เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมาทางซัมซุงเพิ่งเปิดตัว Galaxy S III อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ผมเองก็ได้เครื่องมาทดลองเล่นอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์นะครับ พอดีผมยุ่งๆ และทางซัมซุงต้องนำเครื่องกลับไปใช้ในงานเปิดตัวแล้ว เลยคงไม่ทันเขียนรีวิว (แนะนำถ้าอยากอ่านเต็มๆ ไปอ่านที่เว็บพันธมิตรของ Blognone อย่าง MXPhone กันได้)
เรื่องภายนอกคงหาจับกันได้ไม่ยากแล้วในช่วงที่เปิดการขายไปแล้ว แต่ถ้าใครยังไม่จับ ความรู้สึกแรกที่ผมรู้สึก คือ เครื่องมันเบากว่าที่คิด แม้ว่าจริงน้ำหนักจริงๆ จะไม่ได้เบามาก แต่ตัวเครื่องที่มีขนาดใหญ่ ทำให้รู้สึกเบาไปได้เอง
ตัวผมเองไม่มีความเห็นด้านวัสดุเครื่องอะไรนัก จากนิสัยการใช้งานที่ไม่เคยใส่กรอบมือถือและไม่สนใจรอยขีดข่วนนัก เข้าใจว่าวัสดุของเครื่องนั้นเน้นเรื่องของน้ำหนักและความบาง ภายใต้เงื่อนไขว่าแบตเตอรี่ต้องใหญ่ขึ้นเป็น 2100mAh และหน้าจอต้องเป็น 4.8 นิ้วเพื่อเป็นจุดขาย แต่คนรอบๆ ตัวผมที่ได้จับเครื่องก็บ่นกันเรื่อยๆ ว่าไม่ชอบตัวกรอบและฝาหลังที่เป็นพลาสติกบางๆ แบบนี้ ส่วนตัวผมเองคิดแค่ว่าเปิดฝาหลังง่ายๆ แบบนี้ดีแล้ว
ในบรรดา "นวัตกรรมทางซอฟต์แวร์" ทั้งหมดที่ซัมซุงโฆษณามานั้น ผมประทับใจกับ Smart Stay เป็นหลักจากนิสัยอ่านหนังสือบนโทรศัพท์ของผมเองและเจอปัญหาหน้าจอดับระหว่างอ่านข้อความยาวๆ เสมอๆ ก่อนหน้านี้ทางแก้ปัญหาคือการเปลี่ยนระยะเวลาปิดจออัตโนมัติให้นานขึ้นซึ่งจะเปลืองแบตเตอรี่ในระยะยาว Smart Stay นั้นจะเปิดกล้องหน้ามาหาใบหน้าเราเมื่อหมดเวลาปิดจออัตโนมัติ หากพบใบหน้าเรามองเครื่องอยู่ก็จะหรี่จอก่อน ครบช่วงเวลาอีกทีแล้วยังไม่เจอใบหน้าเราอีกจึงปิดจอลงไป เทคโนโลยีแบบนี้ดูเรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้จริงสำหรับตัวผมเอง ฟีเจอร์นี้ถูกเข้าใจผิดบ่อยมาก ว่าเป็นการควบคุมเครื่องด้วยสายตา อันนี้อาจจะเป็นการบ้านให้ซัมซุงต้องประชาสัมพันธ์ดีๆ
ความพยายามที่จะออกแบบให้ S III ทำงานเข้ากับธีม "Design for humans" ให้มาก ทำให้รอบนี้ซัมซุงเน้นฟีเจอร์ในส่วน gesture และการสั่งงานด้วยเสียงมาก เช่น การบันทึกภาพหน้าจอนั้นอาศัยการ "ลูบ" หน้าจอจากซ้ายไปขวา ซึ่งเป็นส่วนที่ผมไม่ชอบนัก เพราะเอาเข้าจริงแล้วหลายครั้งมันเป็นการ swipe หน้าจอไป
ฟีเจอร์ที่เห็นบ่อยในโฆษณาและคิดว่าน่าผิดหวังคือ S Voice ที่สั่งได้ยากและดูเหมือนแอปเปิลมากเกินไปทั้งที่ความสำเร็จของ S II น่าจะสร้างความมั่นใจได้ว่าซัมซุงเองก็มีแนวทางของตัวเองได้แล้ว จากการทดสอบแบบไม่เป็นวิทยาศาสตร์นัก ผมเชื่อว่าระบบวิเคราะห์เสียงภายในเป็นของซัมซุงเอง เพราะการพิมพ์ด้วยเสียงที่เป็นฟีเจอร์มาตรฐานนั้นมีความแม่นยำกว่าค่อนข้างมาก แม้แต่สำเนียงแย่ๆ ของผมเองก็ยังจับได้ค่อนข้างมาก
Social Tag ดูจะเป็นจุดขายที่ดี การย้ายความสามารถในการแท็กรูปมาอยู่ในตัวโทรศัพท์เองทำให้การจัดการรูปรายคนเป็นเรื่องเป็นไปได้ ฟีเจอร์นี้น่าจะได้คำชมจากผมมากหากมันจะสามารถใช้แท็กที่เราจัดไว้แล้วในโทรศัพท์ไปใช้ตอนอัพภาพขึ้นเฟชบุ๊กโดยไม่ต้องแท็กอีกรอบ การแท็กรูปคนเดียวกันสองสามรอบคงไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนัก
อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจแต่ไม่ได้ลองนั่นคือ S Beam ที่ซัมซุงเอา Android Beam มาปรับปรุงให้ส่งข้อมูลผ่าน Wi-Fi แทนผ่านช่องทาง NFC ที่ความเร็วต่ำกว่า แนวคิดนี้น่าสนใจและน่าจะเป็นตัวอย่างการใช้งาน NFC จริงๆ ปัญหาคือเครื่องที่มี NFC ในตลาดก็น้อยอยู่แล้ว ยังมีคำถามว่าเทคโนโลยีนี้จะปิดอยู่เฉพาะซัมซุงเท่านั้นหรือไม่อีก ผมมองว่าถ้าซัมซุงใจกว้างส่งโค้ดส่วนนี้กลับโครงการแอนดรอยด์ แล้วทำให้เครื่องทุกรุ่นที่มี NFC ทำงานร่วมกันได้ทั้งหมด จะเพิ่มอรรถประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้มาก และซัมซุงเองก็ได้ภาพในแง่ของความเป็นผู้นำในการสร้างเทคโนโลยีไป
ฟีเจอร์อื่นๆ ที่เป็นซอฟต์แวร์นั้นดูจะขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนมาก เช่น Smart Alert ที่สั่นเมื่อเครื่องขยับ ผมเองคงอยากได้ไฟกระพริบมากกว่า, หรือ Direct Call ที่สั่งโทรได้ด้วยการเอาเครื่องแนบหูขณะอยู่ที่หน้าจอ SMS ตัวผมเองชอบกดโทรแล้วมองหน้าจอว่าโทรถูกคน และการยกหูขึ้นมาถือค้างไว้รอเซ็นเซอร์ทำงานและจึงรอสายต่อติดคงไม่ใช่ท่าที่เหมาะกับผมเท่าใหร่
ใน Galaxy S III จุดขายสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือกล้องที่พัฒนาขึ้นค่อนข้างมากทั้งด้านความเร็วและคุณภาพ เมื่อรวมกับหน้าจอ Super AMOLED ที่ให้สีสดแล้วมันจะเป็นจุดขายสำคัญของ S III ทีเดียว
ฟีเจอร์หนึ่งที่ซัมซุงพูดถึงบ่อยคือ Best shot เป็นการถ่ายรัวเป็นชุดโดยอาศัยความเร็วของกล้องแล้วซอฟต์แวร์ภายในจะเลือกภาพที่ดีที่สุดมาให้ ผมยังไม่แน่ใจว่าเงื่อนไขการเลือกภาพที่ดีของซอฟต์แวร์คืออะไร แต่ฟีเจอร์นี้ก็มีประโยชน์จริงเพราะอย่างน้อยที่สุดการเลือกรูปเองก็ทำได้ง่ายมาก ถ้าเป็นภาพถ่ายคนโดยเฉพาะภาพหมู่เราอาจจะเปิดโหมดนี้ค้างไว้แล้วเอามาเลือกรูปกันเองหลังถ่ายก็ยังสะดวก
ความเร็วของการถ่ายแลกมากับการ "ไม่รอ" โฟกัสก่อนจะถ่ายภาพทำให้ตัวกล้องแตะแล้วจะถ่ายทันทีทุกครั้ง ผมเองชอบแนวทางนี้มากกว่าการกดถ่ายภาพแล้วพบว่ากล้องโฟกัสไปมาอีกสองวินาทีอย่างไรก็ดีคนที่ไม่ชินแรกๆ อาจจะทำภาพเสียได้มากเพราะไม่ทันรู้ว่าต้องรอให้กล้องยืนยันโฟกัสก่อนจึงควรกดถ่าย
ความคิดแปลกๆ ของผมอย่างหนึ่งตอนเอาโทรศัพท์ตัวนี้ให้สาวๆ ยืมถ่ายรูปตัวเองคือ ตัวหน้าซัมซุงน่าจะออกโทรศัพท์ที่โมดูลกล้องหน้าเท่ากันหรือดีกว่ากล้องหลังออกมาบ้าง คงขายดีไปอีกแบบ
ผมเองมองว่า S III เป็นครั้งแรกที่ซัมซุงกล้า "ลองอะไรแปลกๆ" มากกว่าครั้งก่อนๆ อาจจะเพราะความมั่นใจจากความสำเร็จของ S II เอง แม้ฟีเจอร์หลายตัวจะไม่ได้น่าตื่นเต้นกับผมนัก และฟีเจอร์บางตัวที่ผมชอบมากๆ จนอยากให้โทรศัพท์แอนดรอยด์ทุกตัวมี แต่แนวทางการลองฟีเจอร์ใหม่ๆ ของซัมซุงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม
คำถามที่ถูกถามเสมอ คือ "ตัวนี้น่าซื้อไหม" ในโลกความเป็นจริงคงไม่มีใครตอบได้ง่ายๆ แต่ถ้าไม่มีปัญหากับวัสดุตัวเครื่อง และลองถ่ายภาพแล้วชอบภาพที่ได้ ผมก็คงยืนยันได้ว่า S III เป็นตัวที่คุ้มค่าในกลุ่มราคาเดียวกับมัน
Comments
ลองใช้ของเพื่อนแล้ว ชอบตรงที่ รู้สึกว่ามันเบากว่า Iphone 4s มากครับ
ระบบกล้องพยายามเลียนแบบ dslr คือมีทุกอย่างให้ปรับ แต่คุณภาพของไฟล์ที่ได้ไม่ค่อยดีสม 8Mpx noise เยอะมากๆ
การปรับค่าต่างๆในกล้อง ไม่ค่อยได้ผลลัพท์ที่แตกต่างกัน การปรับ รูรับแสง เหมือนเป็นการ filter image
(ซึ่งก็ไม่รู้จะใส่ฟีเจอร์มาทำไมเยอะๆ แทนที่จะ touch and go) หลังจากพยายามปรับออปชั่นต่างๆ ... ภาพยังคง noisy เหมือนเดิม
หน้าจอใหญ่ ..ใหญ่มาก เรื่องใส่กระเป๋ากางเกงแล้ววิ่ง ต้องเลิกคิดเลย - -*
-เคสที่แถมมาให้ หากใส่แล้วจะต่อ wifi ไม่ติด ไม่รู้ผมเป็นคนเดียวรึปล่าว
ผมคิดว่า sIII เหมาะกับผู้หญิงพกใส่กระเป๋าถือ เพราะขนาดที่ใหญ่มากๆ จนแทบจะเป็น semi-tablet เลย
อ่าวว ตกลงมันจับใบหน้าไม่ใช่ที่ดวงตาเหรอครับ เห็นในโฆษณามีผู้ชายถืออยู่ในมือพอหลับตาจอก็ดับ (ไม่ได้หันหน้าไปทางอื่นนะ) ผมก็เข้าใจว่ามันเช็คเปลือกตาได้
ใช้หลักการ face detect ครับ
ผมลองหลับตาแล้วจอไม่ดับ
โอ้ว เอา face unlock มาประยุกต์ใช้หรือนี่ สร้างสรรค์ๆ
ตกใจอ่านเป็น fuck unlock
อ้าว เหมือนโดนหลอกแบบอ้อมๆเลยแฮะ ตอนแรกผมก็คิดว่าตรวจสอบที่ดวงตาเราเหมือนกัน
สรุปว่าได้จับตาจับใบหน้า ถ้าเกิดหลับ คาหน้าจอ จอสว่างตลอดอาดิครับเนีย โหฟังชั่นต้องเอาหัวออกจากหน้าจอ ถึงจอดับ ฟังชั่นแป๊กอีกแล้ว
สงสัย apple คงเอา อันนี้ไปทำออกมาได้ดีแน่ กระพริบตา สองที จอดับ ไป เลยกระพิบ สามทีเหมือนคลิก mous
อย่างนั้นต้องถ่างตาดูจอตลอดสิครับกระพริบตาปุบจอดับ
ต้องใช้มือครับ ใช้ตาไม่ได้ ถ้าใช้มือจะจอดับได้ :P
If you know what he means
Achievement Unlocked: Being a Blognone's Writer
เคยมีเพื่อนสาวคนนึงบอกว่าชอบใช้มือถือถ่ายรูปตัวเอง ถึงจะกล้องซัมซุงรุ่นที่มีจอหน้าอีกเครื่องก็ตาม เหตุผลน่าสนใจคือมันชัดไป ...
สาวเอยเข้าใจยากไปไหน T__T
เข้าใจง่ายออก กล้องหน้าไม่ควรชัดไป เพราะเวลาถ่ายตัวเอง เราต้องการหน้าเนียนๆ ใสๆ สีหลอกๆ
ไร้สิว 55555+
เอาแค่อัพเฟสบุคแล้วตั้งเป็นโปรไฟล์สวยๆ ก็พอ
+1
ลึกซึ้ง!
+1!
SIII นี่เป็น Samsung รุ่นแรกที่ผมรู้สึกว่าอยากได้แหะ design ผมว่าเข้าท่าที่สุดแล้ว
ชอบ Smart Stay เหมือนกัน (ยังไม่เคยลอง เพราะไม่เคยจับ SIII เลย) คือ แค่ฟัง concept นี่แบบว่าใช่เลย
ต้องการมาก ไม่เฉพาะอยากให้อยู่บนโทรศัพท์นะ อยากให้มาอยู่ใน notebook ผมด้วย
Best Shot นี่ผมก็ทำเองบ่อยๆ คือ กด shutter รั่วไปก่อน แล้วมาเลือกรูปเอา
มีฟังก์ชั่นนี้ทำให้สะดวกดีครับ
สำหรับการปล่อย SIII ครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า Samsung "ตั้งใจ" ทำ SIII มากจริงๆ
เป็นมือถือเกาหลีเครื่องแรกที่อยากซื้อเหมือนกัน
ใคร(ส่วนใหญ่เป็นเซเลปโซเชียล)จะติมากๆช่างมัน ผมลองดูแล้วมันเป็นนวัตกรรมทางมือถือที่น่าซื้อ
Smart Stay นี่จะกินแบตเพิ่มหรือเปล่าหว่า ต้องเช็คตลอดเวลาเลย
เมื่อวานไปลองที่งานคอมมาร์ตมา ก็โอเคในระดับที่น่าควักตังค์ซื้อ
แต่แปลกใจว่าซื้อเครื่องได้เลย(ของไม่ขาด(สีขาวนะ))
นึกว่าโปรโมตมากๆแล้วจะขายถล่มทลายซะอีก
อันนี้ผมก็งงๆ ว่ามันยังไง เพราะคนรู้จักผมจะไปจองปรากฎว่าร้านไม่รับจองเพราะโควต้าหมด
อาจจะเป็นปัญหาเรื่องการจัดการถ้าแบบนี้ คนอยากซื้อไม่ได้ซื้อ ร้านอยากขายไม่ได้ขาย...
lewcpe.com, @wasonliw
ผมไม่ชอบสีจอของ S3 เลยครับ ถ้าเทียบกับ XS แล้วสีมันแปลกๆ
feature Smart Stay เจ๋งแฮะ
That is the way things are.
เป็นไปตามคาด ฟีเจอร์เยอะจริง
แต่ก็มีทั้ง "ดี" และ "ไม่ดี" มีทั้ง "ได้ใช้" และ "ไม่ได้ใช้"
และหลายๆส่วนก็อาจจะมี App แยก ใช้ทดแทนได้
ส่วนตัวตอนแรกก็ชอบ Concept Smart Stay ล่ะ
แล้วก็คิดว่ามันคงเหมือน Face Detect นั่นแล
ถ้าเครื่องผมมี ใช้แน่นอน คิดว่ามันน่าจะ Optimize ให้ประหยัดแบตแล้ว
คือไม่เปิดคาตลอด อาจจะสุ่ม ตรวจใบหน้า เป็นระยะๆ แทน
(แอบหงุดหงิด ที่ SS เอามาโม้ ว่าจับดวงตา และ เหมือนจะ Dev มาเอง - -")
ส่วนอื่นๆ ก็ไม่ตื่นเต้น แต่ก็ดีกว่าไม่มี
Smart Alert เห็นด้วยว่า ไฟเตือน ดีกว่าเป็นไหนๆ ยี่ห้ออื่น เช่น Xperia, Nokia มีมาตั้งนานแล้ว
ซึ่งยี่ห้อพวกนี้ แข่งราคาไม่ได้ แต่เน้นคุณภาพ และ รายละเอียด ของงาน
คนไม่เห็นอวยเลย พอ SS ออก Smart Alert "บางคน" ตื่นเต้นใหญ่ = ='
โดยรวม ใครที่ต้องการความแรง
เปิดเว็บ Flashเยอะ หลายจอ เล่นเกมภาพมหาโหด บ้าพลัง แน่นอนผมว่ามันคุ้มแล้วในงบ 20k+
เพราะมันมีแค่ 2 ตัว แล้ว ผมว่ามันดีกว่า one X แน่นอน เปิดตัวช้ากว่าพอตัว
แต่ถ้าไม่ได้ใช้ขนาดนั้น มองตัวที่ราคาถูกกว่านั้น ก็ตอบโจทย์ได้เหมือนกัน
(เงินเหลือด้วย อิ อิ)
เท่าที่ผมดูข้อมูลและภาพ S3 มี ไฟเตือน (led notification) นะครับ
ถ้างั้นก็ดีเลยครับ ไฟเตือน ทิ้งเครื่องไว้ก็ทราบได้เลย ว่ามีข้อความ
บางคนเห็นไฟ ถึงมาเชค
Smart Stay ถ้าทิ้งเครื่องไว้ ไม่มาจับ นี่จะไม่รู้เลย
แล้วปกติ เวลาผมจับเครื่อง ผมก็ลาก แถบเตือน เชคตลอดอยู่แล้ว
ผมลองไปดูทั้ง Jaymart ทั้ง PowerMall Ultra ทั้ง C Nex ไม่มีเลย (เจอแต่กล่อง S3)
สงสัยต้องหาของเพื่อนมาลองซะแล้ว (เพื่อนผมมีแพลนจะซื้อ)
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ไม่เคยนึกว่่า samsung จะมีเทคโนโลยีด้านเสียงดีกว่า nuance