Mark Zuckerberg ให้สัมภาษณ์กับรายการพ็อดแคสต์ Morning Brew Daily (ตอนเดียวกับข่าว ลูกสาวคิดว่าพ่อทำอาชีพเลี้ยงวัว เพราะไม่เข้าใจว่า Meta คืออะไร) อธิบายเหตุผลที่เขาในฐานะผู้นำอันดับ 1 ขององค์กรต้องออกมาทำคลิปรีวิวผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง จนเป็นที่โจษจัน

Mark อธิบายแบบเดียวกับในคลิปต้นฉบับบน Instagram ว่าตอนแรกเขาคาดการณ์ว่า Vision Pro จะเจ๋งกว่า Meta Quest เพราะราคาแพงกว่า 7 เท่า แต่ Meta Quest จะเหนือกว่าในแง่ "ราคาต่อคุณค่า" แต่เมื่อได้ลองแว่น Vision Pro ด้วยตัวเองแล้ว เขาก็ได้ข้อสรุปว่า Meta Quest เหนือกว่าแทบทุกด้าน โดยไม่ต้องนำราคามาเทียบเลย ซึ่งการที่ Vision Pro มีแบรนด์ Apple ติดมาด้วย คนทั่วไปย่อมคิดว่าต้องดีกว่าเสมอ เขาต้องการตอบโต้แนวคิดแบบนี้จึงอยากมาทำคลิป

อย่างไรก็ตาม Mark บอกว่าการที่ Vision Pro เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ตัวเขาเองเป็นคนที่ชอบการแข่งขัน การที่มีคู่แข่งที่ทำสินค้าออกมาได้ดี ย่อมทำให้เขาและทีมงานมีแรงบันดาลใจในการแข่งขันให้ชนะมากขึ้น แถมการที่แอปเปิลมาช่วยจุดกระแสแว่นสวมหัวมาอีกครั้งก็ทำให้คนทั่วไปสนใจตลาดนี้ เมื่อมาลองหาข้อมูลแล้วพบว่า Meta Quest ดีกว่าในราคาเพียง 500 ดอลลาร์ ก็ช่วยให้ยอดขาย Quest เพิ่มขึ้นเช่นกัน

เมื่อถูกถามเปรียบเทียบว่าคลิปรีวิว Vision Pro ของเขาจะเหมือนกับที่ในอดีต Steve Ballmer ซีอีโอของไมโครซอฟท์เคยหัวเราะเยาะ iPhone ในปี 2007 หรือไม่ คำตอบของ Mark คือเขาไม่ได้หัวเราะเยาะแอปเปิล และเขามองแอปเปิลเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เขาเพียงแค่เล่าความจริงตามที่เป็น และเขาเชื่อว่าแอปเปิลจะปรับปรุงแว่นได้เร็วแน่ๆ แต่เขาก็มั่นใจว่า Meta จะทำได้เร็วกว่า โมเดลธุรกิจของ Meta เป็นโมเดลเปิดแบบเดียวกับพีซีในอดีต ต่างไปจากโมเดลปิดของแอปเปิล ซึ่งเขามั่นใจว่าโมเดลของเขาจะชนะในระยะยาว

เขายังพูดถึงทิศทางในระยะยาวว่าจะมุ่งสู่ Mixed Reality มากขึ้น เป็นการผสมผสานระหว่างวัตถุเสมือนกับวัตถุจริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากความแตกต่างสำคัญของ Meta Quest 2 กับ Meta Quest 3 อยู่ที่ฟีเจอร์ color passthrough ช่วยให้โลกความเป็นจริงซ้อนทับเข้ามาในแว่นได้ เป้าหมายระยะยาวของเขาคือการสร้างโลกที่มีโฮโลแกรมซ้อนทับอยู่บนโลกจริงๆ

เขาบอกว่าอุปกรณ์แว่นลักษณะนี้คืออนาคตของพีซีหรือทีวีจอใหญ่ ไม่ได้ทับกับตลาดสมาร์ทโฟน ซึ่งจะยังเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่สำคัญที่สุดของคนส่วนใหญ่ต่อไป ในอีกทางหนึ่งยังมีแว่น Ray-Ban Smart Glasses ที่ขนาดเล็ก ฟีเจอร์ยังไม่ต้องเยอะเท่ากับแว่นเต็มรูปแบบ พลังประมวลผลไม่ต้องเยอะเท่า แต่ครอบคลุมฟีเจอร์พื้นฐาน เช่น ถ่ายภาพได้ มีไมโครโฟน-ลำโพง ฟังเสียง พูดคุยสนทนากับ AI ได้ แว่นลักษณะนี้จะเพียงพอสำหรับคนทั่วๆ ไปแล้ว