ถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี, และนาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
จากเหตุการณ์ซึ่งมีผู้ส่ง SMS ไปที่โทรศัพท์มือถือของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข แล้วมีการบุกจับนายอำพล [สงวนนามสกุล] ดำเนินคดี จนกระทั่งศาลอาญามีคำพิพากษาในสัปดาห์ที่ผ่านมา
คดีนี้อาศัยหลักฐานสำคัญคือ บันทึกการใช้งาน (log) หมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ (IMEI) จากผู้ให้บริการคือ DTAC และ Truemove เพื่อลงโทษนายอำพล ทีมงาน Blognone เห็นว่า คดีนี้ มีปัญหาว่า พยานหลักฐานดังกล่าว เพียงพอในการพิสูจน์ว่า นายอำพลเป็นผู้ส่ง SMS 4 ข้อความที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ เนื่องจากหมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ (IMEI) นั้น น่าจะไม่ใช่หลักฐานที่แน่ชัดในการระบุถึงเครื่องโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือระบุถึงตัวผู้กระทำความผิด เพราะ หมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ (IMEI) สามารถปลอมแปลงได้โดยง่าย
การปลอมแปลงตัวบุคคลเพื่อทำความผิดเป็นเรื่องปกติในวงการอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ตัวอาชญากรมักปลอมแปลงตัวเองเพื่อใช้งานเครือข่ายของเหยื่อ ด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อปกปิดตัวเองก่อนการเข้ากระทำความผิดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการแอบเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ผู้อื่นเพื่อโจมตีเครือข่าย หรือคอมพิวเตอร์ปลายทาง การแฮกจำนวนมากก็อาศัยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการรักษาความปลอดภัยหละหลวม บางครั้งอาจจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ หลายๆ เครื่องเพื่อนัดโจมตีพร้อมกันเพื่อสร้างความเสียหายให้มากขึ้น โดยที่เครื่องของผู้กระทำผิดไม่ได้ส่งข้อมูลโดยตรงไปยังเครื่องที่ถูกโจมตีเลย
แม้บันทึกการใช้งาน (log) หมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ (IMEI) จากผู้ให้บริการจะเป็นหลักฐานสำคัญในการนำสืบเพื่อหาตัวคนร้าย แต่ในทางวิชาการคอมพิวเตอร์ หลักฐานนี้ไม่แน่ชัดและไม่เพียงพอในการระบุตัวผู้กระทำความผิดได้จริง เจ้าหน้าที่ควรต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อให้ระบุตัวคนร้ายได้อย่างแน่ชัด แต่จากคดีของนายอำพล เจ้าหน้าที่กลับอาศัยหลักฐานเพียง บันทึกการใช้งาน (log) หมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ (IMEI) ของผู้ให้บริการ เพื่อจับกุมและดำเนินคดี
หมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ (IMEI) นั้น ไม่อาจป้องกันการปลอมแปลง และมันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อยืนยันตัวบุคคล เราสามารถหาหมายเลข IMEI จากข้างกล่องโทรศัพท์มือถือที่วางขายตามร้านค้า สามารถหาได้จากสติกเกอร์ที่แปะอยู่บนกล่องเครื่องโทรศัพท์มือถือ สามารถตรวจสอบจากหมายเลขพิเศษที่ใช้ขอดูหมายเลข IMEI โทรศัพท์จำนวนมากมีหมายเลข IMEI แปะเป็นสติกเกอร์ไว้ในช่องแบตเตอรี่ ผู้ร้ายสามารถหาหมายเลข IMEI ของผู้อื่นในแบบที่เจาะจงหรือไม่เจาะจงเพื่อเปลี่ยนหมายเลขให้ตรงกับเครื่องที่มีการใช้งานจริงได้โดยง่าย หรือแม้กระทั่งเคยมีรายงานว่า ผู้ผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานบางรายผลิตเครื่องโทรศัพท์มือถือโดยใส่หมายเลข IMEI ซ้ำซ้อนกัน
เพราะความน่าสงสัยมากมายเช่นนี้ เฉพาะหมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือ จึงไม่น่าจะเป็นหลักฐานที่แน่ชัดเพียงพอในการพิสูจน์ความผิดผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยได้ ทีมงาน Blognone มองว่าเจ้าพนักงานสอบสวนไม่ควรใช้แค่ข้อมูลหมายเลขประจำตัวเครื่องโทรศัพท์มือถือเป็นหลักฐานในการจับกุม, ฟ้องร้อง, ตลอดจนคัดค้านการประกันตัวจนกระทั่งผู้ต้องหาถูกกุมขัง ไม่เช่นนั้นแล้วมาตรฐานเช่นนี้อาจทำให้เกิดการใส่ความไปมาได้เป็นวงกว้าง ทั้งอาจทำให้มีผู้ถูกกุมขังระหว่างการสอบสวนโดยเป็นเหยื่อของผู้ร้ายอีกทีหนึ่ง
เราไม่ทราบว่า มีคดีอีกกี่คดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี ด้วยหลักฐานที่ไม่แน่ชัดไม่เพียงพอในระดับเดียวกัน และมีผู้ต้องหาและผู้ถูกคุมขังจากคดีดังกล่าวกี่คน ทีมงาน Blognone เสนอให้รัฐบาลเยียวยาผู้ต้องหาและผู้ถูกกุมขังดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ด้วยมาตรการต่อไปนี้
การใช้อินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต รัฐบาลต้องดูแลไม่ให้เกิดความหวาดกลัวในการใช้งาน คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้งาน ทั้งจากการถูกโจมตี และจากการตกเป็นจำเลยเสียเองโดยไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
วสันต์ ลิ่วลมไพศาล
อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์
ทีมงานผู้ดูแลเว็บไซต์ Blognone.com
Comments
+1 เห็นด้วยครับ
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
มาอาศัยประเทศเขาอยู่ก็ต้องทนกันต่อไป พูดมากเดี่ยวโดนไล่ให้ไปอยู่ประเทศอื่นอีก ทำใจแอสไพลินช่วยท่านได้
+1
ลงชื่อสนับสนุนจดหมายฉบับนี้ครับ
Technology is so fast!
+1
สงสัยครับ มีใครออกแอพประเภท แก้ไขอีมี่ได้จากเครื่องตัวเองโดยตรงได้หรือไม่
ถ้าหากยังไม่แก้กฏหมายผมว่า โปรแกรมนี้ขายดีแน่ๆ
เห็นด้วยครับ
+1
เห็นด้วยครับ
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
+1 เพราะ IMEI เครื่องมันปลอมกันได้จริงๆ
+1 ปลอม(เปลี่ยน)ได้ตั้ง อย่างสมัยก่อนเครื่องล็อก IMEI ไม่ให้ใช้ซิมข้ามเครือข่ายแต่ก็แก้ได้ไม่ใช่ปัญหา
ขอบคุณทีมงานผู้ดูแลเว็บไซต์ Blognone.com มากๆครับ
+1 ครับ
จัดไปคับ +10 เลย 55 เพราะตรวจสอบแค่นี้แล้วจับก็บร้าแล้วว
+1
กุมขัง => คุมขัง
เห็นด้วยครับ
^
^
that's just my two cents.
มันไม่ใช่แค่ หมายเลข IMEI ไม่ใช่หรือครับ ทั้งที่หมายเลขโทรศัพท์ ก็ตรงสถานที่ (เสาส่งสัญญาณ)คือ มันเป็นเสาต้นที่อยู่ใน ระแวกบ้านของลุงเขา ด้วยไม่ใช่หรือครับ แล้วการปลอมแปลง IMEI นั้นเขากระทำกันอย่างไรหรือครับ
แต่ผมก็อยากให้มีการสอบสวนที่รัดกลุมกว่านี้นะครับ ผมว่าคดีนี้เป็นคดีที่ละเอียดอ่อนแล้วก็ยิ่งทำให้คนที่คอยจ้องจะล้มกฎหมาย มาตรา 112 นั้น ยิ่งหาข้ออ้างที่จะค่อยฉวยโอกาสนำมาอ้างเพื่อให้ตนเองนั้นเป็นธรรมมากขึ้น
หมายเลขโทรศัพท์ไม่ตรงครับ เสาส่งนี่ข้อมูลจากไหนหรือครับ เพราะเท่าที่ผมอ่าน หมายเลขที่ใช้ส่งกับเป็นคนละเครือข่ายกับหมายเลขที่คุณอำพลใช้งาน
lewcpe.com, @wasonliw
ผมเคยอ่าน http://www.facebook.com/Against.Pardon.Thaksin/posts/301394179882493
ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงในนั้นเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนนะครับ
แต่ที่แน่ ๆ คือ อากงแกกลับคำให้การในชั้นศาล ว่าเอามือถือไปซ่อมแล้วจำร้านซ่อมไม่ได้ ต่อมาก็ลืมมือถือไว้ที่บ้านบ้าง ทำให้น้ำหนักคำให้การของอากงยิ่งไม่น่าเชื่อถือมากขึ้น
ถ้าเป็นอย่างที่ในลิงค์ข้างบนจริง ผมว่าศาลท่านตัดสินได้ยุติธรรมดีแล้วครับ
การที่จำเลยกลับคำให้การในรายละเอียดปลีกย่อย ไม่ได้ทำให้หลักฐานที่มันอ่อนอยู่แล้วแข็งขึ้นมาได้ครับ
คดีฆ่าคนตาย ต่อให้จำเลยสารภาพผิด ก็ต้องสืบให้สิ้นสงสัยว่าจำเลยทำจริงครับ ไม่งั้นอาจจะเป็นการยอมรับผิดแทนคนอื่น (ซึ่งมีบ่อยๆในเคสฆ่าคนตาย)
การที่คุณมายืนยันว่าศาลตัดสินได้ยุติธรรม คุณโดนหลอกแล้ว
ขอเปรยถึงคนที่ตอบคุณ Manta หน่อยนะครับ (ไม่ใช่คุณ Manta)
อยากเห็นเด็กไทยพัฒนาขึ้น .. โดยอ่าน comment ที่จะตอบให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะตอบอะไรออกมา
แล้วอ่านไม่ดียังไงครับ ผมก็ตีความได้ตามคุณ Thaina
ผมว่าคุณ Invisible Force น่าจะเคยได้ยินคำว่า "ยกฟ้อง" มาบ้าง
ศาลจะยกฟ้องต่อเมื่อโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้แน่ชัดว่าจำเลยกระทำผิดจริง ประกอบกับหลักฐานไม่เพียงพอต่อการดำเนินคดี ศาลจึงยกฟ้องครับ
แต่ในกรณีนี้กลับกัน ถ้าจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ ถือว่าผิดจริง
มันแปลกไปหน่อยมั้ยครับ ถ้าอยู่ๆ ผมกล่าวหาว่าคุณขโมยของผมไป แต่คุณไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน แล้วผมบอกว่า คุณนั่นแหละ ที่ขโมยเงินผมไป แล้วก็มีคนมาบอกว่า ผมตัดสินได้ยุติธรรมแล้ว!
ชวนน่าสงสัย ไม่ได้แปลว่าทำผิดจริงนิครับ
คุณ PaPaSEK ผมไม่ได้เปรยถึงคุณครับ .. ผมเปรยถึงคนที่ตอบคุณ Manta ไปแล้ว .. และผมก็ไม่ได้แย้งเกี่ยวกับเนื้อหาคดีเลย ผมแค่แนะนำการโต้ตอบออกความเห็นกันก็เท่านั้น
เอาแบบนี้ดีกว่า ผมจะยกตัวอย่างอะไรให้ดู .. มาลองดูกันมั๊ยครับ ผมว่าคุณ Thaina ไม่ได้อ่าน comment ของคุณ Manta อย่างละเอียดดีโดยเฉพาะจุดสำคัญคือ link อ้างอิงที่คุณ Manta ส่งมาให้เข้าไปอ่าน ลองถามคุณ Thaina ดูครับว่าได้เข้าไปอ่านตาม link อ้างอิงสำคัญนั้นดีแล้วก่อนที่จะมาตอบออกความเห็น
ผมจะให้ข้อมูลออีกอย่างว่า ผมไม่ได้นั่งอยู่กับคุณ Thaina ดังนั้นไม่มีทางเห็นด้วยว่าเค้าทำหรือป่าว และผมก็ไม่มีหลักฐานอะไรจะมาให้คุณด้วย .. เรามาลองกันดูมั๊ยครับ โดยให้คุณ Thaina มาตอบด้วยตัวเขาเองเลย (และนี่ก็ไม่ได้เป็นการสนับสนุนการฝึกเดาด้วยนะครับอย่าเข้าใจผิด)
สิ่งที่คุณทำนี้คือการพยายามโจมตีที่ตัวบุคคลหรือครับ?
สิ่งไหนที่คุณคิดว่าคุณ Thaina อ่านผิดพลาดไปคุณสามารถแนะนำออกมาได้ตรงๆนะครับ
ไม่ต้องใช้วิธีอ้อมค้อมมาก ถ้าดูจากนิสัยของคุณ Thaina แล้วเขาน่าจะเป็นคนประเภทชอบให้ชนกันตรงๆมากกว่า
แอบตอดนะครับ
เค้าเป็นน้องสถาบันเดียวกันกับผม ผมจะมองเค้าว่าเป็นน้องผมผิดหรือป่าวครับ (และนี่ก็เป็น..ส่วนตัวของผมสำหรับความเป็นพี่)
ผมอ่านแล้วก็งงๆ กับความสัมพันธ์อันลึกล้ำของคุณกับเขานิดหน่อย เอาเป็นว่าผมขอเผ่นไปเงียบๆดีกว่า :)
Blognone ไม่สนใจอายุ เพศ สถาบัน อาชีพ รายได้ ฯลฯ ครับ ทุกอย่างว่ากันด้วยความคิด ตรรกะ เหตุผลล้วนๆ
ถ้ามีประเด็นส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง แนะนำให้ไปคุยกันเองโดยตรงจะดีกว่าครับ
+1
ถ้ามีรุ่นพี่แบบคุณ ผมก็ไม่นับคุณเป็นรุ่นพี่ครับ
เคยเจอรุ่นพี่สถาบัน เรียนมาด้วยกัน ภาคเดียวกันด้วยซ้ำ แทงข้างหลังทะลุหัวใจมาแล้ว
ความดีความเลวความถูกผิด มันไม่นับว่าใครเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องใครหรอกครับ รุ่นพี่ดีๆผมมีเยอะ แต่รุ่นพี่เลวๆผมไม่เคารพครับ ขออภัยในความก้าวร้าว
บางครั้งผมก็พลาดได้ โดยเฉพาะตอนนี้กำลังงงๆกับการลุยเถียงมาหลายวัน และ โอเค จริงๆผมก็พลาดไปนิดนึง แต่โดยรวมแล้วผมยังเห็นว่าไม่จำเป็นต้องแก้หรือถอนคำพูด ผมก็เลยปล่อยไว้
ส่วนตัวแล้วผมนับใครเป็นพี่เป็นน้อง ก็ต่อเมื่อผมยอมรับเรียกเองนะ ตอนผมทำงานบริษัท มีแต่คนอายุมากกว่าผม เก่งกว่าผม เขายังไม่ให้ผมเรียกพี่เลย (ตอนแรกๆผมติดเรียกเขาว่าพี่ แต่เขาไม่ชิน) แต่สรุปคือเราเคารพหลักความเท่าเทียมกันของมนุษย์
ต่างกับคนบางจำพวกที่พอสู้ไม่ได้ก็อ้างอาวุโสมาข่มลิบลับ
ฮ่า ฮ่า ผมก็หมายถึงคุณ Thaina แหละครับ
แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ลงชื่อไปเลย ต้องมาทำแบบ นายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น นายคนที่คุยกับคนนี้
ลงชื่อไปเลยดีมั้ยครับ? เพราะขนาดความเห็นของผมระบุไปชื่อไปแล้ว คุณ Invisible force ยังเข้าใจผิด คิดว่าผมกำลังตีความว่าตัวเองคือคนที่คุณพูดถึงเลย จริงมั้ยครับ?
ส่วนที่ว่าคุณ Thaina อ่านหรือไม่นั้นก็ไม่ใช่ประเด็นของผม ประเด็นของผมอยู่ที่ว่าคุณต้องการบอกอะไรกับคุณ Thaina มากกว่า ถ้าคุณไล่ให้คุณ Thaina ไปอ่านบทความใหม่โดยที่คนอื่นไม่ทราบสาเหตุ
ผมจะก็ไม่เข้าใจไงครับ ว่าทำไมต้องอ่านใหม่ให้ดีๆ
หรือว่ารุ่นพี่รุ่นน้องมองตาก็รู้ใจ?
ผมว่าคุณ Thaina ไม่ได้เข้าไปอ่าน หรือไม่ก็อ่านไม่เกินสามบรรทัดครับ (เล่นมุกนะครับ อย่าเครียดมาก)
ทีละประเด็นนะครับตามบทความที่คุณลิงก์มานะครับ
กลับมาเรื่อง log ผมไม่แน่ใจว่าโดยมาตรฐาน การ log IMEI จะทำไว้ถี่แค่ไหน ที่ว่าพบการถอดซิมนั้นเป็นคำให้การของร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย ที่ว่า "พบว่าหมายเลขโทรศัพท์นั้นใช้งานกับเครื่องโทรศัพท์ที่มีหมายเลข IMEI 358906000230110 โดยส่งsms จากบริเวณวัดด่านสำโรง ตามเอกสารข้อมูลการใช้โทรศัพท์ พบว่ามีการส่งต่อเนื่องและมีการหยุดใช้งานไปเหมือนมีการถอดซิมการ์ดออก" (ใน quote ทั้งหมดต่อไปนี้ถอดความโดย iLaw อาจจะไม่ตรงตามคำพูดจริงทั้งหมด) นั่นคือเมื่อใช้งานกับเครือข่าย DTAC มันถูกใช้งานเป็นห้วงๆ
จากนั้นจึง "ส่งเรื่องไปที่บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น เพื่อให้ทำการแขวนอีมี่ ซึ่งหมายถึง การนำเลข IMEI ไปตรวจสอบดูว่า ปัจจุบันหมายเลข IMEI ดังกล่าวใช้งานกับหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขใดอีกบ้าง จึงทราบว่า หมายเลข IMEI ดังกล่าวใช้กับหมายเลขที่ลงท้ายด้วย -4627 ของระบบทรู" จากคำให้การของ ร.ต.อ. ศักดิ์ชัย ไกรวีระเดชาชัย อีกเช่นกัน
การสลับกันใช้นั้นเป็นคำให้การของ พ.ต.ท. ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผมหารายละเอียดไม่พบ (อันนี้ทาง iLaw อาจจะบันทึกไม่ครบถ้วน?) ทั้งที่เป็นประเด็นพิสูจน์สำคัญว่าตัวเครื่องนั้นน่าจะเป็นเครื่องที่ส่งจริงหรือไม่ การใช้งานสลับที่ว่าเป็นอย่างไร? online/offline สลับกัน หรือมีการใช้งานสลับ
ที่มา - iLaw
lewcpe.com, @wasonliw
ผมอยากรู้ว่า เรื่องที่กล่าวอ้างว่า log ของ operator แสดงให้เห็นชัดว่าปิดเครื่องนึงไปใช้อีกเครื่องนึงเนี่ยไปดูรายละเอียดได้จากไหนครับ (ไม่ใช่แบบที่เขียนขึ้นเองตามใน facebook ที่คุณเอามาให้ดูนะครับ -.-" ) ผมอยากดูรายละเอียดเต็มๆด้วยคน
คือที่ผมอ่านมาเกี่ยวกับข้อมูลการพิจารณาคดีว่า log แสดงให้เห็นว่า "เวลาใช้งานไม่ตรงกัน เหมือนสลับกันใช้" ตรงนี้เนี่ย มันไม่ได้บอกละเอียดลงไปที่ว่า log แสดงให้เห็นถึงการเปิด-ปิดเครื่อง น่ะครับ เลยไม่มั่นใจว่าเค้าหมายความตามนั้น หรือเพียงแค่ ช่วงเวลาการโทร,ส่ง sms ไม่ซ้อนทับกันเฉยๆ
ผมคิดว่า operator ไม่น่าจะเก็บ log ละเอียดถึงขนาดว่ามีใครเปิดเครื่องเข้ามาในเครือข่ายเมื่อไหร่ มีการ handover ไปใช้ cell site ไหนบ้าง เพราะ log มันจะเยอะมาก และไม่มีประโยชน์กับ operator ปกติแล้วผมว่าเค้าน่าจะเก็บแค่ว่าผู้ใช้มีการใช้งานอะไรเมื่อไหร่นานแค่ไหนเท่านั้นนะครับ (เพื่อประโยชน์ในการคิดเงิน) หรืออย่างมากก็น่าจะแค่บอกได้ว่า ณ ขณะนั้น มือถือเราเกาะอยู่กับ cell site ไหน
ถ้าจะ track ละเอียดอย่างที่ว่า มันน่าจะเป็นลักษณะการขอไปที่ operator เป็น case by case มากกว่า คือต้องแจ้งไปว่าจะให้ track การใช้งานของเบอร์โทรศัพท์ หรือ IMEI อะไร แล้วทาง operator ถึงจะเริ่มทำการเก็บ log ละเอียดไว้ให้ (ถ้า operator ยอมทำ) ไม่น่าจะสามารถขอย้อนหลังได้
ถ้าผมเอาโทรศัพท์ที่เปลี่ยน IMEI ให้เหมือนของอากง ใส่ซิม แล้วไปยืนส่งข้อความที่หน้าบ้านอากงล่ะครับ
IMEI กับ Location จะใช้ได้ไหม
เสาต้นนึง กินพื้นที่เท่าไหร่ครับ มันแม่นยำมากกว่า GPS เหรอ
เรื่องของเรื่อง(ที่ไม่เป็นเรื่อง)ก็คือ เค้าควานหาตัวคนที่ใช้เบอร์ที่ส่ง SMS ไม่ได้ เค้าเลยเอา EMI มาใช้แทน
การใช้ Cellsite ระบุตำแหน่งก็มีใน Google Maps สำหรับเครื่องที่ไม่มี GPS ครับ
พบว่ากว้างมากๆ ในหลักร้อยเมตรเลยทีเดียว สรุปคือ GPS ชัวร์สุด ส่วน Cellsite นี้ ยืนคนละช่วงตึกก็เหมือนยืนทีเดียวกันครับ
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ผมยังไม่เห็นใครเสนอล้มมาตร 112 เลยครับ
มีแต่คนเสนอให้แก้ไขปรับปรุงให้มันรัดกุมกว่านี้ ไม่ใช่เหมือนทุกวันนี้ที่ใครอยากฟ้องใครโดยอ้างมาตรานี้ก็ได้
คนถูกฟ้องก็ถูกจับกุมคุมขังทันทีโดยโอกาสได้รับการประกันตัวน้อยยิ่งกว่าน้อย
เพราะศาลกลัวหลบหนีเพราะโทษมันหนัก ทำให้คนที่รู้ว่าจะโดนฟ้องส่วนหนึ่งก็ตัดสินใจหนีการจับกุมเลย
เจตนารมณ์ของกฏหมายนั้นไม่มีใครเถียงหรือคัดค้านนะครับ แต่เงื่อนไขการใช้กฏหมายมันมีปัญหาทำให้กฏหมายถูกใช้อย่างผิดเจตนารมณ์ครับ
+1
+1
ใช่เลยครับ ข้อนี้มันส่งผลกระทบต่อผู้ถูกฟ้องอย่างทันทีทันใดเกินไป ซึ่งบางครั้งการฟ้องก็ไม่ได้มีหลักฐานที่แน่ชัด แต่กลับทำให้คนถูฟ้อง(ซึ่งอาจจะไม่ใช้คนผิด) ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก
ผมยังไม่เคยเห็น คน "ดีๆ" คนไหน ติดคุกเพราะมาตรานี้เลยนะครับ
"ไม่เคยเห็น" ไม่ได้แปลว่า "ไม่มี" และต่อให้ "ไม่มี" ก็ไม่ได้แปลว่า "มันถูกต้องที่สุดแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้"
โอเคครับ ไม่เคยหมิ่นฯ แปลว่าคนดี
+1
ตอบแบบนี้อย่าตอบดีกว่าครับ แลดูงมงายเหลือเกิน
+1 มาตรา 112 ถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางที่ผิดหลาย ๆ ครั้ง
ด้วยความเคารพ ไม่ใช่ผมไม่รักสถาบัน แต่มันคนละเรื่องกัน
ผมว่ามองว่ามันขัดกับหลักประชาธิไตย มาตรานี้ควรจะต้องปรับปรุงนานแล้ว ทั้งการลงโทษและการตีความ
หลาย ๆ คนสาดสีกันว่าหมิ่นอย่างนู้นหมิ่นอย่างนี้
อย่างคดีอากง ผมเคยอ่านบทความนึงนานแล้ว เขาเล่าถึงเหตุการณ์ในชั้นศาล อากงบอกว่าเขารักในหลวง เวลามีพฺิธีสำคัญอะไร ก็เคยไปรับเสด็จตั้งหลายครั้ง ซึ่งผมก็มองว่าแกไม่โกหกหรอก ผู้สูงอายุเกือบทั้งประเทศเชิดชูในหลวง รักในหลวงมาก มีรูปติดฝาบ้านทั้งนั้น เหตุการณ์ในวันนั้นสะเทือนใจจนถึงขั้นที่คณะลูกขุนที่เป็นผู้หญิงยังต้องเอามือมาปิดปาก แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เห็นแล้วนะครับ......
แล้วอย่าบอกว่า
"ยังไม่เคยเห็นใครเสนอล้มมาตรา 112"
โพสแบบนี้แสดงว่าคุณไม่รู้อะไรเลย
อ.สมศักดิ์ เค้าเรียกร้องแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
กรุณาย้อนไปดูว่าผมอ้างถึงความเห็นของใคร
คุณกลัวอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงมาตรา 112?
ปรับปรุงให้ดีขึ้น ให้เหมาะสมขึ้น ให้ยุติธรรม ให้กระจ่าง ให้ชัดเจน ในตัวบทกฏหมาย น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ที่ผ่านมามีคนเอามาใช้ ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย มามากพอแลเว ถ้ามันยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม ก็จะมีคนนำมาใช้ แล้วทำให้เสื่อมเสียไปอีก ซึ่งน่ากังวลมากกว่า
@fb.me/frozenology@
กฏหมายมันแค่สะท้อนบริบทของสังคมและการปกครองในเวลาเขียนเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์แต่อย่างใด ไม่งั้นคงไม่มีการแก้กฏหมายกันแล้วครับ พระไตรปิฎกยังมีสังคายนากันเลย ดังนั้นอย่าไปกระเดียดยึดติดกับคำว่า "ถูกกฏหมาย" หรือ "ผิดกฏหมาย" ให้มันมากนักเลย
หรือผมเข้าใจเองคนเดียวว่าคุณ lawender เขาพูดถึง "คนบนเว็บนี้"
อย่าเพิ่งร้อนตัวไปถึงขั้นนิติราษฎร์สิครับ discussion บนเว็บนี้รวมแค่ว่าเรื่องบริบทของ 112 และจุดอ่อนของมันที่ควรถูกแก้ไข ไม่ได้ยาวไปถึงเรื่องการแก้ไขการเมืองทั้งหมด เรากำลังพูดถึงเรื่อง micro ไม่ใช่ภาพรวมครับ
@TonsTweetings
ผมได้มีโอกาสเข้าไปอ่านประกาศของคณะ นิติราษฏร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร แล้ว
ทำให้เห็นด้วยอย่างยิ่งครับที่ ม.112 จะต้องได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่
ตอนแรกผมก็โมโหน่ะเพราะมันเป็นคดีแบบนี้ แต่พอลองลบอคติแล้วมันก็ทำให้สายตาชัดเจนขึ้นจริงๆ
โอ้.... ในทีวีเขาเอานักวิชาการมาถกเถียงกันเลยครับ มีอยู่คนหนึ่งให้ยกเลิก อ้างทุกคนต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ คนทั่วไปสามารถฟ้องเจ้าได้อะไรแบบนี้ คนนั้นชื่ออะไรจำไม่ได้แล้ว ถ้าอยากทราบรายละเอียดลองติดต่อเนชั่น จอมขวัญ ดูนะครับ
เห็นด้วยตามจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ทุกประการครับ
ลงชื่อ
สมศักดิ์ ลิขิตรัตนพิศาล
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ขอสนับสนุนจดหมายฉบับนี้เช่นกันครับ
ศรวิษ เสียงแจ้ว
ถ้าผมจำไม่ผิดนะน่าจะเป็น พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เกิดขึ้นสมัยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผมไม่ได้ลากเข้าการเมืองนะครับ แต่ที่จำเป็นต้องอ้างอิงจากการเมืองเพราะว่า การเมืองเป็นฝ่ายออกกฎหมาย
กระทรวงไหนอยากมีกฎหมายไว้เพิ่มพลังตัวเองเช่นกระทรวง ICT ก็เสนอร่างพรบ.เข้าสภาแล้วสภาก็อนุมัติ คือก่อนหน้านั้นสมัยนั้นช่วงหนึ่งกระทรวง ICT ก็เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ให้สภาผ่านร่างฯ ประมาณปี 2548-2549 แต่ร่างฯดังกล่าวกลับถูกนิ่งเฉย แต่พอสนช.(สภานิติบัญญัติแห่งชาติ)เกิดขึ้น จึงเป็นช่องว่างให้ ICT เสนอร่างฯเข้าสภา ช่วงนั้นเสนออะไรก็ง่ายเพราะ สนช.ชอบทำงาน ผมยังจำได้ครับว่าวันสุดท้ายที่สนช.ทำงาน ผ่านร่างกฎหมายตั้ง 60 กว่าฉบับในวันเดียว ลองคิดดูครับว่าจะมีเวลาอ่านไหมเอาแค่ฉบับละ 10 หน้ากระดาษ A4
ตามความคิดเห็นของผมถ้าเป็นไปได้แต่คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ให้ยกเลิกกฎหมายทุกฉบับที่สนช.ผ่านร่างเพราะสนช.ไม่ชอบด้วยกฎหมายและที่มาของสนช.ก็มาจากการปฎิวัติโดยใช้กำลังทหาร
อันนี้เป็นความคิดเห็นครับไม่ได้ชี้นำ
ผมเสริมนิดว่ากฎหมายด้านไอซีทีมีทั้งหมด 6 ฉบับครับ ซึ่งทำขึ้นพร้อมกัน มีฉบับนึงผ่านไปก่อนแล้วคือ พรบ ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ 2544
ส่วนฉบับที่เหลือยังดองอยู่จนทุกวันนี้ สมัย สนช. มี พรบ.ความคิดทางคอมพิวเตอร์ ที่ผ่านเพียงฉบับเดียว
คนไทยที่มีใจเป็นธรรมในประเทศนี้ เป็นกำลังใจลุงทุกคนครับ
+ 1 อีกหนึ่งเสียงครับ
+1 ครับ
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
แค่ผมกรอก "Change IMEI" ลงใน youtube ก็ขึ้นมาเยอะมากๆๆ
+1
ลงชื่อสนับสนุนด้วยคน
สนับสนุนด้วยคับ
+1
ร่วมลงชื่อสนับสนุนครับ
เห็นด้วยและสนับสนุน
ธนะ วงษ์มณี
น่าสงสารครับ ขอให้เรื่องนี้กระจ่างโดยเร็ว
+1
+1
+1
สำหรับผม ถ้านายอำพล ไม่ได้ทำจริง สำหรับผมก็เห็นด้วย กับจดหมายฉบับนี้
แต่หากเขาทำผิดจริง ก็สมควรแล้ว สำหรับสิ่งที่เขาได้กระทำไป หรือแม้หากโดนจ้างมาแล้วไม่ยอมซัดทอด ก็สมควรเช่นกัน
ประเด็นของแถลงการณ์ไม่ได้อยู่ที่ว่ากระทำผิดจริงหรือไม่ครับ แต่มันคือการที่หลักฐานสามารถปลอมแปลงได้ ไม่หนักแน่นเพียงพอ แต่นำมาใช้อ้างอิงในการตัดสินความผิดทางอาญา ซึ่งมันอาจจะเป็นบรรทัดฐานในการอ้างอิงหลักฐานเช่นนี้อีกในอนาคต
ผมเห็นด้วยกับแถลงการณ์ฉบับนี้ ส่วนว่านายอำพลจะผิดจริงหรือไม่นั้น ควรจะมีการหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ที่แน่นอนและเชื่อถือได้มากกว่านี้เสียก่อน จึงเริ่มทำการพิจารณาคดี
ประเด็นการแก้ต่าง มันขึ้นอยู่กับทนายจำเลยครับ
มีหน้าที่ต้องโน้มน้าว ให้ศาลท่านเชื่อในหลักฐาน ต้องแก้ต่าง
เรื่องนี้ต้องโทษทนายจำเลย ไม่ใช่มาโทษศาล ศาลเขาพิจารณาตามน้ำหนักและตัวบทของกฎหมายครับ
+10
ผมว่า จำเลย นั่งเฉยๆ ก็ได้ครับในคดีอาญา แม้กระทั่ง จำเลย จะตะโกนบอกศาล ว่า ผมผิด ผมทำเองก็ได้ แม้กระทั่งทนายเองก็บอกศาลว่า จำเลยผิดก็ได้
แต่ในทางนิติรัฐแล้ว
มีแต่โจทย์นั่นแหล่ะ ที่ต้องหาหลักฐาน มันยัน จนสิ้นสงสัย ว่า จำเลยผิดจริง
ซึ่งถ้าเรื่องนี้ยังทำไม่ได้ จำเลยก็ไม่ควรจะต้องทำอะไรเลย
และโดยปกติ มันก็เป็นเช่นนี้ ยกเว้น คดีแบบนี้
ผมไม่ได้เรียนจบด้านนิติศาสตร์มาเลยไม่ค่อยมีความรู้ที่แน่ชัดในประเด็นนี้ แต่ที่เคยดูหนังเรื่อง Law Abiding Citizen มา ผมเห็นว่ามันมีกระบวนการให้จำเลยยอมรับสารภาพความผิดเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ด้วย ซึ่งอัยการในเรื่องสามารถนำเอาคำสารภาพนี้ไปใช้ให้การในศาลเพื่อตัดสินว่าจำเลยมีความผิดจริงได้ ดังนั้นประโยคที่ว่าหากจำเลยสารภาพผิดแล้วศาลไม่ต้องสนใจคำสารภาพของจำเลยเลยนั้น ผมว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องจริงครับ
That is the way things are.
ผมก็ไม่ได้เรียนกฏหมาย แต่เคสแบบนี้ ในทางกฏหมายเขาเคยถามกันแล้วว่า "แล้วถ้าจำเลยจงใจรับสารภาพเพื่อปกป้องผู้ร้ายตัวจริงล่ะ?"
"แล้วถ้าจำเลยจงใจรับสารภาพเพื่อปกป้องผู้ร้ายตัวจริงล่ะ?"
มันก็ดูบริสุทธิ์ใสซื่อตอนให้การมากสิครับ .. และที่บอกว่าผมไม่ได้เป็นคนทำ มันก็ถูกของเค้าสิครับ
อันนี้พูดถึงเคสไหนอยู่ดูดีๆก่อนก็ได้นะครับ
ถ้าดู Law & Order จะเห็นครับว่าคำสารภาพมีหลายแบบ และไม่ได้มีความสำคัญมากเท่าหลักฐาน ถ้าหลักฐานไม่สอดคล้องกัน คำสารภาพก็ตกไป
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ความเห็นคุณ xxxooo เยี่ยม :)
หมายความว่าถ้าคุณไปด่าใคร คุณจะขอเข้าไปอยู่ในคุก 20 ปีเองเหรอครับ?
หรือจะบอกว่าในโลกนี้มีเพียงคนเดียวที่พิเศษกว่ามนุษย์คนอื่น ที่ใครก็ตามที่ด่าต้องโดนลงโทษหนัก ฆ่าให้ตายเลยยิ่งดีเหรอครับ?
จะทำอะไร ให้มีความเหมาะสมดีไหม เป็นมนุษย์เหมือนกัน ควรจะเท่าเทียมกันนะครับ
ผมไม่เสวนากับ พวกที่ ริอาจคิดตีตนเสมอเจ้าครับ
คุณทำให้ผมเชื่อว่า ประเทศไทยยัง "อีกนาน" ..อีกนานจริงๆ กว่าคนไทยจะตระหนักถึงศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เยี่ยงสากลอารยประเทศที่เจริญงอกงามทางความคิดแล้ว
ใครจะเป็นธุลีก็เชิญ แต่ผมขอเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมเฉกเช่นมนุษย์คนอื่นๆ บนโลก 100% ใครมาเบียดเบียนศักดิ์ศรีผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน
งั้นรบกวน ท่านเปิดหูเปิดตาให้กับผม ว่าประเทศไหนในโลกที่ ให้ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันเฉกเช่น มนุษย์คนอื่นๆหน่อยนะครับ พอดีตั้งแต่ลืมตามาบนโลก และศึกษาข้อมูลมา ผมยังไม่เคยพบประเทศที่ว่าเลยครับ
เสริมให้สำหรับ อเมริกา ที่เขาว่ากันว่าเป็นโลกเสรีเอย ต้นแบบประชาธิปไตย พอๆกับอังกฤษนะครับ
http://www.fbi.gov/birmingham/press-releases/2011/illegal-alien-from-uzbekistan-indicted-for-threatening-to-kill-the-president-and-possessing-machine-gun-and-grenades
เด็กวัยรุ่น ส่ง อีเมลล์ขู่ฆ่า โอบาม่า
"Threatening the President of the United States is a class D felony under United States Code Title 18, Section 871.
The offense is punishable by five years in prison, a $250,000 fine, a $100 special assessment, and 3 years of supervised release."
สี่ข้อหา ข้อหาล่ะ ห้าปี รวมยี่สิบปี ปรับ $250,000
ถึงแม้จะเป็นคนละระบบกับบ้านเรา แต่ที่อเมริกา ปธน เขาคือผู้นำสูงสุดของ ประเทศเขา
คล้ายๆกับที่ มีกฎหมายหมิ่น ม.112 ของบ้านเราคือ
มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
การที่คุณเหมาเอาข้อความขู่ฆ่ามารวมกับข้อความหมิ่นประมาทนี่ก็แสดงถึงความเจริญทางจิตใจคุณเหมือนกัน
แล้วอันไหนที่บอกว่า 20 ปีครับ? เห็นมีแต่เบ็ดเสร็จ 5 ปี
แล้วไม่อยากได้เหรอไงครับ การได้รับสิทธิเท่าเทียมเนี้ย มันไม่ได้แปลว่า เราจะไม่เคารพอะไรที่ควรเคารพนะครับ
ผมก็อ่านเป็น 5 ปีเหมือนกัน ถ้าพบข้อความ 20 ปีรบกวนช่วย quote ทีครับ ผมใช้จากมือถือ เปิดเว็บอ้างอิงลำบาก (url ไม่เป็นลิงค์)
กำลังจะบอกว่า ถ้าคุณส่งเมลขู่ฆ่าแบบนี้ไปให้ให้ใคร ไม่ต้อง ปธน หรอกครับ แค่นายเอนายบี ยังไงคุณก็ต้องเจอโทษแบบนี้ เพราะการขู่ฆ่าถือเป็นเคสที่ซีเรียส
การขู่ฆ่า /= การวิพาษ์วิจารณ์ หรือแม้แต่การด่าทอ
เห็นด้วยว่าการขู่เอาชีวิตกับการหมิ่นประมาทดูถูกดูหมิ่นควรจัดให้อยู่คนละระดับกันครับ แต่เราก็ไม่มีวันรู้ว่าข้อความที่เป็นคดีความอยู่นั้นเป็นแค่การดูถูกดูหมิ่นหรือการขู่เอาชีวิตเหมือนกันนะครับ ต้องอย่าลืมคำนึงถึงความเป็นไปได้ในจุดนี้ด้วยเหมือนกัน
ส่วนเรื่องโทษทัณฑ์จากข่าวที่ว่าคือ 20 ปีสำหรับการขู่ฆ่าครับ ถ้านับรวมทั้งหมดจะมากกว่านั้นอีก อ้างอิงตามนี้ครับ
ถ้าคำนวณเสร็จสรรพแล้วหากศาลตัดสินว่านายคนนี้ผิดจริงดังข้อกล่าวหา นายคนนี้ต้องโทษจำคุกถึง 50 ปีเลยทีเดียวครับ
That is the way things are.
ใช่ครับ เราไม่มีวันรู้ ฉะนั้นแล้วการที่กฏหมายเขียนให้มันจัดอยู่ในข้อเดียวกัน สามารถกำหนดโทษ หมิ่นประมาท ให้เท่ากับ ขู่อาฆาต ได้ มันหมายความว่ายังไงล่ะ?
ก็เห็นเจตนาชัดเจนว่าอยากให้ตัดสินเหมาเอาการหมิ่น ให้ลงโทษหนักๆเท่ากับขู่เอาชีวิต โดยที่ไม่จำเป็นต้องเอาข้อความนั้นมาเผยแพร่ว่าจริงๆมันคือหมิ่นหรืออาฆาต
แต่ถ้าจะให้พูดคือ ผมจำได้ว่า คำตัดสินของศาล ก็เหมือนจะมีบอกแต่ว่าเป็นข้อความหมิ่นนะครับ
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเท่าเทียมหรือไม่ครับ
แต่ประเด็นคือ "ได้รับการตัดสินอย่างยุติธรรมหรือไม่"
ปล. ผมเชื่อในความไม่เท่าเทียมครับ แต่ผมอยากให้ทุกคนเท่าเทียมกันให้มากที่สุด หรือคุณไม่อยากครับ?
ผมก็อยากให้เท่าเทียมกันให้มากที่สุดครับ แต่ต้องไม่ให้กระทบกับสถาบันสูงสุดที่ผมและคนไทยส่วนใหญ่เคารพรัก
แต่ที่ผมเห็นกลุ่มคนที่เรียกร้องให้เท่าเทียมบ้าง ให้แก้ ม.112 นี้บ้าง ทั้งที่ลงชื่อ ล่าชื่อ และเคลื่อนไหวในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ (แต่ผมไม่ได้รวมถึงแถลงการฉบับนี้จาก blognone.com ครับ) ล้วนเป็นกลุ่มที่ข้องเกี่ยวกับพวกที่ มีคดีหมิ่นติดตัว จ้องล้มสถาบัน แถมบางกลุ่มยังมีการขึ้นเวที ใส่ร้ายสถาบัน และบางคนก็ตอนนี้อยู่ในคุกหลายคนแล้ว และอยู่ในช่วงพิจารณาคดี และบางคนที่เคยโดนตำรวจบุกจับเรื่องคดีเหล่านี้ ก็ไปยืนอยู่เป็น wallpaper เคียงข้างผู้มีอำนาจของคนเหล่านี้
โดยสถาบันเขาไม่สามารถมาตอบโต้อะไรได้อยู่แล้ว เพราะสถาบันอยู่เหนือการเมือง มีแต่กลุ่มการเมืองที่ดึงสถาบันลงมา
ดังนั้นผมเชื่้อว่าเป็นหน้าที่ของประชาชนชาวไทย ที่ต้องคัดค้านการแก้ไข ม.112 นี้ครับ
เพราะ ประเด็นชูความทัดเทียมกัน ผมยังไม่เคยเห็นประเทศไหนมีจริงในโลกเลย ผมเชื่อว่า ณ ตอนนี้ การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเหล่านั้น เป็นไปเพื่อต้องการกระทบไปยังสถาบัน เท่านั้นครับ เป็นแค่ข้ออ้างทำให้ดูดี แค่นั้นเอง
สมมติว่าอากงเป็นผู้บริสุทธิ์จริง และอากงถูกดำเนินคดีและลงโทษด้วยกฏหมายนี้
อากงต้องคัดค้านการแก้ไข ม.112 ด้วยหรือไม่ครับ?
คุณต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่เราต้องการแก้คืออะไร ก็เพราะ ม.112 นี้ใช้สำนวนที่เหวี่ยงแหมากเกินไป สามารถใช้ตีความไปในทางใดก็ได้ตามความต้องการ เสมือนเป็นการเปิดช่องโหว่เอาไว้ให้ใช้ทำลายคู่แข่งทางการเมือง
ถ้าคุณยังพยายามเอาเรื่องความจงรักภักดี ไปปนกับการตีความของข้อกฏหมาย เรื่องนี้คุยกันยังไงก็ไม่มีวันจบครับ
คุณยังแยกแยะไม่ออก ระหว่าง การ"ดูหมิ่น" กับการ "ข่มขู่ว่าจะทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต" นะครับ แยกประเด็นให้ออกก่อนดีๆ
อย่าใช้การเหมารวม มาตัดสินนิติธรรม โดยเฉพาะเหมารวมสิ่งที่มูลฐานโทษน้อย ให้โดนลงโืทษพอๆกับมูลฐานความผิดร้ายแรง
ที่สำคัญ โทษคดีหมิ่นฯถูกเพิ่มเป็น 3-15ปีโดยคณะรัฐประหารปี 2519 ครับ ดูศักดิ์ศรีและที่มาของกฎหมายก็บ่งบอกอะไรได้หลายๆอย่างแล้วเช่นกัน
"...แต่ที่ผมเห็นกลุ่มคนที่เรียกร้องให้เท่าเทียมบ้าง ให้แก้ ม.112 นี้บ้าง ทั้งที่ลงชื่อ ล่าชื่อ และเคลื่อนไหวในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ (แต่ผมไม่ได้รวมถึงแถลงการฉบับนี้จาก blognone.com ครับ) ล้วนเป็นกลุ่มที่ข้องเกี่ยวกับพวกที่ มีคดีหมิ่นติดตัว จ้องล้มสถาบัน แถมบางกลุ่มยังมีการขึ้นเวที ใส่ร้ายสถาบัน และบางคนก็ตอนนี้อยู่ในคุกหลายคนแล้ว และอยู่ในช่วงพิจารณาคดี และบางคนที่เคยโดนตำรวจบุกจับเรื่องคดีเหล่านี้ ก็ไปยืนอยู่เป็น wallpaper เคียงข้างผู้มีอำนาจของคนเหล่านี้..." (firstsmart, 2011)
ผมไม่คิดว่ามีคนกลุ่มเดียวที่มีชนักติดหลังเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วออกมาขอให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะครับ
ผมขอตอบความด้วยเนื้อความบางส่วนจาก แถลงการณ์ของคณะผู้แทนถาวรราชอาณาจักรนอร์เวย์ประจำองค์การสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ที่กล่าวไว้ในการทบทวนกรณีสิทธิมนุษยชนของไทย ที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554 ดังนี้ครับ:
"Norway acknowledges Thailand’s need to find a balance between protecting the constitutional monarchy and the right of individuals to express their views, as stated in the national report. Norway is concerned, however, about the dramatic increase in the number of lèse majesté criminal charges and convictions in recent years, and the effect which the strict application of Article 112 in the Thai Penal Code and the 2007 Computer Crimes Act has had on the freedom of expression. Norway recommends that Thailand ensures public and transparent procedings in cases concerning violations of the lèse majesté legis¬lation and the 2007 Computer Crimes Act, and recommends Thailand to strengthen efforts to ensure adequate legal counselling for all persons charged for violations of these laws.
Being a fellow constitutional monarchy, Norway also has lèse majesté legis¬lation, but prosecution pursuant to the relevant articles may only be initiated by order of the King or with His consent. This prevents the law from being misused for political purposes. Norway recommends a thorough review of the relevant laws to safeguard the basic right to freedom of opinion and expression, and stands ready to share its experience and legal expertise in this area."
ที่มา: http://www.norway-geneva.org/unitednations/humanrights/Norways-statements-during-the-12th-session-of-the-UPR/UPR-of-Thailand-5-October-2011-Statement-by-Norway/
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
"UN ไม่ใช่พ่อครับ"
แม้ว พี่ชายนายกปู ของประเทศไทย เคยกล่าวไว้
ต่างชาติไม่ได้เคารพ ไม่ได้มีสถาบันพระมหากษัตริย์แบบไทยนะครับ
ตอบนะครับ
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
+10
สถาบันอยู่เหนือการเมือง?? อ่านแล้วอยากหัวเราะเป็นภาษามลายู เคยอ่านประวัติศาสตร์การเมืองรึเปล่าครับ
อยากเป็นขี้ฝุ่นก็เป็นไป แต่คนที่เขาไม่อยากเป็น อย่าไปดึงเขาลงมาให้เป็น จบครับ
จากความคิดของท่าน lazywahwah ผมทราบแน่ๆแล้วว่าท่านคิดอย่างไรกับสถาบัน
สำหรับผมคิดว่า ที่นี่บ้านของพ่อ หากไม่รักและเคารพพ่อ และดูหมิ่นพ่อ ก็ออกไปจากบ้านของพ่อเถอะครับ คนไทยส่วนใหญ่เคารพและรักพ่อ ประเทศไทยมีพ่อเป็นบุคคลสูงสุดที่ไม่อาจให้ใครมาละเมิดได้
หรือไม่ท่านก็อยู่เงียบๆ กลับกลุ่บพวกที่คิดแบบท่าน อย่าพยายามขวนขวาย แก้ไข ม.112 เพื่อที่กลุ่มตนเองจะได้ด่า พ่ออย่างอิสระ หรือง่ายดายขึ้นเลย หากรับไม่ได้ ประเทศอื่นที่ไม่มีพ่อ มีเยอะเยะให้ท่านไปสนองความต้องการแบบนั่นครับ
ผมไม่ว่าอะไรที่คุณคุยเรื่องการเมืองนะครับ เพียงแต่ดูจากประเด็นแล้ว มัน off-topic จากหัวข่าวไปมาก ถ้าอยากคุยต่อ แนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใน forum ครับ
และที่ Blognone นี่เราเตือนกันแค่ครั้งเดียวนะครับ คุณเป็นบัญชีใหม่ที่เพิ่งสร้างมาด้วย
ผมกำลังจะชี้ให้เห็นอีก scenario หนึ่งที่ยังเหลือ ที่เราในนี้ยังไม่ได้ zoom-in กันเลย (บนสมมุติฐานว่าทุกคำให้การของอากงเป็นจริง) .. แต่พอเห็นเม้นท่าน mk (Founder) เมื่อสักครู่นี้ .. เล่นเอาผมฉะงักและเก็บไว้ก่อนดีกว่า
โอเคครับคุณ mk ถ้าทีมงานคิดว่ามันจะ off topic เกินไป ผมก็เคารพการตัดสินใจทีมงานเพราะที่นี่คือบ้านของคุณ ต้องเคารพตามกฎของที่นี่
เหมือนกับที่ บ้านผม เมืองไทยผมก็ต้องเคารพกฎของที่บ้าน คือกฎหมาย
แต่ถ้ากฎที่นี้มันห่วยคุณสามารถเสนอแนะ ให้ปรับปรุงแก้ไขได้ครับ แต่ต้องมีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขที่ดีพอ
และหากคุณเห็นว่าที่นี่ไม่ดีพอ คุณสามารถไปเล่นเวบอื่นหรือเปิดเวบเองโดยที่ไม่โดนคนอื่นกระแนะกระแหนด้วยครับ
ขอลบครับ
แต่การแก้กฎหมายเพื่อคนที่มีอำนาจ เอื้อประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง มันก็ไม่สมควร และเป็นฉนวนของความขัดแย้งได้ครับ
หวังว่าอันนี้คงไม่ off topic จนเกินไปนะครับ :)
จริงๆแล้วผมอยากคุยต่อ แต่ผมมองว่าถ้าคุยต่อ ประเด็นนี้มันจะลามไปจน off topic แน่นอนครับ ขอจบเท่านี้ล่ะกัน
ด้วยความเคารพครับ
ขออภัยที่คอมเมนท์แรกอาจจะอ่านดูเหมือนใช้อารมณ์ไปหน่อย
ไม่ทราบว่าเคยอ่านมาตรา 8 ในรัฐธรรมนูญ ที่กล่าวว่าพระมหากษัตริย์ดำรงเป็นที่เคารพสักการะ "และผู้ใดจะละเมิดมิได้" รึเปล่าครับ แล้วไม่ทราบว่าคิดอย่างไรกับที่คุณเองคอมเมนท์ไว้?
สุดท้ายขออนุญาติยกที่ตอบไว้ข้างล่างมากล่าวซ้ำครับ
*
กฏหมายมันแค่สะท้อนบริบทของสังคมและการปกครองในเวลาเขียนเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งสัมบูรณ์แต่อย่างใด ไม่งั้นคงไม่มีการแก้กฏหมายกันแล้วครับ พระไตรปิฎกยังมีสังคายนากันเลย ดังนั้นอย่าไปกระเดียดยึดติดกับคำว่า "ถูกกฏหมาย" หรือ "ผิดกฏหมาย" ให้มันมากนักเลย
*
เวรกรรม อุตส่าไม่พูด ประเด็นนี้พอเหอะครับ เดี๋ยวลามไปกันใหญ่ จะโดนแบน
เห็นควรด้วยให้จบ เรื่อง off topic ตรงนี้ดีกว่า มันจะไปไกลเกิน
(อาจ)จะทำให้บางท่านได้รับประทาน คุกกี้ ได้อีกด้วย
กลับมาที่ topic หลักดีกว่า
555+ ตราบใดที่ไม่ละเมิด คำตอบนี้โดนใจผมมากเลยครับ ^^
+1 เห็นด้วยอย่างยิ่ง
เห็นด้วยครับ
+1 ชัดเจนครับ
+1
ลงชื่อเห็นด้วยครับ
เห็นด้วยในหลักการว่า หลักฐานอ่อนเกินไป
แต่ขอ -1 ไม่เห็นด้วย ที่ส่งหานายกฯ เพราะว่าเป็นขบวนการทางอำนาจของศาล
ถ้าจะส่งจม. เปิดผนึก ควรส่งถึงประธานศาลฏีกา ซึ่งถืออำนาจฝ่ายตุลาการ มากกว่าส่งหาคณะรัฐบาล ซึ่งเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร
ปล. การท้วงศาล น่าจะก่ำกึ่งว่า ละเมิดอำนาจศาล และ/หรือ หมิ่นฯ ศาลได้ ดังนั้นพิจารณาดีๆ
+1 เห็นด้วยเหมือนกันว่านายกไม่นา่จะทำอะไรตรง ๆ ได้ แต่อาจจะลงมาช่วยเหลือเรื่องต่อสู้คดี ผมยังไม่ได้อ่านรายละเอียดที่ว่าคุณลุงคนนี้เขาใช้ทนายอะไรที่ไหน แต่เป็นไปได้สูงว่าทางนักกฎหมายอาจจะไม่มีความรู้ด้าน IT เพียงพอ ถ้าทางทนายเป็นทางสภาทนายความ เราอาจจะยื่นให้ทางสภาทนายความช่วยเหลือก็ได้มั้ง
ผมว่าเราอาจจะอุทธรณ์ได้นะครับ ไม่แน่ใจแฮะ ต้องถามคนที่รู้กฎหมาย
เราอาจจะต้องดูกันว่า เราอยากจะช่วยคุณลุงเขา หรือ อยากให้เกิดเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีเกี่ยวกับคดีที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือ ถ้าเป็นอย่างแรกการขอพระราชทานอภัยโทษอาจจะเร็วกว่า แต่ถ้าเป็นอย่างหลังก็คงต้องยื่นอุทธรณ์ล่ะมั้งครับ
จะว่าไปเราควรจะมีรหัสยืนยันอุปกรณ์ที่ปลอมแปลงได้ยากกว่า IMEI หรือเปล่า ??
เห็นด้วยครับ .. ว่าน่าจะเป็นเรื่องของศาล (และ ปล. อันนี้ก็น่าคิด)
ทำไมการทักท้วงคือการละเมิดหรือหมิ่นศาล? แล้วใครที่จะคานอำนาจศาล?
ในเมื่อเราบอกว่าเราปกครองด้วยระบบคานอำนาจสามฝ่าย นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ
แต่ทำไมไม่มีใครตรวจสอบหรือคานอำนาจตุลาการได้เลย?
ทางแก้จากฝ่ายบริหารก็พอมีอยู่ ไม่ว่าจะออกพรบ.นิรโทษกรรม หรือผลักดันให้ฝ่ายนิติบัญญัติแ้ก้ไขกฎหมายครับ แต่ทั้งสองวิธีคงโดนฝ่ายการเมืองโจมตีอย่างรุนแรงอยู่ดี
ข้อเสนอบางข้อคือการให้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม?
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ถ้ากระบวนการยุติธรรมมันไม่ยุติธรรมละครับ
แล้วใครตัดสินว่ามันยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม ?
เอาอะไรตัดสินว่าไม่ยุติธรรมหล่ะครับ เสียงข้างมาก?
กฏหมายส่วนมากไม่ได้มาจากเสียงข้างมากเหรอครับ?!?
เสียงข้างมาก ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
ตัวอย่างไกลๆ เช่น ฮิตเลอร์ ไง มาจากเสียงข้างมาก ไม่อยากยกตัวอย่างในไทย เดี่ยวดราม่ายาว
ฮิตเลอร์เป็นเสียงข้างมากสมัยไหนครับ เลือกตั้งครั้งไหนผมไม่เคยได้ยิน
ถ้าไม่กล้าโต้แย้งถกเถียง แนะนำให้เลิกคอมเมนต์ครับ อ่านเฉยๆ อาจจะสบายใจกว่า แต่ถ้าจะคุยก็คุย ถกเถียงกันไป พัฒนาความคิดกันและกัน
lewcpe.com, @wasonliw
ฮิตเลอร์ แรกเริ่ม มีอำนาจ มาจากการเลือกตั้งครับ (พรรคนาซี)
ได้ครองเสียงข้างมาก หลังจากนั่นก็เริ่มกลายเป็นเผด็จการครับ
เลือกตั้งครั้งไหนปีไหนครับ พรรคนาซีที่คุณอ้างน่ะ
lewcpe.com, @wasonliw
ปี ค.ศ.1930 เป็นปีที่พรรคนาซีได้พบกับจุดเปลี่ยนทางการเมือง ภายในระยะเวลาของการเลือกตั้งครั้งเดียว พรรคนาซีได้เลื่อนอันดับจากเดิมที่มีจำนวนผู้แทนเป็นอันดับเก้าในรัฐสภากลายมาเป็นอันดับสองเพียงข้ามคืน
ในปี ค.ศ. 1932 ฮิตเลอร์ลงแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี และถึงแม้ว่าจะพ่ายแพ้ให้กับ พอล วอน ฮินเดนเบิร์ก (Paul von Hindenburg) ประชาชนก็เริ่มมองว่าฮิตเลอร์เป็นตัวเลือกทางการเมืองที่สมเหตุสมผลมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ถูกกดดันอย่างมาก วอน ฮินเดนเบิร์กจึงได้แต่งตั้งให้ฮิตเลอร์ขึ้นเป็นมุขมนตรีในรัฐบาลร่วมเมื่อวันที่ 30 มกราคม ค.ศ.1933 และเหตุการณ์นี้มักถูกโยงว่าเป็นสัญญาณบอกถึงการสิ้นสุดของรัฐบาลแบบสาธารณรัฐไวมาร์ และเป็นจุดเริ่มต้นของยุค “จักรวรรดิไรค์ที่สาม” (The Third Reich) ของฮิตเลอร์
source : http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_youtube.php?youtube_id=191
สุดท้ายก็ไม่ได้เสียงส่วนใหญ่อยู่ดี แล้วก็ต้องอาศัยวิธีพิเศษ (Reichstag fire) ในการแย่งอำนาจมาด้วยความหวาดกลัว
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ก็ชัดเจนนี่ครับว่าฮิตเลอร์ไม่เคยชนะเลือกตั้ง แต่อาศัยอำนาจนอกระบบมาดันหลังตัวเองให้ครองอำนาจ ทั้งที่ได้แค่ที่สอง (เอ๊ะ เหมือนใครในบ้านเรานะ?)
คำว่า "ประชาชนก็เริ่มมองว่าฮิตเลอร์เป็นตัวเลือกทางการเมืองที่สมเหตุสมผลมากขึ้นเรื่อยๆ" นี่ก็คำกล่าวอ้างนะ เพราะมันคือการ Propaganda โดยการยืมมือสื่อทหาร ปิดปากคนเห็นต่าง
อ้าว ผมเรียนสังคม ม.ปลาย ก็จำได้ว่าการก้าวขึ้นสู่อำนาจครั้งแรกของ Hitler ก็มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิบไตยนะครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Adolf_Hitler
แล้วค้นคำว่า Nazi Party election results
ในปี 1933 ได้รับการโหวตถึง 43.9% สุดท้ายก็ได้จัดตั้งรัฐบาลผสม และสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่แน่ ๆ คือ Hitler เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางก็มาจากการเลือกตั้งนี่ครับ
ฮิตเลอร์จะขึ้นมาด้วยเสียงส่วนมากหรือไม่ก็ว่าไปตามนั้นครับ แต่หลังจากได้รับรู้สิ่งที่ฮิตเลอร์ทำ และผลที่ตามมา ผมก็ไม่แน่ใจว่า ถ้าคนเยอรมันได้ vote กันอีกยังจะเป็นเสียงส่วนมากอีกหรือเปล่า เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีให้ประชาชนต้อง vote อะไรอีกนานเลย
ประเด็นคือ มาจากเสียงส่วนมากก็ไม่ถูกต้อง 100% นั้นจริงครับ แต่ต้องเปลี่ยนแปลงได้ในภายหลังด้วยเสียงส่วนมากอีกเช่นกัน ถึงจะเรียกว่าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครับ
อ้าง wiki แล้วก็อ่้านให้จบสิครับ อ่านหัวข้อ Reichstag fire and March elections ให้ดี
ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงไม่ถึงครึ่งแม้จะเป็นเสียงข้างมาก แต่เรื่องนี้มีเหตุการณ์เบื้องหลัง เพราะก่อนการเลือกตั้งมีการก่อวินาศกรรมทั่วประเทศ และมีการกล่าวโทษพรรคคู่แข่งว่าอยู่้เบื้องหลัง และได้ทำการยุบพรรค/จับกุมคู่แข่งไปเกือบหมด แล้วค่อยจัดการเลือกตั้งโดยเหลือพรรคใหญ่พรรคเดียว ซึ่งสุดท้ายแล้วนักวิเคราะห์เขาคิดว่าฝ่ายนาซีเองตะหากที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังวินาศกรรม เพื่อป้ายสีทำลายฝ่ายตรงข้าม
ป.ล. ถ้าอ่านwiki หรือเวบภาษาไทยจะแทบคนละเรื่องเดียวกัน ไม่รู้ใครบิดเบือนกันระหว่าง ต้นฉบับตปท. หรือฉบับแปลภาษาไทย :P
ฟังดูเป็นเหมือนเดจาวูยังไงไม่รู้ ???
คุณlew ผมขอหลักฐานที่คุณได้ยินมาด้วยคับ มาจากไหน รายละเอียดเป็นยังไง เพราะผมดูจากใน history channel แล้วก็ discovery มาก็เหมือนกับท่านข้างบนครับ เพราะผมได้เอาหลักฐานมาพัฒนาความคิดผมเพิ่มขึ้น เนื่องจากจะได้รู้ในสิ่งที่ถูกต้องคับ ขอคำแนะนำด้วยครับ
ผมบอกว่าผมได้ยินอะไรมาตอนไหนในเรื่องนี้หรือครับ?
"อ่าน" ที่ผมเขียนครับ ผมกำลัง "ตั้งคำถาม" และ "มีคนตอบไปแล้ว" ว่าฮิตเลอร์ไม่เคยได้ "เสียงข้างมาก"
lewcpe.com, @wasonliw
ซำ่คับ 3g มันเออๆคับ
แต่ที่แน่ๆ ดูท่าตัวอย่างไกลๆจะดราม่ายาวกว่านะ .. (;D)
เห็นด้วยกับ "เสียงข้างมาก ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป"
เพราะคนเราไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง จึงต้องใช้วิธีอนุมาน ก็คือเสียงข้างมาก ซึ่งก็คาดว่าจะใกล้เคียงความถูกต้องมากที่สุด แต่..ก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป
มันก็จริงครับ อาจจะไม่มีเสียงข้างใดถูกเลยก็เป็นได้ครับ แต่ปัจจุบันกฏหมายจะมาจากวิธีนี้เป็นส่วนมากครับ ถ้าเปลี่ยนวิธี ท้ายที่สุดก็ต้องวกกลับมาหาวิธีที่คนยอมรับมากกว่านี้อยู่ดีครับ ยกเว้นจะทำให้คนยอมรับกับมันได้ด้วยวิธีอื่นๆ
เห็นด้วยครับ ยึดถือแบบนี้ไว้ให้ตลอดนะครับ
เพราะเสียงข้างมากไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป ทำให้การประกันสิทธิในการแสดงออกเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่ไม่อนุญาตให้เสียงส่วนใหญ่มาริดรอนได้ ระบบเราให้เสียงส่วนใหญ่กำหนดทิศทางได้ แต่มันก็ผิดพลาดได้ เราถึงต้องยอมให้ทุกคนสามารถนำเสนอความคิดโต้แย้ง คัดค้าน โน้มน้าวได้อยู่เสมอ
อย่าไปอ้างเสียงส่วนใหญ่มาปิดปาดคนอื่นเสียเองแล้วกันครับ
แล้วเสียงข้างน้อยยุติธรรมเหรอครับ?
เอาจริงๆมันก็ไม่เกี่ยวกับข้างมากหรือข้างน้อย แต่ถ้าไม่มีทางแทรกแซงได้เลย จะมีหลักประกันอะไรว่ามันยุติธรรมแน่นอน?
เราจะเชื่อได้ยังไงว่ากลุ่มคนที่บอกว่า "ยุติธรรมดีแล้ว" ไม่ใช่กลุ่มคนพวกเดียวกัน?
ถ้าไปแทรกส่วนอื่นผมก็รับได้นะ ยกเว้นเรื่องศาล ให้ไปเปลี่ยนกฎหมาย เปลี่ยนกระบวนการสืบสวน ส่วนการพิจจารณาของศาล แต่ผมไม่สนับสนุนให้ "แหกกฎ" แต่ให้ไปเปลี่ยนกฎดีกว่า ในเมื่อเรื่องประกันตัวให้เป็นดุลยพินิจของศาลก็ควรเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ชอบก็ควรไปแก้กฎตรงนี้ว่าให้อยู่...(ก็ว่าไป) ไม่งั้นบางคดีที่ไม่อยู่ในประเด็นสังคมก็เน่ามันอยู่ยังงั้น
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ถ้ายุติธรรม
ศาลต้องรับถุงขนมราคา 2 ล้านบาท ว่างั้น ????
ทนายที่ให้ ถุงขนม ที่ติดคุก ไป 6 เดือน ตอนนี้ได้เป็น สส. อยู่ในสภาแล้ว
แบบนี้สินะ ยุติธรรม หึหึ
อะไรไม่ถูกใจ ก็คุกคาม
อะไรผิด ก็แก้ให้ถูกกฎหมาย
อะไรไม่พอใจ ก็เผา
จึงจะยุติธรรม
เคยดูคลิปของ Ohmygod3009 ไหมครับ
แบบนั้นแหละครับถึง "ยุติธรรม"
เชื่อได้ว่าคนที่รักความยุติธรรมแบบท่านถ้าได้ดู
คงน้ำตาซึมในความยุติธรรมแบบสารขัณฑ์เป็นแน่
คลิปนายพสิษฐ์ หน้าม้าที่ถูกจ้างมาโดยกลุ่มการเมืองกลุ่มนึงที่มีอำนาจรัฐตอนนี้ใช่ไหมครับ
ได้ดูสิครับ เล่นละครไม่ค่อยเนียนเท่าไรนะ แถมตอนนี้ได้ดิบได้ดีจากกลุ่มที่มีอำนาจแล้วนิครับ
แล้วสิ่งที่เขาพูดในคลิป มันมีส่วนจริงไหมครับ?
แล้วทำไมถึงไม่มีการตรวจสอบว่าสิ่งที่พูดในคลิปเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทั้งๆที่เนื้อหาในนั้นมันกระทบอย่างร้ายแรงถึงความเชื่อมั่นก็ว่าได้
เรื่องตลกในประเทศไทย แอบถ่ายหลักฐานcorruption คนปล่อยโดนแจ้งข้อหา ส่วนคนในคลิปลับก็เงียบๆไป ไม่มีใครเอาผิดได้ นั่นแสดงว่าต่อให้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ มันก็อยู่ืที่ว่า"พวกใคร" เป็นสำคัญตะหาก?
ผมเชื่อแล้วครับว่า อคติ มันทำตาพร่ามัวยิ่งกว่าราตรีอันมืดมิดเสียอีก
เพราะขนาดเป็นการ สารภาพเองแบบนั้น ยังไม่สามารถลบ อคติในใจของเขาได้เลย (หรืออาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้เห็นคลิปนั้นเพราะมันโดนบล็อคไปแล้ว)
แต่ถ้าหากได้เห็นผมก็มองว่าการใช้ใจตัดสินถูกผิดในทางสังคมมันก็สามารถทำได้ครับ
แต่หากจะชี้ถูกชี้ผิดนั้นมัน ทำไม่ได้ถ้าทำสังคมก็จะพังอย่างที่เห็นนี่แหละครับ
เสนอแนวคิดต่าง เพื่อขัดเกลา/ปรับปรุงกระบวนการครับ เนื่องจากเป็นเรื่องเฉพาะทาง
+1 ครับ
+1 ครับ
+1 เห็นควรด้วยครับ
ผมเห็นด้วยครับ เพราะคดีนี้ไม่มีใครกล้าทำหน้าที่เป็น ทนายที่ดี หรือ พยานฝ่ายจำเลย จากที่ติดตามมา
ดีใจครับ ที่เวปนี้ยังมีอุดมการณ์
เหมือนที่คอมเมนต์ข้างบนบอกแหละครับ เคสแบบนี้คนโดนฟ้องลำบากมาก ต่อให้อากงมีมีเงินมีพาวเวอร์มากแค่ไหนก็ยังแย่เลย แต่นี้เท่าที่ทราบมาแกไม่มีอะไรเลย
ทนายก็ทำอะไรมากไม่ได้ เรื่องของสถาบันมันค่อนข้างละเอียดอ่อน
+1 เห็นด้วยอย่างยิ่งและขอสนับสนุนครับ
ปล่อยคนผิด 10 คน ยังดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธ์เพียงคนเดียว ผมว่านักกฏหมายน่าจะท่องได้ขึ้นใจ แต่ไม่รู้เพราะอะไร...
ปล. อยากลงชื่อจริงสนับสนุนด้วยคน แต่กลัวคุก ไม่รู้เป็นอะไร ห้ามเห็นต่าง ห้ามคิดต่าง ห้ามวิจารณ์ ห้ามแตะต้อง ห้ามข้องเกี่ยว แทบทุกคนในประเทศเท้าเข้าคุกไปหนึ่งข้างแล้วขึ้นอยู่กับจะแจ๊คพอทโดนเล่นเมื่อไหร่ บ้านเมืองนี้จะบ้านป่าเมืองเถื่อนไปซะทุกทีๆ แล้ว
เห็นด้วยกับประโยคที่ว่า บ้านเมืองนี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนครับ
ใครไม่เห็นด้วย ยกพวกไปคุกคาม ใครถามคำถามไม่ถูกใจนายก (บุคคลสาธารณะ) บรรดาลิ่วล้อก็ forward mail คุกคามชีวิตและทรัพสินนักข่าว ใครจะวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ได้
พวกที่เป็นแกนนำปล้นสะดม ยุยง เผาบ้านเผาเมือง กลับได้ดิบได้ดีไปอยู่ในสภา
อยากทำอะไรก็ทำ อยากรื้ออะไรก็รื้อ อยากบุกรุกเปิดประตูระบายน้ำก็ทำ ทั้งๆที่เป็นคนของหน่วยงานรัฐ ที่ต้องดูแลเรื่องนี้
ขอโทษครับ มันคนละประเด็นแล้วครับ อย่าลากอย่าโยงเลยครับ
+1
ว่าแต่ถ้าจะอยากให้เกี่ยวก็ได้ จะสนองให้ ...บ้านป่าเมืองเถือนของผม หมายถึงความอยุติธรรมในสังคม คนใช้ขื่อแปรบิดเบี้ยวครับ เช่นคนๆ นึงโดนตัดสินว่าผิด เพียงเพราะ "เชื่อว่า.." หรือแม้แต่ส่ง Private SMS แล้วติดคุก 20 ปี ไม่ว่าเนิ้อความจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีประเทศไหนบนโลกลงโทษกันหนักแบบนี้ แม้แต่จีนก็เถอะ โทษยิ่งกว่าคดีฆ่าคนอีก ..แบบนี้ไม่บ้านป่าเมืองเถื่อน??
ซึ่งโปรดรู้ไว้เถอะครับ ว่าทั้งหลายทั้งปวงของความวุ่นวายในสังคมที่คุณบอกว่าบ้านป่าเมืองเถื่อนนั้น มันก็มีต้นตอมาจากความอยุติธรรมในสังคมทั้งหมดแหละครับ ลองเอาเหตุการณ์ที่ว่ามา มานั่งกาง ครุ่นคิด วิเคราะห์ เชื่อมโยง ก็จะเห็นเหตุแห่งปัญหาที่แท้จริงครับ ทุกอย่างย่อมมีเหตุ เป็นไปไม่ได้ที่อยู่ดีๆ คนจะก่อความวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผล
+1 ทุกอย่างมีที่มาที่ไป
มาแล้วๆ หลังจากที่มีวาทกรรม
"เมียซื้อ ผัวเซ็น ผัวติดคุก"
"ทำกับข้าวออกทีวี ติดคุก"
ตอนนี้ก็มี
"ส่ง Private SMS ติดคุก 20 ปี"
ผมอ่านยังไงๆ ก็ ติดคุก 5 ปี
ความผิดทั้งหมด 4 กระทง........รวมแล้ว 20 ปี
ถ้าผมฆ่าคน 4 คน ความผิด 4 กระทง
รวมแล้วความผิดของผมคือเท่าไหร่ครับ ถ้าบอกว่า โทษของ
"ส่ง Private SMS ติดคุก 20 ปี"
ผมขอเอาตรรกะจาก "วาทกรรม" ข้างตนมาเทียบ
ผมฆ่าคน 4 คน ผมต้องติดคุกน้อยกว่า 20 ปี ใช่มั้ยครับ
คุ้มนะครับ ฆ่าคน 4 คน แต่ติดคุกน้อยกว่า 20 ปีเนี่ย...........คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มอีก
(ประชด)
ผมก็เห็นว่ามันเป็นตามนั้นจริงที่คุณบอกนั่นแหละ
แต่มันยังขาดอีกครึ่งนึงว่า
มีกลุ่มคนที่พยายามยุยงให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ และทำให้เกิดการรบกันที่ชายแดนจนมีทหารและชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายจากปืนใหญ่ ซึ่งตัวแทนของกลุ่มนั้นได้ดีมาเป็น(อดีต)รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ
กลุ่มคนที่เป็นแกนนำปิดล้อมทำเนียบ,สนามบิน,กองบัญชาการตำรวจนครบาล ปล้นสะดมข้าวของและทรัพย์สินในสถานที่ราชการ ฆ่าตำรวจตาย รวมถึงยุยงให้แพทย์ผิดจรรยาบรรณไม่รักษาตำรวจที่บาดเจ็บทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตำรวจชั้นผู้น้อยได้แค่ทำตามคำสั่ง แทนที่จะไปกร่างกับชั้นบนๆ
รวมถึงอยากทำอะไรก็ทำ อยากรื้ออะไรก็รื้อ ผู้สมัครสส.คนที่สอบตก รวมตัวไปปิดถนน ทำลายรถที่พยายามฝ่าเส้นทาง ทั้งที่น้ำไม่ลดเนื่องจากกทม.โดยผู้ว่าที่มาจากพรรคเดียวกันไม่เปิดประตูให้ แล้วเมื่อมีคำสั่งจนต้องยอมเปิดประตูให้ ก็รวมตัวไปขอบคุณผู้ว่า
เรื่องราวใหญ่โตมากมายคุณยังเลือกที่จะฟังความจริงครึ่งเดียวเลย แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่เหลือ......
บ้านป่าเมืองเถื่อนตั้งแต่ยอมรับโจรถือปืนให้ออกกฎหมายได้แล้วล่ะครับ
น่าแปลกใจไหม ทำไมเราหลอกตัวเองว่าปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆทีี่รธน.มาจากโจรถือปืนสั่งให้ออกมาแืท้ๆ?
ใช่ครับ
"ทำไมเราต้องหลอกตัวเองด้วยว่า บ้านเราใช้ระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตย โดยได้มาด้วยการ ปฏิวัติ"
ปฏิวัติ != รัฐประหาร
การปฏิวัติ ประชาชนเอาอำนาจคืนจากที่เคยให้ไป เมื่อไม่ให้คืนดีๆ ก็แค่ใช้กำลังเอาคืนมา เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจตัวจริงแต่แรก
แต่การรัฐประหาร คือโจรปล้นอำนาจของประชาชน
"การรัฐประหาร คือโจรปล้นอำนาจของประชาชน" โรงเรียนไหนสอนมาครับ?
เพราะแบบนี้ซินะ หลายคนถึงบอกว่าระบบการศึกษาไทยล้มเหลว
แล้วคิดว่ามีอะไรผิดล่ะครับ
ผมก็ว่าการศึกษาคงล้มเหลวจริงๆ ถึงได้ทำให้มีคนอย่างพวกคุณที่คิดว่าประโยคดังกล่าวไม่เป็นความจริง
การที่มีคน ใช้กำลังยึดเอาของที่เป็นของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง โดยที่เจ้าของไม่ยินยอม จะเรียกว่าอะไรดี ปล้น? ขโมย? ขู่กรรโชก? อำนาจอธิปไตยของปวงชน อยู่ๆมายึดไปเป็นของตัวเองโดยไม่ผ่านระบบเลือกตั้ง(ระบบที่ประชาชนเลือกคนที่จะฝากอำนาจของตัวเองให้ใช้ 4 ปี) เขาก็เรียกหรูๆว่ายึดอำนาจ แต่เรียกกันจากการกระทำก็คือปล้นอำนาจนั่นแหละ
ถ้าเขาเข้าใจหลักการนี้ประเทศคงสงบสุขไปนานแล้วครับ
ก็อย่างที่เขาบอกระบบการศึกษาไทยยังต้องพัฒนาอีกมาก
ยังดีที่ตอนนี้ไม่เห็นพวกที่บอกว่า เลือกพรรคนี้ถึงฉลาด เลือกพรรคนี้ไม่มีการศึกษา
อาจเป็นเพราะได้คนเหล่านี้ได้ปรับตัวและเรียนรู้ว่า "สิ่งที่ตนเองทำนั้นแสดงออกถึงวุฒิภาวะทางอารมณ์และการศึกษาของไทยว่ากำลังเดินไปในทางใด"
ซึ่งมันทำให้คนที่อยู่ตรงกลางเห็นว่า คนมีวุฒิภาวะและคนไหนต้องปรับปรุงและควบคุมวุฒิภาวะของตนอีกมาก
มีนะ คนเมืองมักเงือกพรรคหนึ่งแล้วดูถูกคนต่างจังหวัดที่เลือกอีกพรรคหนึ่ง
ซึ่งทุกคนมีเสีบงและสิทธิเท่ากัน
@fb.me/frozenology@
ขอแย้งนิดนึง ที่จริงแล้ว ปฏิวัติ คือการล้มและเปลี่ยนระบอบการปกครอง ส่วน รัฐประหาร เป็นแค่การล้มผู้ปกครอง ณ เวลานั้น (รัฐประหาร เป็น subset ของการปฏิวัติ)
ส่วนอันไหนเรียกว่า ปล้นอำนาจประชาชน อันไหนเรีกยว่า เอาอำนาจคืน มันแล้วแต่ว่าฝ่ายไหนเป็นคนก่อปฏิวัติ/รัฐประหาร ในครั้งนั้นๆครับ
ยกตัวอย่าง ถ้าทหารยึดอำนาจและเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบเผด็จการ อันนี้ก็เรียกปฏิวัติครับ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
อ่าครับ โดยความหมายจริงๆก็ใช่
แต่ เคสที่เกิดในประเทศไทย มีแต่ การปฏิวัติจากสมบูรณาญา มาเป็นประชาธิปไตย
กับ การรัฐประหารรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับปฏิวัติ
ผมก็เลยหมายถึงแค่นั้นน่ะครับ
มันเกิดขึ้นในปี 2475 ใช่มั้ยครับ
แปลกนะครับ มาตรา 112 อยู่มาตั้งแต่สมัยนั้น
แต่ทำไมช่วง 2-3 ปีหลังมาเนี่ย กลับมีบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น
112 ตอนยุคนั้น โทษเบามากครับ ค่อนข้างเหมาะสม
แต่ตอนรัฐประหาร ทหารยึดอำนาจแบบ Full Time ครั้งแรกสุด (รสช?) ก็เพิ่มโทษขึ้นไปใกล้เคียงสมัยนี้
และสมัยนั้นก็มีการยัดข้อหาคนไปทั่ว ขนาดคนที่วิจารณ์กฏหมายของคณะรัฐประหาร ก็ยังโดนยัดข้อหาว่า กฏหมายมีลายเซ็นต์ในหลวง แปลว่าในหลวงยอมรับ วิจารณ์กฏหมายเท่ากับด่าในหลวง โดนยัดคุก
หลังจากนั้นรัฐบาลประชาธิปไตย ก็ค่อยๆลดโทษเรื่อยๆ เพิ่มโทษนิดนึงยุคทักษิณ แล้วก็เพิ่มโทษโครมเดียวหนักขนาดนี้ ยุค คมช.
อันนี้เป็นประวัติศาสตร์ที่หลายคนก็พูดแล้ว คุณไม่เคยอ่าน สักแต่เถียง
และที่มันมีบ่อยขึ้น ถี่ขึ้น มันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้ง เวลาที่บ้านเมืองเป็นเผด็จการ การยัดข้อหา การพยายามเอาผิดคนให้ทุกทาง หาโอกาสเซ็นเซอร์ก็มากขึ้น และที่สำคัญคือ ยุคนี้สื่อสารกันง่าย ใครโดนจับอะไร ไปบอกถูกที่ถูกเว็บ ข่าวก็กระจายได้ทั่ว
และการที่ 112 ลงโทษหนักถึงขนาดนี้ มันก็ทำให้กระแสข่าวแรง ถ้าแค่โดนจับ รอลงอาญา จบ คงไม่มีใครสนใจขนาดนี้
อารมณ์สังคมก็เป็นตัวแปรนึงที่ทำให้คนสนใจ
แต่ย้ำอีกครั้งว่า ไม่ใช่มันไม่มี มีมาตลอด ยิ่งสมัยทักษิณออกกฏหมาย IT ก็มีคนโดนจับเพราะเว็บหมิ่นเรื่อยๆ ถ้าคนทำอยู่ในไทย ตามจับได้ ขนาดคนที่ทำฟ้าเดียวกันยังโดนจับมาแล้ว ด้วยมือทักษิณนี่แหละ คุณไม่รู้เอง ปิดหูปิดตาตัวเอง
การปฎิวัติ 2475 คึือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราช คืนอำนาจสู่ประชาชนเป็น ประชาธิปไตยนะครับ และรธน.เริ่มต้นก็ถือว่าคือรธน.ที่คืนอำนาจให้ประชาชนเป็นครั้งแรก
ส่วนการรัฐประหาร หมายถึงการชิงอำนาจด้วยกำลัง ซึ่งตรงนี้มันก็เป็นแค่รูปแบบหนึ่งขึ้นกับกระบวนการตามมา ว่าชิงอำนาจไปให้ใคร ให้เผด็จการทหาร หรือคืนสู่ประชาชน
ส่วนโจรถือปืน ผมหมายถึงการใช้ปืนไปข่มขู่แย่งอำนาจจากประชาชน แต่งตั้งสภาร่างฯมาแก้ไขรธน.ตามใจชอบ เรียกได้ว่าแทบไม่มีกระบวนการของประชาชนเกี่ยวข้องเลยสักนิดเดียว แล้วเราจะหลอกตัวเองว่ามันคือรธน.ในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร?
ลองดูที่มาของรธน.2540 นะครับ กระบวนการสรรหา เลือกตั้ง สสร. แต่งต่างลิบลับกับการแต่งตั้งสสร.และสนช.ที่ทหารเลือกเองกับมือในการเขียนรธน.2550
อ้อลงประชามติ ในขณะที่ประกาศพรก.ฉุกเฉิน 45จังหวัด ห้ามฝ่ายตรงข้ามให้ข้อมูลโต้แย้งรธน.โดยเด็ดขาด และขู่ว่าถ้าไม่รับ จะเอารธน.ฉบับอื่นตามใจชอบมาใช้แทนด้วย ให้รับๆไปก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง เราจะหลอกตัวเองว่าคือการลงประชามติที่สมบูรณ์ในระบอบประชาธิปไตยกระนั้นหรือ? มันต่างจากการเลือกตั้งสภาคอมมิวนิสต์ในจีัน ในเกาหลีเหนือ หรืออดีตสภาดูม่าในโซเวียตอย่างไร?
ป.ล. โรงเรียนผมก็ไม่เคยสอนครับ ศึกษาเพิ่มเติมเองจนพอรู้ว่า ประว้ิติศาสตร์ฉบับโรงเรียน มันคือ"สิ่งที่เพิ่มสร้าง"ตะหาก
ป.ล.2 มาตรา112 เป็นของใหม่ครับ เพิ่มมาตอนปี 2490(ถ้าจำไม่ผิด ยุคจอมพลป.) แต่มาเเพิ่มโทษครั้งใหญ่ตอนรปห.จอมพลสฤษดิ์(เป็นการรปห.ครั้งแรกสุดในประวัติศาสตร์ที่ไม่มีการเลือกตั้ง แต่ใช้การแต่งตั้งสนช.ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก) และเพิ่มมาหนักสุดๆ เป็น 3-15ปี ในสมัยรปห.ปี2519ครับ ถ้าจะอ้างว่ามันมีที่มาอย่างโปร่งใส ก็ดูด้วยว่ามันเพิ่มโทษมาสมัยโจรถือปืนทั้งนั้น
+1 ไม่ได้เจาะจงช่วยอากง เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ เป็นไง แต่ด่วนสรุปแบบนี้ มันจะเป็นบรรทัดฐานที่ผิดๆ นะครับ
เห็นด้วยครับ
That is the way things are.
ผมเขียนไว้ให้ ultra royalist อ่านละกัน
ในกรณีคนที่เห้นด้วยไม่ได้มีเจตนาจะล้มล้างสถาบัน หรือเห็นด้วยกับบุคคลที่ลบหลู่ดูหมิ่นสถาบัน หรือต้องการจะปกป้องบุคคลซึ่งดูหมิ่นสถาบัน
สิ่งที่เราต้องการบอกคือ หลักฐานมันอ่อนเกินไป เราไม่อ่านทราบได้ว่าอากงเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่โดยการใช้เพียง IMEI อย่างเดียว
ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความจงรักภักดี แต่อยากให้ดูถึงวิธีการพิจารณาคดีความมากกว่าครับ
+1
แต่คงไม่มีใครฟังมั้งครับ 5555
ถ้ามีกด digg จะกดให้ไปอยู่เม้นแรกครับ - -*
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ก็ในเมื่อหลักฐานมันอ่อน ทนายจำเลยก็ต้องชี้ให้ศาลเห็นให้ได้สิครับว่าหลักฐานมันอ่อนจริงๆ
สำหรับคดีนี้ผมว่าเป็นความบกพร่องของทนายครับ
งั้นผมยัดเยียดข้อหาให้คุณตอนนี้เลยว่าคุณขโมยขนมผมไปกิน ถ้าคุณพิสูจน์ไม่ได้ว่าตัวเองบริสุทธิ์ หรือทำให้ผมเชื่อได้ว่าคุณบริสุทธิ์ ผมถือว่าคุณผิด
แบบนี้มันจะโอเคเหรอครับ?
ไม่โอเคครับ เพราะผมสามารถแก้ต่างได้ว่าผมไม่ได้ย่างกรายไปใกล้ที่ๆคุณเก็บขนมไว้เลย
อย่างที่บอกงัยครับ เป็นหน้าที่ของทนายต้องแก้ต่างหลักฐานของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ถ้าทนายแก้ต่างไม่ได้ ศาลก็ไม่ฟังเราหรอกครับ
ขอเสริมว่า ทนายความ ของโจทย์ หากตั้งใจจะเล่นเรื่องอีมี่ปลอมได้จริงๆ ควรจะหาผู้เชี่ยวชาญ หรือ paper ทางวิชาการ ที่น่าเชื่อถือได้กว่า wikipedia (มันไม่น่าเชื่อถือเพราะแก้ไขได้โดยใครก็ได้) มาหักล้างข้อกล่าวหาต่างหาก
ผมมองว่า ทนาย ตั้งใจให้อากงติดคุกมากกว่า เนื่องจาก ทนายเขาเองก็เป็นพวก No 112 (ไม่เอา 112 นะครับ ไม่ใช่ให้แก้) หลักฐานอยู่ใน reply ล่างๆ ไม่อยากยกมาหมด
ไม่ใช่ความผิดของศาล และความผิดของกฎหมาย ม.112 สำหรับคดีนี้ และเชื่อว่าเป็นการจงใจให้เป็นประเด็นเพื่อสนับสนุนการแก้ ม.112 / ยกเลิก ม.112 ของคนบางกลุ่มมากกว่า
ทนายพลาดตรงที่ไม่ได้อ้างอิง reference ในwiki ซึ่งหลายชิ้นก็อ้่างอิงถึงเอกสารที่เชื่อถือได้ มีทั้งคำให้สัมภาษณ์ของผู้ให้บริการหลายเจ้าในยุโรปที่ยืนยันว่า IMEI มีซ้ำกันถึง 10%ในระบบ และไม่น่าเชื่ือถือในการ identify แต่จริงๆการพิสูจน์ด้วยการทำจริงเลย ง่ายกว่าอีก ค่าtool ไม่กี่พันสั่งจากนอกแป๊บเดียวแก้โชว์เห็นๆเลย
ส่วนประเด็นทนายอ่อนเอง ทั้งๆที่หลักฐานอ่อนก็ต้องมองว่า บ้านเรา่เป็นระบบกล่าวหา ถ้าหลักฐานอ่อนก็คือต้องหลุด ไม่ใช่ระบบไต่สวนแบบการฟอกเงินที่ต้องหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์นะครับ
ส่วนใครจะจงใจ ก็คงต้องมองกลับว่าใครกันที่เป็นคนริเริ่มคดี ใครกันที่ให้สัมภาษณ์ว่าผู้ต้องหาเป็นแดงฮาร์ดคอ เป็นหนึ่งในบัญชีดำของกอ.รมน.(อากงอยู่ในบัญชีดำจริงหรือ ทำไมไม่มีในสำนวน?) ฝ่ายริเริ่มนั่นแหละที่เป็นคนจุดประเด็นเสียเองครับ
อ้อทนายคดีนี้เป็นทนายอาสานะครับ อากงไม่มีเงินไปจ้างทนายเอง จะบอกว่ามาฮั้วกันก็คงจะบังเอิญได้สุดๆเลยทีเดียว
ถ้าเรามองในมุมของคนที่รู้เทคโนโลยี หลักฐานก็อาจจะดูอ่อนนะครับ แต่ก็เป็นหน้าที่ของทนายที่จะชี้ให้เห็นว่าหลักฐานมันอ่อน จะอนุมานว่าศาลเห็นว่าอ่อนเลยไม่ได้ครับ
ส่วนประเด็นการตัดสินของศาล คงก้าวล่วงไม่ได้ แต่ว่ามันมีคดีในประเทศทางยุโรปที่คล้ายกัน คือคดีหมิ่นฯกับราชวงศ์(ถ้าจำไม่ผิดเป็นเบลเยี่ยม) ซึ่งสุดท้ายศาลตัดสินให้เปรียบเทียบปรับ โดยใช้การเปรียบเทียบกฎหมายปัจจุบันที่มีมูลฐานความผิดใกล้เคียงกันแทน(คดีหมิ่นประมาทบุคคล) เพราะถ้าอ้างกฎหมายเก่า(ที่ยังไม่แก้ไข)อาจจะต้องประหารเลยด้วยซ้ำ
นั่นคือกระบวนการยุติธรรมเขา อ้างอิงกับหลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน และรธน.ที่เป็นปัจจุบันมากกว่าตัวกฎหมาย ที่อาจจะล้าหลังไปครับ
+1
+1
ใน จม ทำมัยถึงพูดถึงความผิดเดียวของอากงหล่ะครับ ทั้งๆที่อากงโดนเรื่องหมิ่นศาล(โกหกในการให้การต่อศาล)และนำพาให้แพ้คดีนี้ในที่สุด แต่กลับไม่มีการพูดถึงใน จม
คุณอำพลหมิ่นหมินศาล??? คดีไหนครับ??? เขาถูกจำคุกเพราะหมิ่นศาลอย่างนั้นหรือ
lewcpe.com, @wasonliw
อ่านอีกทีผมพราดเองครับ อ่านป่นกับบทวิเคราะห์ของอีกคนหนึงที่พูดถึงกฎหมายอาญามาตรา 198 สำหรับคนที่พยามใช้คดีอากงและคำตัดสินศาลในทางที่ผิด
แต่เรื่องอากงให้การเท็จก็ยังเป็นเรื่องจริงอยู่ดีนะครับ
ผมสรุปให้เข้าใจอีกทีนะครับ
ถ้าคุณอำพลให้การเท็จ ก็ว่าไปตามกระบวนการครับ คดีนี้คุณอำพลให้การวกวน เป็นเรื่องหนึ่ง เอกสารทางฝั่งโจทย์เองก็มีข้อผิดพลาด ทนายจำเลยก็ชี้ให้เห็น
ผมเข้าใจว่าหลายคดี มีจุดผิดพลาดของพยาน, หลักฐาน, และการให้การผิดพลาดอยู่ ศาลก็พิจารณารับฟังหรือไม่รับฟังไป
มันไม่ใช่เหตุให้คนๆ หนึ่งต้องเข้าคุกนี่ครับ
lewcpe.com, @wasonliw
กรณีนี้ ผมเห็นว่า บางคนยังใช้คติว่า คนที่ถูกกล่าวหา ผิดก่อนเสมอ จนว่าจะหาข้อแก้ต่างให้ตัวเองได้
iPAtS
ในหลายชาติอื่นๆ มีกฎหมายที่บอกว่า "ผู้ต้องสงสัยนั้นบริสุทธิ์จนกว่าจะถูกตัดสิน" ครับ
แต่ว่าเมืองไทย ผมไม่มั่นใจตัวกฎหมาย แต่ธรรมเนียมปฏิบัติที่ผมเห็นคือ "ผู้ต้องสงสัยนั้นต้องแก้ต่างและล้างมลทินให้ตัวเอง" ครับ
ไทยใช้หลักเดียวกันครับ ดู รัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๙
" บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระทำความผิดมิได้
ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด
ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ "
จับแพะ
เห็นด้วยอีกคนครับ
เห็นด้วยครับ
Good Move ... Good Opinion ...
เห็นด้วยกับจดหมายเปิดผนึกครับ
เห็นด้วยกับเจตนาอันดีครับ
+1 ครับ
ส่วนอื่นๆไม่อยากพูด เห็น troll แล้วเหนื่อยจะอธิบายอะไรซ้ำๆ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ดีครับจะได้ไม่เป็นอารมณ์ ผมเห็นแล้วเหนื่อยใจเหมือนกัน
พอไม่ได้ดังใจ, เถียงไม่ขึ้นก็ไปดึงสถาบันมาเกี่ยวโยงกับความจงรักภักดีต่อสถาบันอีก
ผมเห็นว่าคนที่สนับสนุนแถลงการณ์ฉบับนี้ส่วนมากก็พยายามเลี่ยงถึงกล่าวถึงสถาบัน มีแต่พวกที่บอกว่าตัวเองจงรักภักดีนี่แหละครับ ที่ชอบเอาสถาบันมาเกี่ยวโยง
บางทีผมก็ไม่แน่ใจว่าเค้าจงรักภักดี หรือเพียงแค่พอใจที่ได้ใช้เสี้ยวของอำนาจ ในการทำลายฝั่งตรงข้าม
+1 ยกมือเห็นด้วย. หนึ่งเสียงครับ อยากเห็นความยุติธรรม ที่มันเรียกว่าความยุติธรรมจริงๆ. ว่ามันเป็นยังไง.
ขอบคุณคุณลิ่วมากครับ
เห็นด้วยครับ
ขอให้ตรวจสอบหาข้อเท็จจริง อย่างจริงจังครับ เพราะนี้ถือเป็น กรณีตัวอย่างชั้นดี เลยครับ
อยากให้จำเลยนำประเด็นนี้ไปยื่นอุทธรณ์ต่อศาลครับ คิดว่าให้ศาลท่านตัดสิน โดยหาผู้เชี่ยวชาญทำการยืนยัน หากยืนยันได้ว่าหลักฐาน IMEI นั้นใช้ไม่ได้ น่าจะต้องมีการไต่สวนกันใหม่ครับ
คดีนี้ เท่าที่ผมเข้าใจ โจทก์ เป็นรัฐบาล ผมเลยคิดว่า ถ้าจำเลยสามารถยืนยันว่า IMEI ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้นั้น น้่าจะมีน้ำหนักมากกว่าทำจดหมายเปิดผนึกถึงโจทก์ครับ
แต่ในแง่การเรียกร้องให้มีการทบทวนพรบนั้น ผมเห็นด้วยเต็มที่ครับ
twitter.com/djnoly
ปัญหาหลายๆ อย่างมันก็เริ่มบานปลายมาจากไอ้ความมั่วๆ ไม่ชัดเจนนี่แหละ ซึ่งถ้าขืนยังปล่อยให้เป็นไปในลักษณะนี่ประเทศไทยคงหาจุดเริ่มต้นที่จะเดินต่อไปข้างหน้าลำบากเต็มทน
+1
สิล่ม เต็มกระทู้เลยแฮะ ...เฮ้อ
แม้จะเห็นด้วยทั้งหมด แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมกฏหมายบ้านเมืองเรามันบิดเบี้ยวผิดเพื้ยนไปหมด
ไม่ว่าจะเป็นคดีอะไร หลักฐานยังไง มันเป็นไปได้ทุกทาง แม้จะค้านสายตา
ขนาดคนไม่เกี่ยวข้องยังรู้สึกได้ ถึงความไม่ชอบมาพากล
เว็บนอกหลายแห่ง ถึงกับเอาไปลงข่าว คงไม่ธรรมดา
เข้าใจเจตนา Blognone ดีครับ แต่บอกได้คำเดียวงานนี้
"เทคนิคไม่ต้อง"
เห็นด้วยครับ IMEI และ Log ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานหลักในการชี้ตัวผู้กระทำได้ครับ
ธัญ รัษฎานุกูล
วศ.บ.วิศวกรรมสื่อสาร
ข้อเท็จจริง กรณีอากง SMS
จากการที่มีการพูดถึงกันมาก เกี่ยวกับอากงSMS
ผมขอแชร์ความรู้คราวๆ เกี่ยวกับระบบมือถือเท่าที่ผมรู้เพื่อเป็นข้อมูลอีกด้าน นอกจาก ดราม่า
"อากงผู้น่าสงสารที่นั่งอยู่ดี ๆ ที่บ้าน ก็โดน ตร. บุกมารวบเข้าซังเต 20 ปี ด้วยข้อหาหมิ่น และ ศาลก็มีหลักฐานที่อ่อนอย่าง IMEI ที่สามารถปลอมแปลงได้"
ปกติแล้ว โทรศัพท์ที่พร้อมใช้งาน จะมีข้อมูลสำคัญ 2 อย่างคือ
1) IMEI ซึ่งเป็น รหัสที่ระบุ ตัวตนของโทรศัพท์ซึ่งตามหลัก โทรศัพท์แต่ละเครื่องควรจะมี IMEI ไม่ซ้ำกันถึงแม้จะเป็น ยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกันก็ตาม
2) IMSI ซึ่งเป็น รหัสที่ระบุใน SIM
หลังจากที่ เปิดโทรศัพท์แล้ว โทรศัพท์ จะรอคลื่นจาก Cell Site ที่มีรหัส SID(รหัสค่ายมือถือ) ตรงกับที่ระบุใน SIM
หากพบคลื่นจาก Cell Site โทรศัพท์มือถือจะทำการ "ลงทะเบียน" กับ Cell Site นั้น
โดยส่ง IMEI/IMSI ไปให้ Cell Site
Cell Site ก็จะจดจำ IMEI/IMSI เข้าในเครือข่าย เพื่อว่า ใครโทรมาหาเรา เครือข่ายจะได้รู้ว่า เราสังกัดอยู่ Cell Site ไหน
แล้วทำให้โทรศัพท์เราดัง ได้ถูก ซึ่ง Cell Site นี้ มีระยะทำการตั้งแต่หลัก ไม่กี่ร้อยเมตร จนถึงหลายกิโลเมตร
ทำให้ข้อมูล Cell Site สามารถบ่งชี้ สถานที่ของผู้ใช้โทรศัพท์แบบคราว ๆ ได้ (ถ้าใครใช้ GoogleMap บน Smart Phone คงจะเคยเห็น วงฟ้าๆของระยะ Cell Site เวลา GPS ยังรับคลื่นไม่ได้)
ดังนั้น log จาก โอเปอเรเตอร์ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญในชั้นศาล จะมีข้อมูลสำคัญถึง 4 ด้าน คือ
1) IMEI (รหัสที่ระบุ โทรศัพท์)
2) IMSI (รหัสที่ระบุ SIM)
3) Cell Site ที่เชื่อมต่อ ซึ่งจะบ่งชี้ถึงสถานที่
4) ช่วงเวลา ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย
ซึ่งข้อมูล log จาก โอเปอเรเตอร์ บ่งชี้ว่า ช่วงเวลา เชื่อมต่อกับ True หยุดไป ไปเชื่อมต่อกับ DTAC แล้วส่งข้อความหมิ่นฯ ก่อนจะกลับมา เชื่อมต่อกับ True อีกครั้ง ใน cell site สถานที่เดียวกันคือ บ้านลุง
นั่นคือ โทรศัพท์อากง มีการเปลี่ยน SIM เพื่อหมิ่นฯ ก่อนจะเปลี่ยน SIM กลับ นั่นเอง!!!!
ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงว่า "มีโปรแกรมเฉพาะที่สามารถเข้าไปแก้ไขเลข IMEI ได้อย่างอิสระ" แต่ log จะไม่มีทางที่จะหน้าตาแบบนี้ อย่างน้อย cell site และ เวลาควรจะแตกต่างกันมากกว่านี้ ไม่ใช่สถานที่เดียวกัน แล้วช่วงเวลาสลับการเชื่อมต่อ SIM กันแบบนี้
สรุปง่ายๆคือ
1) โทรศัพท์มือถือสามารถปลอมแปลง IMEI หรือไม่?
คำตอบคือ "ใช่"
.
แต่
.
2) อากงถูกปลอมแปลง IMEI ไปหมิ่น หรือไม่?
คำตอบกลับเด่นชัดว่า "ไม่"
เพราะ ข้อเท็จจริงของ log จาก โอเปอเรเตอร์ นั้นครอบคลุมชัดเจนกว่า เพียงด้าน IMEI
แสดงให้เห็นว่า "จำเลยกระทำความผิดจริง อย่างมีการวางแผนล่วงหน้าเพื่อกลบเกลื่อนความผิดด้วยการซื้อ SIM DTAC แบบใช้แล้วทิ้ง มาก่อการ"
หน่ำซ้ำ จำเลยยังไม่สำนึกผิด ยังพยายามกลบเกลื่อนต่อในชั้นศาล เพื่อให้ตนพ้นข้อกล่าวหาว่า โดย
1) ตอนแรกพยายามจะบอกว่า เดือนพฤษภาคมนั้นตนเอามือถือไปซ่อม (จะโบ้ยว่าร้านมือถือเป็นคนส่ง) แต่หลักฐาน log มีสถานที่กำกับ จำเลยจึงเปลี่ยนคำให้การ อ้างว่าจำผิด อาจส่งซ่อมเดือนเมษายน
2) จากนั้นจึงอ้างว่า IMEI นั้นสามารถปลอมแปลงได้ ดังนั้น อากงอาจถูกปลอมแปลงตอนไปซ่อมมือถือ แต่คำให้การก็มีพิรุธ อ้างว่าจำร้านซ่อมมือถือไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ ถ้าส่งซ่อมจริงต้องจำได้เพื่อไปเอามือถือคืน นอกจากนี้ log ก็ ชี้ชัดอยู่แล้วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
3)อากงจึงดิ้นรนเฮือกสุดท้ายว่า อากงลืมมือถือไว้ที่บ้านบ่อย ๆ โดยให้คนใกล้ชิดมาเป็นพยาน (จะโบ้ยว่ามีใครบุกเข้ามาในบ้านเปลี่ยน SIM แล้วส่ง??) ซึ่งไม่ make sense เลยคือ ถ้าบุกถึงในบ้านจะมาเปลี่ยน SIM ทำอาแป๊ะอะไร??
ศาลจึง จัดเต็ม ไป 4x5 = 20 ปี คุก 20 ปีของอากง จึงไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย!!
4) ข้อน่าสังเกตอันนึงคือ หลังจากจนต่อหลักฐานโจทก์ อากงยังเลือกที่จะสู้ต่อ ด้วยดราม่าน่าสงสาร ว่าตนจงรักภักดี, แก่แล้วหลงๆลืมๆ, ส่ง SMS ไม่เป็น ฯลฯ และ ยังเอาหลานมาเป็นพยาน เพื่อให้บันทึกในศาลอีกด้วย ซึ่งตรงนี้ถ้าใครรู้เรื่องนิติศาสตร์ จะรู้ว่าการต่อสู้แบบนี้จะไม่มีผลต่อคดีในศาลเลย เหมาะกับจัดตั้งมวลชนนอกศาลมากกว่า เพราะคนปกติ มักจะคิดว่า คนใกล้ชิดให้การ ศาลควรให้น้ำหนัก เพราะน่าเชื่อถือ แต่จริงๆแล้ว ตามหลักนิติศาสตร์ คนใกล้ชิดฝ่ายใดฝ่ายนึง จะมีน้ำหนักน้อยมาก ในศาล เพราะมีแนวโน้มสูงว่าจะให้การช่วยเหลือ โจทก์/จำเลย (ดูความหมาย ผู้หญิงปิดตา ถือตาชั่งและดาบ) ยิ่งอากงให้การขัดกับหลักฐานมาก่อนหลายครั้งยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าจะเหลือน้ำหนักเท่าไหร่
พูดง่าย ๆ คือ การสู้แบบนี้ มันไม่ได้คิดชนะในศาลแต่แรกแล้ว
แต่จะใช้การดึงอารมณ์ร่วมจากประชาชนปกติที่ไม่รู้ตรงนี้ เพื่อจัดตั้งมวลชนนอกศาลมากกว่า!!!
อากงซวยโคตร...ทนายที่ว่าความให้เป็นแดงเต็มตัวชื่อ อานนท์ นำภา มีฉายาว่า "ทนายดราม่า"
ไม่รู้ว่าอากงรู้ว่าโดนหลอกหรือเปล่า แต่ทนายคนนี้กะสังเวยอากงเพื่อเอาไปปลุกกระแสเหยื่อ ม.112 แน่
เพราะถ้าอากงรับสารภาพ
1. จะมีโทษ 4 วาระ ๆ ละ 3 ปี = 12 ปี
2. สารภาพรับโทษกึ่งนึงเหลือ 6 ปี
3. ไม่มีประวัติต้องโทษมาก่อนเหลือ 3 ปี
4. มีผู้เยาว์ในความดูแลและมีปัญหาสุขภาพ...ศาลอาจสั่งให้รอลงอาญา กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน....
(เครดิต: เพื่อนคนหนึ่ง) // มิน F
ฟังความทั้งสองข้างนี้มันดีอย่างนี้นี่เอง...
สงสัย อากง จะมีส่วนรู้เห็นจริงๆ ไม่มากก็น้อย
ศาลคง พิจารณา ตามหลักกฏหมาย จริงๆ
แต่โดยส่วนตัว แล้ว ถ้าผมเป็น คนในราชวงค์ ผมคงจะไม่เอาใครมาขังคุก จำกัดอิสระภาพ 1+20ปี เพียงเพราะ เค้าคนนั้นมายืนชี้หน้าด่าผมแน่นอน
โทษอย่างโหดร้าย หรือ ที่เหมาะสมที่สุด ในกรณีที่ไม่พอใจในการปกครองแผ่นดินของท่าน ก็น่าจะเป็น ให้ เนรเทศ ไปอยู่ชายแดน หรือ ต่างประเทศ มากกว่า...
ผมเชื่อเสมอ นะครับ ว่าชีวิตของคนทุกคนมีความสำคัญเท่าๆกัน ไม่ว่าจะ รวย-จน ฉลาด-ไม่ฉลาด ต่างเชื้อชาติ ต่างความเชื่อ ขออย่าได้เบียดเบียนกันเป็นพอครับ
(และก็ขอบคุณ blognone สำหรับเวทีความรู้ครับ)
+1 ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ก็สนับสนุนการฟังความทั้งสองข้างครับ
เป็นการอธิบายที่ดีมากครับ ทำให้ผมรู้สึกเห็นชอบด้วยกับการตัดสินของศาลในครั้งนี้มากขึ้นเหมือนกัน เพราะถ้าหากมองจาก log นี้แล้วจะเข้าใจได้ว่าการที่บุคคลอื่นจะปลอมแปลงเป็นโทรศัพท์ของอากงด้วยการเปลี่ยน IMEI เพียงอย่างเดียวนั้นสามารถทำได้ยากมาก
ต้องรู้ว่าเป้าหมายของ IMEI ที่ตนเองกำลังจะปลอมแปลงว่าพำนักอาศัยอยู่ที่ไหน
ขณะที่จะส่ง SMS ต้องเอาตัวเองไปอยู่ ณ ตำแหน่งที่โทรศัพท์เครื่องนั้นกำลังใช้งานอยู่ด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายชนิดแค่ว่าไปรอหน้าบ้านเป้าหมาย (เจ้าของโทรศัพท์ที่ถูกนำ IMEI ไปใช้ก่อการ) ก็พอ เขาต้องมั่นใจจริง ๆ ว่าโทรศัพท์ของเป้าหมายอยู่ ณ ตำแหน่งนั้น เพราะหากเป้าหมายบังเอิญลืมโทรศัพท์ไว้ที่อื่นพอดี การปลอมแปลงจะถูกตรวจจับพิรุธได้ทันที
สิ่งที่ยากที่สุดคือจะต้องดำเนินการส่ง SMS ในจังหวะที่เป้ามายตัดการเชื่อมต่อของโทรศัพท์ตัวเองพอดี จากนั้นตัวเองถึงเริ่มเชื่อมต่อกับโครงข่ายด้วยอีกหมายเลขโทรศัพท์หนึ่งที่ปลอมแปลง IMEI ให้เหมือนกับของเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว และหลังจากที่ตัวเองดำเนินการเสร็จตัดการเชื่อมต่อจากโครงข่ายต้องบังคับให้โทรศัพท์เป้าหมายเริ่มทำการเชื่อมต่อกลับไปยังโครงข่ายอีกครั้งทันที
ถ้าไม่ทำให้ครบ 3 ข้อนี้ log ที่ operator ควรจะมีลักษณะเป็นอย่างอื่น เช่น มีการใช้งานซ้ำซ้อนคาบเกี่ยวในช่วงเวลาเดียวกันจากมือถือที่มี IMEI เหมือนกัน เป็นต้น เมื่อพิจารณาจากความยากของขั้นตอนทั้งหมดแล้ว ผมว่าถ้าจะสวมรอยปลอมแปลง IMEI การขโมยโทรศัพท์อากงมาใช้ก่อการตรง ๆ เลยคงง่ายกว่า ดังนั้นความเป็นไปได้ที่เหลือ ณ ตอนนี้ (อ้างอิงจากข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับและเข้าใจ) คือ
อากงเป็นคนส่ง SMS เอง
มีคนอื่นที่พักอาศัยอยู่ในย่านเดียวกันกับอากงขโมยโทรศัพท์ไปก่อการ
ญาติอากงที่อาศัยอยู่ด้วยกันนั่นแหละที่เป็นคนเอาโทรศัพท์อากงไปใช้
แต่จากคำให้การของอากงที่บอกว่าโทรศัพท์เครื่องนี้ไม่เคยทำหาย ดังนั้นจึงต้องตัดความเป็นไปได้ที่ 2 ทิ้งไปเหลือเพียงแค่ไม่ 1 ก็ 3 ซึ่งถ้านับเหตุการณ์การกลับคำให้การไปเปลี่ยนคำแก้ต่างให้ตัวเองก่อนหน้านี้ จึงน่าจะเป็นความเป็นไปได้ที่ 1 มากกว่า
ทว่าในความคิดส่วนตัวของผมสำหรับคดีความทางเทคโนโลยีความผิดอาญาแบบนี้ แม้จะเหลือทางเลือกเพียงแค่ 2 ทางก็สมควรพิสูจน์ให้ชัดเจนหรือไม่ก็จับให้ได้ขณะกระทำความผิดก่อนที่จะตัดสินโทษน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เช่น เวลาที่ส่ง SMS นั้นมีพยานยืนยันว่าอากงพักอาศัยอยู่คนเดียว หรือหาทางยืนยันให้ได้ว่าโทรศัพท์ของอากงนั้นไม่เคยถูกคนอื่นนำไปใช้เลยแม้จะเป็นญาติก็ตาม เป็นต้น แต่ในทางกลับกันอากงก็ไม่สามารถหาพยานหลักฐานใด ๆ มายืนยันได้เลยว่าขณะที่มีการส่ง SMS นั้นโทรศัพท์ไม่ได้อยู่กับตัวเอง ก็เป็นประเด็นที่น่าคิดเหมือนกันครับว่าจะเลือกหลักเกณฑ์แบบไหนมาบังคับใช้ ซึ่งในความคิดเห็นส่วนตัวและจากความรู้ความเข้าใจในกฎหมายเท่าที่มีแล้วผมให้น้ำหนักของ 2 หลักเกณฑ์นี้พอ ๆ กัน จะบังคับใช้ในแนวทางไหนก็ได้
อันที่จริงผมก็สงสัยในคำแนะนำของทนายจำเลยอยู่เหมือนกัน หลายครั้งดูเหมือนอากงจะไม่ได้ให้การในชั้นศาลที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองเท่าไรนัก ถึงกับคิดในใจว่าทนายคนนี้ดูไม่ค่อยฉลาดอย่างไรชอบกล พอได้ข้อมูลเพิ่มเติมแบบนี้ก็ทำให้ผมอดคิดถึงความเป็นไปได้อื่น ๆ แบบคุณไม่ได้เหมือนกันครับ
That is the way things are.
อ่านมาตั้งนาน แต่มาสะดุดเอาตรงย่อหน้าสุดท้ายครับ
ส่วนนี้ไม่ได้เรียกข้อเท็จจริง แต่เป็นความเห็นส่วนตัวครับ
cell site ไม่ได้ชีไปที่บ้านลุงครับ แต่กินพื้นที่หลักหลายร้อยเมตรถึงหลายสิบกิโลเมตร รอบ cellsite
ดังนั้นหาก IMEI ถูกปลอมแปลงได้จริง ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอากงเป็นคนส่งข้อความครับ
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าอากงถอดซิมเปลี่ยนซิมครับ แค่รู้ว่ามีการสลับใช้งานเท่านั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนสลับการใช้งาน
และเราไม่รู้ว่าอากงทำจริงหรือไม่ แต่ thread นี้มีจุดประสงค์บอกว่าหลักฐานมันอ่อนเกินกว่าจะตัดสินให้เป็นผู้ผิดครับ
"Cell Site ก็จะจดจำ IMEI/IMSI เข้าในเครือข่าย"
ก็เห็นอยู่แล้วว่าการใช้ IMEI(ที่สามารถปลอมแปลงได้) อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ การอ้างอิงอุปกรณ์เข้ากับระบบใช้ทั้ง IMEI และ IMSI ถ้าจะให้รัดกุมมากกว่านี้ก็ต้องหา SIM ที่มี IMSI มาใช้เป็นหลักฐานด้วย
จากความเห็นของคุณย่อหน้าสุดท้ายแสดงให้เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมสามารถชี้นำและใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ได้ แถลงการฉบับนี้เน้นไปที่การใช้พยานหลักฐานที่ต้องรัดกุมมากกว่านี้ซึ่ง ซึ่งจะช่วยไม่ให้กระบวนการยุติธรรมถูกชี้นำและใช้เป็นเครื่องมือได้
+10 ประเด็นที่รออยู่
เห็นด้วยครับ กับ จม. ครับ
แต่ผมว่า คดีนี้ อากง "ซวย" เป็นแพะ โดยมีผู้ไม่หวังดีหวังผลทางการเมืองเป็นตัวการ
เพราะอยู่ดี ๆ อากง คงไม่น่าจะส่ง sms แบบนั้นไปหรอกครับ ผมว่า อากง อาจจะรู้
หรือไม่รู้ตัวการก็ได้ แต่ไม่ยอมบอกศาล ด้วยเหตุผล อะไรสักอย่าง
นับวันบทความยิ่งเข้าการเมืองขึ้นทุกวัน เหรียญมี 2 ด้านอย่างมองแค่ด้านเดียว ไม่ว่าคนเขียนจดหมายหรือว่าคนอ่าน ควรอ่านแล้วหาข้อมูลก่อนไม่ใช่ว่าเชื่อกันไปหมด ถามว่าน้ำท่วมท่านเคยเขียนอะไรไหม กันคนที่ตายไปเกือบพันคน หรือท่านคิดไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ควรเรียกร้อง หรือเราควรเรียกร้องเฉพาะกับกระบวนการศาล แต่กระบวนการบริหารไม่ต้อง คนเราเห็นต่างไม่ผิดหรอกครับ แค่ว่าเราได้มองรอบด้านหรือยัง
ปล. ขอพื้นที่ที่ไม่มีการเมืองหน่อยเถอะครับ ผมขอ
แนะนำให้เปิดเว็บเองครับ ถูกใจที่สุด
การบอกว่าไม่อยากให้มีเรื่องการเมือง ก็เป็นการเมืองตั้งแต่ต้นแล้วครับ
pittaya.com
ผมไม่ได้จะต่อว่านะครับ อยากให้อ่านความเห็นผมครับ
ตอนแรกๆ ผมก็เป็นแบบคุณครับ คือมักจะพิมพ์ว่าเบื่อเรื่องการเมืองในนี้บ่อยๆ เพราะผมเองเบื่อดราม่าการเมืองมาก
แต่หลังๆ ผมพบว่าตัวเองมักเข้าไปเม้นในข่าวที่มีกลิ่นการเมืองบ่อยๆ และผมเองก็ไม่ชอบในหลายๆ อย่างที่เป็นการเมืองในแบบทุกวันนี้
ผมรู้ตัวแล้วครับว่าผมเองก็ชอบเรื่องการเมือง แต่ผมไม่ชอบความสกปรกของมัน และไม่ชอบความเห็นแนวสาวกทุกรูปแบบ
คราวนี้เรื่องการเมืองที่เราคิดว่าสกปรกเนี่ย ทำยังไงจะดี จะถูกใจเรา? เราก็ต้องเข้ามามีส่วนในตรงนั้นไงครับ...
บล็อกนันทำให้ผมคิดได้ว่า "ทุกอย่าง ... ถ้าไม่ถูกใจต้องเข้าไปทำเอง หรือมีส่วนร่วมครับ"
+1
สิ่งที่สะอาดต้องตรวจสอบได้ครับ บางคนพยายามจะเอาเสื้อสีอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วก็เขียนที่เสื้อเอาไว้ว่า เสื้อตัวนี้สีขาว
เห็นบางท่านพยายามโยงการเมือง เพราะเห็นแค่โทษที่อากงได้รับก็ตัดสินไปก่อนแล้ว
ถ้ายังปกป้องแบบผิดๆอย่างนี้ ก็ยิ่งกลัวว่าคงใกล้แล้วหล่ะครับ
"เข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา"
หึหึ ทนาย
คือต้องระวังว่าตอนนี้เราใช้อารมณ์ในการตันสินกันอยู่ไหม
ถ้าสิ่งที่ปลอมแปลงได้ไม่สามารถเป็นหลักฐาน อนาคตเราจะไม่เหลือหลักฐานอะไรให้ใช้
ทะเบียนรถปลอมง่ายกว่าIMEIซะอีก แต่เราก็ใช้ก็เป็นหลักฐานมาตลอด
VDO รูป เสียง ก็ปลอมกันบ่อยๆ ลายนิ้วมือเอาจริงๆก็เลียนแบบได้
พวกหลักฐานทางเทคโนโลยี่ยิ่งปลอมได้หมด IP, mac address, แม้log fileก้เขียนใหม่ได้
แล้วเราจะเหลืออะไร?
สุดท้ายหลักฐานมันต้องประกอบหลายๆอย่าง เพื่อให้น้ำหนักข้างไหนน่าเชือถือมากกว่า
ผมไม่อยากให้เหตุการณ์เดียวต้องทิ้งหลักฐานเกียวกับIMEIไปเลย
เราควรใช้มันประกอบด้วยแม้จะรู้ว่ามันปลอมได้ก็ตาม
หรือว่าเราจะเอาผิดได้เฉพาะความผิดเฉพาะหน้าเท่านั้น? ก็ต้องเชื่อตำรวจที่จับอย่างเดียวหรือ
สำหรับคดีนี้ ถ้าจะให้สร้างสรรกว่านี้หน่อย สังคมควรเรียกร้องหลักฐานทางเทคนิคเพิ่มเติมจากoperator เช่น
1. IMEIนี่มีการonlineที่ cell siteไหนบ้าง โดยเฉพาะในเวลาส่งsms ถ้าเจอIMEIเดียวกันสองแห่ง หรือเจอว่าอยู่ในสถาที่ที่จำเลยไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ก็แสดงว่าปลอมแน่นอน
(operator มีระบบตรวจแบบนี้แน่ๆ เพราะสมัยก่อนที่ยังlock IMEI มีการตรวจจับคนปลอมIMEIได้ )
2. หาlogเก่าๆของจำเลยว่าเคยส่งSMSไหม เป็นหลักฐานประกอบ
... etc อันนี้ต้องช่วยๆกันคิด
ข้อเรียกร้องบางข้อผมเห็นด้วย บางข้อเฉยๆ แต่บางข้อขอให้รับรู้ว่ากำลังแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้นขอให้ใช้กระแสอย่าง'ระมัดระวัง'
+100
ในกรณีนี้พูดถึงความคลุมเคลือของหลักฐานครับ ต่อให้เอาหลักฐานหลายๆอย่างมารวมร่างกันมันก็ยังคลุมเคลืออยู่
โดยมีเลข IMEI เป็นจุดอ่อนครับ จึงมีข้อเรียกร้องให้ต้องมีการหาหลักฐานที่หนักแน่นกว่านี้ในการดำเนินคดีครับมิเช่นนั้นก็ต้องปล่อยผู้ต้องสงสัยไป
ผมไม่คิดว่า IMEIเป็นหลักฐานที่คลุมเครือนะครับ
แต่เป็นหลักฐานที่ปลอมได้นะใช่
เหมือนหลักฐานอื่นทั่วๆไป โดยเฉพาะหลักฐานทางเทคโนโลยี่ทั่วๆไป ไม่ว่า IP/mac address/logfile
สมมติว่ามีหลักฐานเป็นรูปถ่ายแม้จะมีข้ออ้างว่ารูปถ่ายปลอมแปลงได้
แต่ถ้ามีหลักฐานเป็นรูปจากกล้องหลายๆแหล่ง จากคนถ่ายหลายคนหรือvdoหลายๆจุด
สุดท้ายการรวมหลักฐานที่มากพอและไม่มีข้อหักล้าง หรือข้อสงสัยในหลักฐานว่ามีเหตุจูงในที่จะปลอมแปลง
มันก็รวมเป็นหลักฐานที่หนักแน่นได้ครับ
มันมีความคลุมเครือตรงที่ "ไม่สามารถระบุถึงตัวตนผู้ใช้ได้อย่างเฉพาะเจาะจง" เนื่องจาก "มีการปลอมแปลงได้ครับ"
แต่ไม่ไช่ว่ามันจะไม่สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานได้ เพียงแต่ต้องมีหลักฐานอื่นๆประกอบ
แต่ในคดีนี้ หลักฐานประกอบอื่นๆก็อิงกับเลข IMEI
เมื่อเลข IMEI เป็นสิ่งที่ถูกปลอมแปลงได้ หลักฐานอื่นก็อ่อนไปด้วยครับ
IMEIมันเป็นหลักฐานระบุตัวเครืองได้เจาะจง ถึงแม้จะปลอมแปลงได้
เหมือนกับทะเบียนรถแหละครับที่ระบุว่าเป็นรถ"ของท่าน"
จะหักล้างคดี ก็หาหลักฐานล้างคดีว่า
1.มีการยืมไปหรือขโมยไป เจ้าตัวอยู่ที่อื่น
2.มีการปลอมจริงๆ หรือมีเหตุจูงใจว่าโดนปลอม(ไม่ใช่แค่มันสามารถปลอมได้)
ถ้ามีมีหลักฐานล้างมันไม่ใช่หลักฐานที่อ่อนนะครับ
ไม่อย่างนั้นหลักฐานทางเทคโนโลยี่คงไม่สามารถเอามาใช้ได้สักอย่าง
ส่วนหลักฐานแวดล้อมอื่นๆก็ว่ากันไปครับ ในศาลต้องเอามาชั่งทั้งหมด
เจาะจง? ทราบมั้ยครับว่าแม้ไม่มีการดัดแปลงใดๆ แต่มือถือที่ออกจากโรงงานผลิตก็มีอยู่ 10% ที่มี imei ซ้ำกัน
http://news.bbc.co.uk/2/hi/uk_news/1749215.stm
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ตามลิ้งค์ที่ให้ไว้ เป็นเพียงคำกล่าวอ้างของโฆษก BT Cellnet ใน UK นะครับ ในประเทศไทยผมยังไม่เห็นตัวเลข อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่า 10% ก็ได้ครับ
เท่าที่ผมเคยทำงานด้านนี้มา มือถือที่ออกมาจากโรงงานของพวก brand ดังๆต่างๆจะมี IMEI ที่ unique นะครับ ส่วนพวกที่ IMEI ซ้ำนั้นส่วนมากจะเป็นมือถือราคาถูกจากจีนครับ
คล้ายๆว่า ถ้าคนร้ายใช้ รถ IZUSU ทะเบียน คว 78xx ไปก่อเหตุ แล้วมีคนจับภาพไว้ได้ พอสืบสวนจากทะเบียนรถ ปรากฏว่าเป็นชื่อผม
ผมต้องหาพยานยืนยันว่า เวลานั้นๆผมไม่สามารถไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้ ถูกไหมครับ?(ถ้าใช่ผมว่าก็ไม่แปลกอะไร)
อันนี้ไม่เกี่ยวกับหลักฐานประกอบอันอื่นๆนะครับ ถ้าอันอื่นมันประกอบๆกันแล้วเชื่อได้ว่าผมเป็นจริงๆ มันก็จบอยู่แล้ว
ใช่ครับหลักฐานอื่นต้องประกอบ แต่อย่าไปละทิ้งมัน
แทนที่จะบอกไปว่าIMEIปลอมได้แล้วไม่สนใจมันไปเลย
เราก็เรียกร้องให้ operatorปล่อยหลักฐานที่มากกว่านี้
ถ้าในlogมี IMEIเดียวกันหลายๆเครืองใช้งานในเวลาเดียวกันอยู่
ข้ออ้างว่าโดนปลอมIMEIหรือบังเอิญIMEIตรงกับอีกเครือง ก็ฟังขึ้นครับ
เพราะเท่าที่เราเห็นอยู่ตอนนี้คือมีการตัดสินโดยใช้ข้อมูลเพียงเท่านี้ไงครับ จึงต้องออกมาเรียกร้องให้มีการตัดสินคดีโดยมีหลักฐานที่รัดกุมกว่านี้
เท่าที่อ่านเขา ศาลท่านใช้หลักฐานหลายอย่างประกอบกันนะครับ
คุณอ่านหมดหรือยัง ?
แจกแจงสิ่งที่คุณคิดว่าผมผิดมาสิครับ ไม่ใช่บอกว่าผมยังไม่ได้อ่าน หรือไล่ไปอ่านใหม่
"IMEIมันเป็นหลักฐานระบุตัวเครืองได้เจาะจง" นั้นไม่จริงเสมอไปครับ
และอีกทั้งยัง "ไม่สามารถระบุถึงตัวตนผู้ใช้ได้อย่างเฉพาะเจาะจง" (ตามข้อความของผมด้านบน)
ผมจึงบอกว่าหลักฐานมันอ่อนเกินไปที่จะเอาผิดใคร ต้องหาหลักฐานอื่นมาประกอบด้วยมิเช่นนั้น ก็ต้องถือว่าไม่มีความผิด
ผมไม่เคยพูดถึงว่า ไม่สามารถนำมาใช้ได้นะครับ(เห็นคุณพยายามตีความไปมากเหลือเกิน ว่า ไม่สามารถใช้ได้) แต่พูดถึงว่ามันยังไม่พอที่จะผูกมัดว่าคนๆนึงกระทำผิด
เมื่อหลักฐานที่มีชี้ว่ากระทำผิดไม่ได้ ผมจึงบอกว่าหลักฐานยังอ่อนไปครับ
และสิ่งที่แย่ก็คือ มีการตัดสิน ยกประโยชน์ให้โจทย์ นั่นคือจำเลยต้องติดคุก ทั้งๆที่หลักฐานมันไม่สามารถชีชัดได้ว่าทำผิดจริง
ถ้าไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานของการตัดสินคดีความ
นั่นคือ แค่ "น่าจะผิด" ก็ติดคุกแล้ว
http://en.wikipedia.org/wiki/International_Mobile_Equipment_Identity
แต่จะว่าไปผมลองอ่านนี่ดู มันก็บอกว่าเอาไว้ระบุตัวตนจริงๆ แหะ (ถึงแม้จะปลอมได้ก็ตาม)
ชื่อเต็มของมัน International Mobile Equipment Identity
-_-"
ก็ตรงตัวนี่ครับ
International Mobile Equipment Identity
เอาไว้ระบุตัวตน"ของมือถือ" แต่ไม่ได้เอาไว้ระบุตัวตนผู้ใช้
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
มือถือมันใช้งานเองไม่ได้นะครับ
แต่มันก็ไม่ได้เก็บ DNA ของผู้ใช้ไปด้วยไงครับ
โอเค ... เดี๋ยวผมไปจดสิทธิบัตรมือถือเก็บ DNA ผูกกับเบอร์โทร เครือข่าย IMEI
/me: เพ้อเจ้อ
ถ้าจะเปรียบเทียบกับทะเบียนรถ ในคดีชนคนตาย ทะเบียนอย่างเดียวไม่ใช่หลักฐานชี้เป็นชี้ตายในคดีนะครับ แต่เป็นพยานแวดล้อมอื่นๆ เช่นรอยเลือด หรือพยานบุคคลว่าเห็นขับออกไปไหน เพราะมันมีเคสให้ยืมรถกันด้วย หรือแม้แต่เคสทะเบียนปลอม(สวมทะเบียน)ในรถยี่ห้อเดียวกัน สีเดียวกัน ก็เคยมีกันแล้ว ต้องอาศัยพยานอื่นๆที่ชัดเเจนครับ ถึงจะชี้ได้ว่าเป็นคนชนแน่ๆ
ประเด็นคดีSMS ใช้แค่การอ้างอิง IMEI กับ call detail recordซึ่งผมว่ายังใช้การอนุมานมากเกินไป โดยเฉพาะที่บอกว่าเครื่องนึงปิด เปลี่ยนมาใช้อีกเครื่อง ได้มี log ละเอียดขนาดนั้นจริงๆหรือ?(คือ log ในระบบการเปิดปิดน่ัะัมี แต่เท่าที่อ่านการเบิกความ เขาไม่ได้ขอlog นี้ ขอแค่การโทรออกและส่ง sms) ฟังๆดูการเบิกพยาน เหมือนจะพูดแค่ว่าไม่มีการใช้สาย(โทรออก ส่งsms)พร้อมๆกันเท่านั้น
และถึงมันจะสอดคล้องกันจริง แต่ก็ยังมีช่องโหว่อีกมาก ในการยืนยัน เพราะอากงก็บอกว่า เครื่องนี้ไม่ได้พกติดตัวตลอด วางที่บ้านเวลาออกไปข้างนอก(พยานบุคคลยืนยัน)จึงเป็นไปได้ที่อาจจะมีคนลักลอบมาใช้ ถึงจะจินตนาการได้ยากว่าจะมีคนทำไปเพื่ออะไร แต่มันก็มีทางเป็นไปได้
แล้วเราจะใช้แค่พยานแวดล้อมในการปิดความเป็นไปได้อื่นๆ แล้วลงโทษในคดีที่มีโทษหนักจนต้องห้ามประกันตัวแบบนี้ได้อย่างไร?
ถ้าการปลอมทะเบียนรถ จะมีหลักฐาน คือ สีของรถ กับ ยี่ห้อ รถประกอบครับ ตำหนิ ของตัวรถ
ซึ่งกรณี อากง มันไม่อะไรซักอย่างที่จะชัวร์ ว่า มันคือ เครื่อง อากง ครับ
จะเสนอให้มีการอบรมเทคโนโลยี่ให้ ศาล/อัยการ/ทนายด้วยก็ดีนะ
เพื่อนเคยเจอคดีทางเทคโนโลยี่ แต่จำเลยรอด ศาลก็ดีที่จบคดีมาถามข้อมูลว่าจะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยี่เรื่องนั้นๆได้ยังไงบ้าง
+1 เห็นด้วยครับ
เห็นอย่างงี้แล้วน่ากลัวจัง ไม่รู้ว่านั่งอยู่ดีๆ จะโดนจับหรือปล่าว ถ้าเราโดนคนแฮกเมล์ ปลอมอีมี่ เครื่องติดมัลแวล์ นี้ผิดเต็มๆ เลยนะเนี่ย คนที่ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีนี้ก็ไม่รู้จริงๆ เลย ต่อไปเราต้องอยู่กับความหวาดระแวงรึปล่าวเนี่ย
ส่วนตัว ถ้าเปลี่ยนจาก อากง เป็นคนอายุ สัก 30 ดราม่าน่าจะน้อยกว่านี้มากๆ
ผมคิดว่าคุณเข้าใจประเด็นผิดไปหน่อยนะ ที่คุยกันอยู่คือประเด็นว่าหลักฐานมันอ่อนนะ ไม่ใช่ว่าคนทำดูน่าสงสาร ไม่น่าจะเป็นไปได้
โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่รู้หรอกว่าอากงทำรึเปล่า คงมีแต่เจ้าตัวล่ะมั้งที่รู้ แต่ปัญหามันอยู่ข้างหลังอากงต่างหาก ถ้าคดีต่อๆไปใช้คดีนี้เป็นบรรทัดฐานล่ะครับ ในเมื่อหลักฐานมันอ่อนขนาดนี้
ผมเข้าใจว่าถ้าไม่ใช่ อากง ก็ไม่มีใครสงสารหรือมีก็ไม่เยอะขนาดนี้ จนต้องมาถกประเด็นเรื่อง หลักฐานอ่อน กันทั่วโลกออนไลน์ ครับ
ผมว่าการที่เป็นอากงก็มีส่วนที่ทำให้คนฉุกคิดได้เยอะครับ
ผมยอมรับว่ามีส่วนจริงๆ (สำหรับผม)
อันนี้ผมเห็นด้วย
พอเป็น "อากง" มันทำให้ความรู้สึก "เป็นไปไม่ได้" มันพุ่งขึ้น
เอาแค่เรื่องกดส่ง SMS ถ้าเป็นแค่คนธรรมดา วัยทำงาน มันก็จะรู้สึกว่า ไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหน
เห็นด้วยอีกเสียงครับ เรื่องประเด็นความเป็นอากง ทำให้เรื่องมันดูดราม่าเพิ่มขึ้นอีก 45.83%(สถิติผมเองแหละ lol)
เหมือนๆกับอีกหลายเคส เช่น คดีสาวไฮโซและบีบีและรถตู้ ที่หลายอย่างทำให้มันดูดราม่ามาก มากจนน่ากลัว(เช่น วาทกรรมไฮโซสวยใสไร้สมอง/ ผู้เสียชีวิตหลายคนที่เป็นระดับปัญญาชน/ วาทกรรมเรื่องพ่อกูใหญ่ทำอะไรไม่ผิด)
ผมว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยเห็นใจอากงในคดีนี้ เพราะความที่แกเป็นคนแก่นี่แหละ สำหรับคนธรรมดาที่ฟังข่าวผ่านๆ(กลุ่มที่ไม่ใข่คนที่จะมานั่งเจาะลึกอีมี่ เรื่องหลักฐานอ่อน อะไรแบบพวกเรานี่)
คนแก่+ส่งsms = คนแก่ที่ไหนจะส่งเอ็มเอสได้ แถมเป็นภาษาไทยด้วย บนฟัเจอร์โฟนมันพิมพ์ยากจะตาย! = สงสารอ่ะ!
แค่นั้นจริงๆสำหรับบางคน ย้ำ...บางคน
คนบางส่วนยังไม่เข้าใจว่า คนที่เห็นด้วย(ส่วนนึง) เค้าไม่ได้ต้องการเปลี่ยนแปลงผลการติดสิน (และอากงก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเรา ความจริงจะเป็นเช่นไร เราก็ไม่รู้)แต่อยากปรับปรุงกระบวนการ โดยไม่ได้สนใจว่า ผลการตัดสินใหม่จะออกมาเหมือนเดิมหรือไม่ แต่ขอให้เคลียร์ประเด็นทางเทคนิคให้เคลียร์ที่สุดก่อน ผลออกมาเหมือนเดิมก็ไม่เป็นไร มันจะเป็นบรรทัดฐานที่ผิดๆ ต่อไปได้
หมายเหตุ: ทนายจำเลยมีปัญหาจริงๆ ครับ แต่ข้อหาแบบนี้ ทนายเก่งๆ ที่ไหนจะเปลืองตัวครับ (ยกเว้นจะรวยทุ่มไม่อั้นจริงๆ) หวังว่าจดหมายนี้จะช่วยให้ทนาย และองค์กรที่เกียวข้องอื่นๆ มาช่วยทำให้กระบวนการการตัดสินช้ดเจน ครบถ้วน และถึงที่สุดครับ ผลออกมายังไง ก็ไม่ว่ากัน ถ้าทำให้ศาลได้เห็นข้อมูลครบถ้วนทุกด้าน
+1
+1
+1
http://www.youtube.com/watch?v=JZvTFwE5spY
ผมดูจาก วีดีโอนี้แล้ว ทางทนายเค้าบอกว่า ทาง Dtac ระบุว่าไม่สามารถ ระบุได้ว่า เป็นอากง ที่ทำผิด
แต่กลายเป็นว่า สถานการมันเหมือนเป็นแบบอากงต้องเป็นคนหาหลักฐานมาแสดงตัวเอง ผมฟังแล้ว ขัดความรู้ สึกมากเลย ยิ่งกรณี แบบนี้มันต่างจาก เจ้าของ รถ,ปืน ที่ ถ้าโดนเอาไปใช้มันยังสามารถตรวจสอบอ่ะไรได้ง่ายกว่านี้
เห็นด้วยครับ และจะยิ่งดีมาก ถ้าให้คนใหม่ๆ มีความรู้ด้านกฎหมายแบบถูกต้อง และแน่นอนมาเปลี่ยนแปลง แก้ไขกฎหมาย กระบวนการตัดสินและขั้นตอนทางกฎหมายให้หมดความกำกวม หรือ โละระบบทิ้งซะ (ล้างทุกอย่างที่มีปัญหาทิ้งเลย แล้วสร้างใหม่ให้ดีกว่าเดิมครับ) และควรเปลี่ยนบุคลากรให้หมดเลยดีกว่าให้คนเก่าๆ ดูแล และทำต่อครับ
เบื่อแล้วกับกฎหมายไทยที่ค่อนข้างกำกวม กระบวนการทางกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจน และการใช้หลักฐานอ่อนที่เชื่อถือไม่ได้เนี่ยครับ
Get ready to work from now on.
+1
บางคนยังหลงประเด็น ให้การเมืองแทรกแทรงความคิด
Methuz'es Blog
+1 เฉพาะเริ่องหลักฐานอ่อน
ส่วนเรื่องที่ยัดใส้มาด้วย ยังไม่ขอออกความเห็นในเวลานี้
เวลานี้ เรื่องอากงสำคัญกว่า ปล่อยคนผิดร้อยคน ดีกว่าจับผู้ที่ยังซิงๆหนี่งคน
+1
แต่ผมสงสัยว่าทำไมมุ่งไปที่ 112 ทำไมไม่มุ่งไปคนเขียนสำนวน มุ่งไปที่ตำราจ ถ้าสงสัยว่าถูกกลั่นแกล้งหรือผิดตัว?
ในจดหมายผมไม่ได้เอ่ยถึง 112 เลยนะครับ
lewcpe.com, @wasonliw
ขอโทษครับ หมายถึง ความเห็นคนอื่นๆ น่ะครับ
+1
ยอมให้ผมโพสได้แล้วเหรอครับ mod หรือเพราะผมใส่ข้อความนี้ไว้ในลายเซ็นจึงโพสได้
"You are not authorized to post comments." นี้คือสิ่งที่ผมได้จากผู้ดูแลเว็บ blognone.com ผมแสดงความคิดความเห็นยืนข้าง ม.112 เลยทำให้ถูก ban comment?
นี้เหรอประชาธิปไตย / เสรีภาพในการแสดงความคิดความเห็น(แต่ไม่ขัดกับกฎหมาย) / ความทัดเทียมที่หลายๆท่าน
สมาชิกปรกติมี limit การแสดงความเห็นวันละ 8 คอมเมนต์ครับ เป็นกฏของที่นี่ไม่เกี่ยวกับประเภทความเห็น
lewcpe.com, @wasonliw
ถ้าอย่างงั้นก็ OK ครับ
ขอบคุณสำหรับการชี้แจงครับ
ต้องขอโทษทีมงานด้วยครับ สำหรับความเข้าใจผิดเรื่อง You are not authorized to post comments
Blognone ใช้กฎนี้มาได้ซักพักแล้วครับ
ตัวอย่างของคนที่ เรียกร้องสิทธิ์โดยไม่ได้ทำความเข้าใจกฎให้แน่ชัด ทั้งที่ทุกคนก็อยู่ภายใต้กฎเดียวกันอย่างทัดเทียม
แต่ก็ยังคงตีขลุมมองจากมุมมองฝ่ายตนเพียงอย่างเดียว เรื่องแค่นี้ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย......
-1 ครับ
คนเขาไม่รู้ก็ออกมาถาม moderator แบบตรง ๆ และก็ได้ขอโทษในสิ่งที่เข้าใจผิดไปแล้ว คุณต่างหากที่ไม่เกี่ยวข้องแต่กลับออกมาเสียดสีใช้วาจายกตนข่มท่านดูถูกผู้อื่น
That is the way things are.
คำถามหรอครับ? แหน็บตั้งแต่ต้นจนจบประโยค ผมว่าผมอ่านไม่ผิดนะ
อย่าเผลอไปทำผิดกฎที่ไหนเข้าเพราะความ "ไม่รู้" บ้างนะครับ
อยากรู้จริง ๆ ว่าเวลาคุณสมัครเว็บไหนคุณอ่านกฎทุกข้อเลยหรอครับ
คห.ข้างบนผมมองว่าเป็นแค่ความไม่รู้ ทำให้เข้าใจผิด และเค้าก็ได้ขอโทษไปแล้ว
เสื้อเหลือง-เสื้อแดง เอาเจ้า-ล้มเจ้า Android-iOS PC-Mac
IMEI ซ้ำกันได้จริงครับ แต่ทำไมมันถึงมาซ้ำกับอากงคนเดียวหนอ ถ้าบอก imei ซ้ำกันเป็นหมื่นๆพันๆเครื่องให้ dtac กับ true ตรวจสอบทำไม imei นี้มีเบอร์ที่เกียวข้องแค่ 2 เบอร์ คือเบอร์อากง กับเบอร์ที่ส่งข้อความหมิ่่นแล้วไอ้ที่บอกว่ามีโทรศัพท์โมโตหลายพันเครื่องทีมี imei ซ้ำกับอันนี้หายไปไหนหมด
แล้วอีกพันๆเครื่องหายไปไหน !!
มันไม่มีนั่นเองล่ะครับ ถึงมันจะซ้ำได้ แต่ดันไม่มีซ้ำกันเลยนอกจากเครื่องอากง
ไอ้คนปลอดอีมี่มันก็จริงๆเลยนะ ดันไปปลอมซ้ำกับอากง พอดีเลย โคตรบังเอิญเลย ปลอม 14 หลัก ตรงกับอากงพอดี โอกาสยิ่งกว่าถูก lotto เมกาซะอีก
แถมเวลาใช้ดันรู้อีกว่าบ้านอากงอยู่แถวไหน ไปใช้เสาต้นเดียวกันเลย 55 เวลาใกล้ๆกัน
ใครเชื่อว่าอากงไม่เกี่ยวก็บ้าล่ะครับงานนี้
คุณรู้ได้ยังไงครับว่ามันไม่มี
มันอาจจะมี แต่ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของโอเปอเรเตอร์ที่ต้องเอามาป่าวประกาศว่ามันมี
มันอาจจะมี แต่มันถูกส่งไปขายประเทศอื่น
มันอาจจะมี แต่มันอยู่คนละโอเปอเรเตอร์
ที่คุณไม่รู้ อาจจะเพราะว่าเค้าอาจจะเอามาเฉพาะ case ที่เกี่ยวข้องกับอากงก็ได้
onedd.net
คุณลำดับเหตุการณ์ผิดแล้วครับ
ที่เขาพูดกันอยู่ตอนนี้ (ซึ่งอาจจะถูกหรือผิด) คือ อาจจะสุ่มเลือกหรือเจาะจงไปที่อากง > สืบเลข imei > ใช้เลข imei นี้ดำเนินการ
ถ้าคิดแบบนี้แล้วโอกาสที่อากงจะถูกใส่ร้ายก็ยังสูงครับ ดังนั้นหลักฐานยังอ่อนเกินไปครับ
เห็นด้วยนะ แต่ จริงๆแล้วถ้าศาลอ่านแล้วมาโพสก็คงบอกเหือนกันว่าเห็นด้วยเช่นกัน
การที่ศาลมีหลักฐานต่างๆนาๆแล้วไม่ใช่ว่าจะตัดสินเลย ยังต้องมีการให้ปากคำต่างๆเพื่อที่จะตัดสินจากคำให้การถ้าเป็นหนังเราอาจเราคงจะใด้รู้เรื่องราวทั้งหมด แต่มันไม่ใช่ เราจึงเห็นเพียงแค่บางส่วนในคดี ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นเราก็อาจจะรู้ว่าใครโกหกใคร ทั้งหลักฐานแวดร้อมต่างๆนาการให้การที่บิดเบือน เพื่อมาประกอบกับคำตัดสิน และศาลเองก็น่าจะดูออกใครมีพิรุด หรือใครแถ ถ้าจะให้จดหมายนี้เป็น ธรรมกับ ศาล คิดว่าคงต้องอยู่ในการไต่สวนทุกครั้ง ถึงจะรู้ใด้ว่าที่สารตัดสินไปเห็ฯชอบหรือไม่เห็นชอบ ไม่ควรนำเพืยงแค่คำ สรุปจากคดี มาตัดสินทั้งหมด
ศาลบ้านเราใช้ระบบ "กล่าวหา"
ทั้งๆ ที่ "ผู้มีองค์ความรู้" ด้านนี้มีเยอะแยะ
Blognone ก็เป็นที่ๆ มีคนเหล่านั้นอยู่
แต่ "ทนายจำเลย" กลับไม่กระทำอะไรเลย
ดันไปเอาข้อมูลจาก "wikipedia" มาอ้างซะงั้น
เอ๊ะ แล้วทนายจำเลยเป็นใครมาจากไหน
อ้อ................"ทนายราษฎรประสงค์"
พอมีคดีเรื่องนี้เกิดขึ้น ทำไมถึงมีเรื่อง "มาตรา 112" เกิดขึ้นเป็นประเด็น
แปลกดีมั้ยทุกท่าน
"ผมไม่เป็นกลาง ผมไม่กินขี้ผสมข้าว และผมไม่ทำดีบ้างทำชั่วบ้าง"
งานนี้ทนายจำเลยเป็นทนายอาสาครับ
+1 เรื่องหลักฐานครับ
-1 เรื่องเม้นที่ไม่ได้เกี่ยวกับหลักฐานเลย
หลายคนคงไม่เข้าใจมั้งว่าจดหมายเปิดผนึกนี้คือการบอกจากผู้รู้ทางด้านไอทีมาบอกเรื่องความหนักแน่นของหลักฐาน ถ้าเปรียบน้ำท่วมก็พวกนักวิชาการอุทกศาสตร์อะไรแบบนั้น คงพาลนึกกันว่าแถวนี้เป็นนักการเมืองกัน ไอ้ผมก็ geek คนหนึ่ง - -*
ไม่ใช่อะไรน่ะครับ ผมว่าเม้นอื่นๆ มันปนกันจนคนที่ควรอ่านจดหมายเปิดผนึกนี้ จะพาลปิดลงแล้วคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่สำคัญเพราะมีคนทะเลาะกันแล้ว แต่ทะเลาะประเด็นเกี่ยวกับจดหมายไหม? ก็ไม่รู้และไม่สนหรอก อะไรแบบนั้น
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
+1 ครับ
+1 ครับ
My Twitter
+1 เห็นด้วยกับเรื่องหลักฐานน้อยเกินไปครับ
และก็ +10 กับคุณ illusion : "ปล่อยคนผิด 10 คน ดีกว่าลงโทษผู้บริสุทธิ์เพียงคนเดียว" ครับ
+112 ครับ
ลงชื่อเห็นด้วยครับ
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ใครยังไม่ได้อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มลองอ่านดูครับ
http://ilaw.or.th/node/1229
Pages