จากข่าว Facebook ร่วมโปรโมทการบริจาคอวัยวะผ่าน Timeline เวลาผ่านมาได้เพียงสองวันหลังข่าวประกาศออกไป ทางศูนย์รับบริจาคอวัยวะเขตแคลิฟอร์เนีย (Donate Life California) ประกาศว่ามียอดผู้ลงทะเบียนบริจาคอวัยวะผ่านเว็บไซต์ donateLIFEcalifornia.org เพิ่มขึ้นถึง 1,400%
Charlene Zettel ซีอีโอของศูนย์รับบริจาคอวัยวะแห่งนี้ให้สัมภาษณ์กับ LA Times ว่าผลจากการจับมือกับ Facebook น่าตื่นเต้นมาก และการส่งเสริมการบริจาคอวัยวะผ่านแคมเปญของ Facebook จะช่วยให้ผู้ที่รอการบริจาคอวัยวะในเขตแคลิฟอร์เนียจำนวน 20,762 ราย มีระยะเวลารอคิวน้อยลง (ค่าเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 6-8 ปี ขึ้นกับชนิดของอวัยวะว่าขาดแคลนแค่ไหน) ตามปกติแล้ว 1 ใน 3 ของผู้ป่วยจะเสียชีวิตก่อนที่ได้รับบริจาคอวัยวะ
Zettel ยังบอกว่าการบริจาคอวัยวะยังไม่ได้รับการยอมรับนักในกลุ่มคนเชื้อสายเอเชีย เชื้อสายแอฟริกัน และเชื้อสายอินเดียนแดง (Native American) ซึ่งในทางทฤษฎีแล้ว ควรมีอวัยวะจากผู้บริจาคหลากหลายเชื้อชาติให้มากที่สุด
ที่มา - Donate Life California, LA Times
Comments
ต้องขอบคุณพี่มาร์กจริง ๆ
โลก Social ก็มีด้านดีๅ ได้เหมือนกัน เยี่ยม
ต้องใช้ในด้านที่ถูกต้อง เหมือนกันเกม เมื่อไรจะมีเกม Online Social ที่ทำให้เกิดการเรียนรู้แล้วสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้มากกว่าที่เป็นอยู่ ???
สุดยอดเลยครับ
เป็นเรื่องง่ายๆที่เอาสิ่งแวดล้อมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ชื่นชมด้วยเหมือนกัน
น่าจะมีอะไรอีกหลายอย่างรอบตัวทำให้เกิดประโยชน์ได้อีก แต่มันนึกไม่ออกนี่สิ 555
อ่านข่าวย่อหน้าสุดท้ายแล้วรู้สึกเหยียดผิวนิด ๆ (หวังว่าผมคงคิดมากไปเอง...)
Happiness only real when shared.
การพูดความจริงมันเหยียดตรงไหนอะครับ
เชื้อสายเอเชียส่วนใหญ่ ก็คิดถึงว่าทุกอย่าง พ่อแม่ ให้มา และีัมันเป็นของเรา บางคนเชื่อเรื่องชาติก่อน ชาติหน้า ดังนั้นเมื่อบริจาคไปชาติหน้าอาจไม่สมประกอบ
ต่างจากคนอเมริกันส่วนใหญ่มีพื้นฐานทางคริสต์ และคำสอนเขาบอกว่า มนุษย์มาจากดิน และพระเจ้าระบายลมปราณลงไป จึงมีชีวิต ดังนั้นร่างกายก็เป็นแค่ผงคลีดิน
การบริจาคสิ่งที่เราเก็บไว้ไม่ได้ มันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นมากกว่า
ส่วนตัว การเอาศาสนามาอ้างนู่นอ้างนี่มันไม่ใช่หรอกครับ เป็นความคิดส่วนบุคคลและการปลูกฝังล้วนๆ
ศาสนาพุทธไม่เคยมีบอกครับว่าถ้าบริจาคอวัยวะแล้วชาติหน้าแขนจะหายไปข้าง ไม่สมประกอบบ้าง เพราะคำสอนเขียนขึ้นตอน 2500 ปีก่อน สมัยนั้นไม่น่าจะมีการบริจาคอวัยวะเพื่อการแพทย์ ก็เลยไม่มีการเขียนรองรับไว้ เรื่องชาติหน้านั้นผมคิดว่ามันเป็นความเชื่อที่ไม่เกี่ยวกับหลักคำสอนในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนา เป็นแค่เรื่องเล่า,ความเชื่อในศาสนาเท่านั้นครับ (ผิดช่วยแย้งด้วยครับ)
ผมว่าการบริจาคร่างกายเป็นการทำบุญอย่างนึง เราบริจาคให้เมื่อเราเสียชีวิตแล้ว ร่างกายเราไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
อย่างที่คุณ Jessy บอกครับ
"การบริจาคสิ่งที่เราเก็บไว้ไม่ได้ มันจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นมากกว่า" นั้นผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้องครับ ไม่ว่าจะเป็นในศาสนาไหนก็ตาม
Technology is so fast!
+1