาจรวดทะยานผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนของรัฐฟลอริดาออกสู่ห้วงอวกาศ หลังจากนั้นไม่กี่นาที บูสเตอร์ซ้ายและขวาก็แยกตัวออกจากบูสเตอร์หลักตรงกลาง และพาตัวเองบินกลับมาลงจอดที่เดิมได้สำเร็จ
SpaceX กำลังจะทำภารกิจยิงจรวด Falcon Heavy เป็นครั้งที่สามแล้ว หลังทดลองยิงครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 และทำภารกิจจริงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยคราวนี้จะเป็นครั้งแรกที่กองทัพสหรัฐฯ ได้ใช้บริการจรวดรุ่นนี้ด้วย
ภารกิจคราวนี้ชื่อ STP-2 หรือ Space Test Program Flight 2 โดยจรวด Falcon Heavy จะบรรทุกดาวเทียมขึ้นไปด้วยกัน 24 ดวง (Falcon 9 เคยบรรทุกขึ้นไปทีเดียวกว่า 60 ดวง) อย่างไรก็ตาม ภารกิจรอบนี้มีความพิเศษตรงที่จรวดจะต้องปล่อยดาวเทียมทั้งหมด 3 ครั้ง ณ ตำแหน่งวงโคจรคนละจุดกัน ทำให้ต้องติดเครื่องส่วนหัวถึง 4 รอบ โดยกินเวลาทั้งสิ้นถึง 6 ชั่วโมง (ภารกิจครั้งที่แล้วของ Falcon Heavy ปล่อยดาวเทียมภายใน 34 นาทีหลังยิงขึ้น)
มีรายงานว่าวิศวกรจากบริษัท PMI Industries ถูกจับหลังปลอมรายงานตรวจสอบคุณภาพชิ้นส่วนจรวดที่จะส่งไปให้ SpaceX ใช้งาน
วิศวกรรายนี้ชื่อ James Smalley เป็นพนักงานประกันคุณภาพของบริษัท PMI Industries ที่รับงานผลิตชิ้นส่วนจรวดส่งให้ SpaceX โดยตามปกติจะต้องให้ผู้ตรวจสอบของบริษัท SQA Services เซ็นรับรองคุณภาพชิ้นส่วนที่ผลิตอีกที ตามรายงานระบุว่า James ปลอมลายเซ็นรายงานตรวจสอบคุณภาพของ SQA 38 ชิ้น และหน่วยสืบสวนระบุว่ามีชิ้นส่วนที่ตกคุณภาพหรือไม่ถูกตรวจสอบโดย SQA ถึง 76 ชิ้น ซึ่งชิ้นส่วนเหล่านี้ได้ถูกส่งไปยัง SpaceX เพื่อใช้ในจรวด Falcon 9 และ Falcon Heavy
โครงการ Starlink เป็นโครงการของ SpaceX มีเป้าหมายปล่อยดาวเทียมขนาดเล็กนับหมื่นดวงเพื่อสร้างโครงข่ายสำหรับปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมทั้งโลก
เมื่อวานนี้ SpaceX ได้ทดสอบติดเครื่องจรวดแบบอยู่กับที่ (static fire test) ซึ่งก็ทดสอบผ่านด้วยดี และล่าสุดประกาศยิงจรวด Falcon 9 เพื่อปล่อยดาวเทียมล็อตแรกของโครงการนี้จำนวน 60 ดวงในวันที่ 16 พฤษภาคม เวลา 9:30 น. ตามเวลาประเทศไทย ที่ฐานยิงบริเวณแหลมคานาเวอรัล
SpaceX เพิ่งนำส่งแคปซูล Crew Dragon ไปทดสอบเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติและกลับมาสู่โลกได้อย่างปลอดภัยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีข่าวว่าแคปซูล Crew Dragon เกิดระเบิดระหว่างการทดสอบบนแท่น และวันนี้ทาง SpaceX ก็เพิ่งแถลงข่าวยืนยันว่าแคปซูลได้ระเบิดไปแล้ว
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว SpaceX ได้ทำภารกิจทดสอบยิงจรวด Falcon Heavy โดยบรรทุกรถยนต์ Tesla Roadster สีแดงของ Elon Musk เป็น payload สำหรับทดสอบ ซึ่งภารกิจคราวนั้นนับว่าเกือบสำเร็จ 100% โดยบูสเตอร์ 2 ตัวซ้ายขวาบินกลับมาลงจอดสำเร็จ แต่บูสเตอร์ตัวกลางเกิดขัดข้องและพุ่งลงน้ำไปอย่างน่าเสียดาย
ผ่านมาปีกว่า SpaceX ได้ทำภารกิจจริงกับ Falcon Heavy เป็นครั้งแรกเมื่อวาน โดยรับจ้างปล่อยดาวเทียมสื่อสารให้บริษัท Arabsat ของซาอุดีอาระเบีย ภายใต้ภารกิจชื่อ Arabsat-6A
เมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา SpaceX ได้ยิงจรวด Falcon 9 ที่ส่วนหัวเป็นแคปซูล Crew Dragon ขึ้นสู่วงโคจร ต่อมาแคปซูลได้เชื่อมต่อเข้ากับสถานีอวกาศนานาชาติ หรือ ISS ได้สำเร็จ และคงอยู่ที่ ISS มาอีกห้าวัน
ล่าสุดวันนี้ช่วงบ่ายตามเวลาประเทศไทย แคปซูล Crew Dragon ได้แยกตัวออกจาก ISS และเริ่มเดินทางกลับสู่โลก ใช้เวลาราว 5 ชั่วโมง โดยก่อนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมันได้เร่งตัวผลักดัน หรือ thruster เป็นเวลา 15 นาที เพื่อดิ่งเข้าชั้นบรรยากาศ ซึ่งแคปซูลเดินทางเร็วกว่าเสียงและเผชิญกับความร้อนมหาศาล (Elon Musk ให้สัมภาษณ์ว่าเขากังวลกับจังหวะนี้มากที่สุด)
หลังจาก SpaceX ส่งยาน Crew Dragon ขึ้นไปยังวงโคจรโลกเมื่อวานนี้ วันนี้ยานก็เชื่อมต่อกับสถานีตามกำหนด โดยมนุษย์อวกาศบนสถานีได้รับตัวหุ่น Ripley ที่จำลองคนและตุ๊กตาลูกโลกเข้าสู่สถานีอวกาศนานาชาติเรียบร้อยแล้ว
หุ่น Ripley ไม่ได้เป็นเพียงหุ่นรูปเหมือนคนธรรมดา แต่ภายในบรรจุเซ็นเซอร์เพื่อเก็บข้อมูลว่ามนุษย์จะรู้สึกอย่างไรเมื่อโดยสารไปกับยาน Crew Dragon
ก่อนหน้าการเชื่อมต่อ ตัวยาน Crew Dragon โคจรรอบโลกมาก่อนแล้ว 18 รอบ ส่งคำสั่งให้ยาน Crew Dragon เข้ามาเชื่อมต่อขณะที่สถานีกำลังลอยอยู่เหนือนิวซีแลนด์ จนกระทั่งสองเมตรสุดท้าย และเชื่อมเข้ากับโมดูล Harmony
SpaceX ส่งแคปซูล Crew Dragon ขึ้นสู่วงโคจรเป็นผลสำเร็จ ถือเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายก่อนจะใช้แคปซูล Crew Dragon นี้ส่งมนุษย์อวกาศขึ้นสู่สถานีอวกาศนานาชาติกลางปีนี้ โดยในการสาธิตจะใช้หุ่น Ripley และตุ๊กตาลูกโลก
ยาน Crew Dragon มีกำหนดเชื่อมต่อกับสถานีอวกาศนานาชาติในวันพรุ่งนี้ โดยนอกจากจะนำส่งหุ่น Ripley เพื่อสาธิตการส่งมนุษย์อวกาศแล้ว ยังนำส่งสัมภาระอีกเกือบ 200 กิโลกรัมขึ้นไปพร้อมกัน และส่งยานกลับสู่โลกในวันที่ 8 มีนาคม
หากทางนาซ่าตรวจสอบข้อมูลความปลอดภัยและอนุมัติให้ Crew Dragon สามารถใช้ส่งมนุษย์อวกาศได้ ก็จะเริ่มภารกิจแรกในเดือนกรกฎาคมนี้ และเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ส่งมนุษย์ขึ้นไปยังอวกาศได้อีกครั้งหลังยกเลิกโครงการกระสวยอวกาศไปตั้งแต่ปี 2011
ไล่เลี่ยกับภารกิจ Iridium-8 ที่เพิ่งสำเร็จไปเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา SpaceX ได้ประกาศปลดพนักงานออก 10% โดยมีการคาดการณ์ว่าเพราะโครงการใหญ่ที่ SpaceX กำลังพัฒนาอยู่ต้องใช้เงินจำนวนมาก
เมื่อวันศุกร์ SpaceX ได้บอกพนักงานให้กลับบ้านและเช็คดูว่าได้รับจดหมายปลดหรือไม่ โดยพนักงานที่ถูกให้ออกได้เปิดเผยว่าบริษัทเสนอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการเขียนเรซูเม่, การหางานใหม่ พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ อีกทั้งยังเปิดเผยว่าเป็นการปลดพนักงานทั้งองค์กร แต่ไม่มีทีมไหนถูกยุบไปทั้งทีมหรือปลดคนจนทีมเสียหาย (เรียกว่าปลดทั้งองค์กรส่วนละนิดละหน่อย) และบริษัทยังจ้างพนักงานอยู่ราว 6,400 ตำแหน่ง
เมื่อวานเวลา 22:31 น. ตามเวลาประเทศไทย SpaceX ได้ยิงจรวด Falcon 9 ขึ้นจากฐานทัพอากาศ Vandenberg Air Force Base ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ภายใต้ภารกิจชื่อ Iridium-8 ซึ่งเป็นการปล่อยดาวเทียม Iridium NEXT จำนวน 10 ดวง โดยภารกิจครั้งนี้พิเศษตรงที่เป็นภารกิจครั้งสุดท้ายของสัญญาระหว่าง SpaceX กับ Iridium Communications ที่ว่าจ้างให้ SpaceX ปล่อยดาวเทียมสู่วงโคจร Low Earth Orbit ทั้งสิ้น 75 ดวง กินระยะเวลา 2 ปีพอดี ซึ่งภารกิจแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2017
หลังแยกกับจรวดส่วนหัว บูสเตอร์ก็ได้บินกลับมาลงจอดบนฐานลอยน้ำ Just Read the Instructions ในมหาสมุทรแปซิฟิก
Wall Street Journal รายงานว่าบริษัท SpaceX ของ Elon Musk ระดมเงินทุนรอบใหม่อีก 500 ล้านดอลลาร์
การระดมทุนรอบนี้ทำในวงปิด (private round) และยังไม่ได้ประกาศต่อสาธารณะ แต่นักลงทุนบางส่วนก็คือผู้ถือหุ้นเดิมของ SpaceX อยู่แล้ว เช่น กองทุน Baillie Gifford ของสกอตแลนด์
ตามข่าวบอกว่าเงินทุนก้อนนี้จะนำไปใช้กับโครงการ Starlink การยิงดาวเทียมวงโคจรต่ำนับหมื่นดวง (เป้าหมายทั้งหมดคือ 12,000 ดวง) เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์จากบนฟ้า
ที่ผ่านมา SpaceX ระดมทุนไปทั้งหมด 17 รอบ ได้เงินไป 2.2 พันล้านดอลลาร์ ส่วนการระดมทุนรอบล่าสุดทำให้บริษัทมีมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์แล้ว
วันนี้ เวลา 1.16 นาฬิกา(ตามเวลาประเทศไทย) จรวด Falcon 9 ของ SpaceX ถูกปล่อยออกจากฐานปล่อยที่แหลมคานาเวอรัล รัฐฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในภารกิจลำเลียงอุปกรณ์ไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ (CRS-16) โดยที่ขั้นตอนการปล่อย การแยกตัวของ second stage และยาน Dragon เป็นไปได้ด้วยดี
แต่ในขณะที่ First stage กำลังกลับสู่โลก หลังจาก entry burn เรียบร้อยแล้ว จรวดเริ่มเสียการทรงตัว และหมุนเคว้ง ทำให้ไม่สามารถลงจอดบนพื้นดินตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ นับเป็นความล้มเหลวในการลงจอดครั้งแรกของ Falcon 9 Block 5 (ครั้งก่อนหน้าคือตอนทดสอบปล่อย Falcon Heavy) โดย Elon Musk ทวีตระบุถึงสาเหตุว่า ปั๊มไฮดรอลิกของกริดฟินไม่ทำงาน ทำให้จรวดไปลงจอดในทะเลแทน
SpaceX ยื่นเรื่องต่อ FCC เกี่ยวกับแผนการปล่อยดาวเทียมอินเทอร์เน็ตที่ FCC อนุมัติไปตั้งแต่ต้นปี จากเดิมที่จะปล่อย 4,425 ดวงไปโคจรรอบโลกที่ความสูงระหว่าง 1,110 - 1,325 กม. โดยในจำนวนนี้ระบุว่า 1,600 ดวงจะอยู่ที่ความสูง 1,110 กม.
ล่าสุดเปลี่ยนเป็น 1,584 ดวงความสูง 550 กม. ส่วนที่เหลือยังเหมือนเดิม
สาเหตุสำคัญคือ SpaceX ค้นพบว่าการปล่อยดาวเทียม 1,584 ดวงที่ความสูงเพียง 550 กม. มีประสิทธิภาพไม่ต่างจาก 1,600 ดวงที่ความสูง 1,110 กม. ประกอบกับวงโคจรของดาวเทียมที่ต่ำกว่า จะช่วยให้เมื่อดาวเทียมหมดอายุการใช้งาน (คาดว่าน่าจะราว 5 ปี) จะตกลงสู่โลกและถูกชั้นบรรยากาศเผาไหม้ได้ง่ายกว่า ลดปัญหาขยะอวกาศไปในตัว