เมื่อต้นปีที่ผ่านมา โนเกียใช้เวทีงาน MWC 2013 เปิดตัว Windows Phone รุ่นเล็ก Lumia 520 ถือเป็นครั้งแรกที่โนเกียออก Windows Phone ที่รหัสขึ้นต้นด้วย 5
จุดเด่นที่สุดของ Lumia 520 คงหนีไม่พ้น "ราคา" เพียง 139 ยูโรหรือราคาในไทยประมาณ 5,800 บาท น่าจะทำให้ใครหลายคนสนใจหันมามอง Windows Phone กันบ้าง
ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่หันมามอง Lumia เพราะราคาอันเย้ายวน แต่ก่อนจะควักกระเป๋าจ่ายเองก็ลองขอยืม Lumia 520 จากโนเกียมาทดสอบดูก่อน และนี่คือรีวิวครับ
สเปกละเอียดดูได้จาก เว็บไซต์ของโนเกีย
โนเกียออก Lumia รุ่นที่สองที่ลงท้ายด้วย x20 มาทั้งหมด 5 รุ่น ได้แก่ 520 ไล่ตัวเลขขึ้นไปจนถึง 920 เรียงตามระดับราคา
คนที่ไม่ได้ติดตามวงการ Windows Phone อาจจะงงๆ อยู่บ้างว่า Lumia แต่ละรุ่นต่างกันอย่างไร ผมขอนำตารางเปรียบเทียบจากเว็บโนเกีย คัดเฉพาะส่วนสำคัญของ 3 รุ่นล่างคือ 520-620-720 มาเทียบให้ดูครับ
ทั้งสามรุ่นใช้สเปกฮาร์ดแวร์หลักเหมือนกัน นั่นคือซีพียู 1GHz ดูอัลคอร์, แรม 512MB, ความจุ 8GB สิ่งที่ต่างกันออกไปคือกล้อง จอ ขนาด และดีไซน์
กล้องของ Lumia 520 จะด้อยที่สุดคือ 5MP ไม่มีกล้องหน้าและแฟลช, พอเป็น 620 จะเริ่มใส่กล้องหน้าเข้ามา และ 720 ที่มีกล้องเป็นจุดขายก็มีฟีเจอร์ด้านการถ่ายภาพมากขึ้น
หน้าจอของ 520 ใช้จอ IPS ขนาด 4" ไม่มี ClearBlack ซึ่งจะเริ่มมีในรุ่นที่สูงขึ้นคือ 620 และ 720
Lumia 520 ใช้แนวทางการออกแบบเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอนเนตเช่นเดียวกับ Lumia รุ่นอื่นๆ ฝาหลังเป็นพลาสติกด้าน แกะออกได้ แบตถอดเปลี่ยนแบตได้
ด้านหน้าของตัวเครื่องเป็น 3 ปุ่มมาตรฐานของ Windows Phone ไม่มีอะไรแปลกออกไป
พอร์ตรอบตัวเครื่องมีแค่ MicroUSB สำหรับชาร์จ (ด้านล่าง) และช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. (ด้านบน) เท่านั้น
ด้านขวามือมี 4 ปุ่มมาตรฐาน volume up/down, power, shutter
ตัวเครื่องด้านหลังมีช่องเสียบ MicroSD และ Micro SIM โดยกรณีของ SIM ต้องเสียบแบบหันด้านข้างใส่เข้าไปแทนด้านหัว-ด้านท้ายเหมือนโทรศัพท์รุ่นอื่นๆ (ใช้ตอนแรกก็งงเล็กน้อย)
โดยรวมแล้วถือว่า Lumia 520 มีขนาดกลางๆ (หน้าจอ 4" ในปัจจุบันถือว่ากลางค่อนไปทางเล็กแล้วด้วยซ้ำ) วัสดุค่อนข้างกระชับมือ แต่ถือไม่ค่อยสะดวกนักซึ่งอาจเป็นเพราะการออกแบบรูปทรง
ผมไม่มีปัญหาอะไรกับหน้าจอของ Lumia 520 ถึงแม้จะไม่ใช่จอเทพสุดในปัจจุบันแต่ก็ทำงานได้โอเค สีสันสดใส ความละเอียดของจออยู่ในระดับที่รับได้สบายมากสำหรับสมาร์ทโฟนระดับกลางแบบนี้
ปัญหาที่พบคือตัวเครื่องค่อนข้างร้อนในบางโอกาส (โดยเฉพาะตอนที่ใช้ GPS มากๆ อย่างการเปิดโปรแกรมแผนที่นำทาง Here Drive ค้างไว้) และแบตเตอรี่ที่หมดเร็วมาก การใช้งานปกติของผมอยู่ได้ไม่ถึงวันด้วยซ้ำ
ในแง่ประสิทธิภาพโดยรวมไม่มีปัญหา การตอบสนองของ UI ลื่นไหลดีมาก (สมราคา Windows Phone ที่ไมโครซอฟท์โฆษณาว่า fast and fluid) แต่การที่ Lumia 520 มีแรมน้อยทำให้เราเจอ app suspend และต้องรอ resume เวลาสลับแอพอยู่บ่อยๆ อย่างไรก็ตามมันไม่ถือว่าเป็นปัญหาขั้นร้ายแรงนัก
ระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 เป็นเวอร์ชันมาตรฐานของโนเกีย แทบไม่ต่างอะไรจาก Lumia รุ่นพี่ๆ เลย ให้แอพในสายตระกูลโนเกียมาแบบครบครัน จะขาดไปก็มีแค่เพียง Nokia City Lens (ซึ่งก็ไม่น่าจะมีคนใช้สักเท่าไร)
ประสบการณ์การใช้งาน Windows Phone โดยรวมถือว่าตอบโจทย์ความเป็น "สมาร์ทโฟน" ขั้นพื้นฐาน เช่น โทรออกรับสาย อ่านอีเมล ท่องเว็บ ดูแผนที่ ถ่ายภาพ ฯลฯ แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งอย่าง iOS/Android ผมก็คงต้องบอกว่า Windows Phone ยังไม่สามารถไปต่อกรกับคู่แข่งทั้งสองได้
ประเด็นที่ Windows Phone ยังแพ้อยู่มี 2 เรื่องใหญ่
ตรงนี้ผมมองว่าโนเกียพยายามทำเต็มที่แล้ว แอพของโนเกียที่แถมมากับ Lumia มีคุณภาพ ใช้งานได้จริง (แม้โอกาสใช้งานแอพบางตัว เช่น Cretive Studio หรือ Cinemagraph ไม่บ่อยนัก)
แอพอื่นๆ ที่แถมมากับเครื่องได้แก่แอพที่พัฒนาโดยบริษัท Volevi ทีมงานคนไทยที่มีผลงานบน Windows Phone มากมาย แอพที่แถมมาให้มี 2 ตัวคือ Thai TV 3 และ Me เช่นเดียวกับ Lumia รุ่นอื่นๆ (อ่านบทสัมภาษณ์ EGCO Dev Team ที่ภายหลังกลายมาเป็น Volevi)
ผมค่อนข้างประทับใจกล้องของ Lumia 520 พอสมควร ถึงแม้คุณภาพที่ออกมาจะไม่ถึงขนาดว้าว แต่การถ่ายภาพกลางคืนหรือสภาพแสงน้อย Lumia จะประมวลผลภาพออกมาค่อนข้างดี มองเห็นชัด (แม้ว่าจะ noise เยอะตามมา) สามารถนำไปใช้ต่อได้ตามประสงค์
จุดอ่อนของกล้อง 520 คงอยู่ที่ว่ามันไม่มีแฟลช ทำให้การถ่ายภาพกลางคืนบางครั้งมีปัญหาอยู่บ้าง (แต่กรณีถ่ายภาพกลางคืนแบบต้องเปิดแฟลชในชีวิตจริงคงไม่เยอะนัก)
สุดท้ายต้องไม่ลืมว่า Lumia 520 เป็นรุ่นโลว์คอสต์ไม่มีกล้องหน้า ถ้าใครอยากซื้อมาใช้ทำ vdo call อาจต้องซื้อรุ่นที่สูงขึ้นไปกว่านี้แทนครับ
Lumia 520 ตอบโจทย์ตลาดที่อยู่กึ่งๆ ระหว่างฟีเจอร์โฟนและสมาร์ทโฟนทั่วไป ตลาดนี้ถือเป็นตลาดที่ price-sensitive ซึ่งราคากลายเป็นประเด็นสำคัญ และโนเกียก็ออก Lumia 520 ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้
ตัวฮาร์ดแวร์ของ Lumia 520 ถือว่าสมราคา สเปกโอเค คุณภาพงานประกอบดี ส่วนตัวระบบปฏิบัติการ Windows Phone 8 ก็ลื่นไหล ตอบสนองงานทั่วๆ ไปได้ดี แอพที่ให้มาพร้อมกับเครื่องก็หลากหลายและใช้งานได้จริง โดยรวมแล้วผมว่าราคานี้คุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเปกและระบบปฏิบัติการที่ได้
คำถามคือถ้า Lumia 520 ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ Android ในระดับราคาใกล้เคียงกัน แต่มี ecosystem ที่กว้างใหญ่กว่ามาก โนเกียจะตอบคำถามลูกค้าอย่างไร? (เช่น ถามว่ามี Instagram หรือเปล่า) เรื่องนี้เป็นการบ้านที่คู่หูไมโครซอฟท์-โนเกียต้องช่วยกันผลักดันหาคำตอบต่อไปครับ
Comments
บางครั้งเจอเครื่องดับและรีสตาร์ทเองใหม่ แบบงงๆ นอกนั้นก็พอใจอยู่ครับ ซื้อเพราะชอบนำทางแบบ offline เนี่ยแหละ
ผมว่าน่าจะเกิดจาก app บางตัวที่รันใน backgroud นะ เพราะที่ผมใช้มาทั้ง wp 7(mozart) และ 8(lumia 720) ไม่เคยเจออาการดับเองเลย
ขอบคุณครับ ก็เป็นไปได้ แต่ตอนผมเป็นแรกๆ นี่ก็ไม่ค่อยได้ลงอะไร แต่พักนี้ก็ไม่ค่อยดับเหมือนกัน เลยไม่แน่ใจสาเหตุ
- รู้แต่บาง app ให้รัน backgroud แบตหมดเร็วมาก ตอนนี้ block เรียบเหลือนิดเดียว
- บางทีเปิด app สลับกันก็แอบรำคาญเพราะ resume นาน
เราจะตอบว่า เครื่องเราทำงานได้เร็วกว่า Android ราคา 6000 บาทมาก ถ้าคุณต้องการโทรศัพท์ที่ใช้ฟังก์ชั่นพื้นฐานได้ครบ เล่น LINE ได้ เล่นเว็บลื่นๆ มีเกมพอประมาณให้เล่น และกำลังจะใช้ instagram ได้ (ผ่าน 3rd party) ก็มาหาเรา
แต่ถ้าต้องการเครื่องที่ลงแอพได้มาก ใช้ instagtam ใช้ LINE เต็มรูปแบบ เล่นเกม LINE แจกฟรี แต่กระตุกๆ ค้างเวลาโทรบ้าง ก็ไป Android เถอะ
ปล. เคยมีคนบอกผมว่า Android 6000 บาทก็ลื่นได้ถ้าเป็น pure google แล้วผมต้องทำยังไงถึงหาเครื่องราคา 6000 ที่เป็น Pure google ได้
คำตอบจากโนเกียประเทศไทยตอนงานเปิดตัวเขาบอกว่า
Coder | Designer | Thinker | Blogger
++++1 ครับ
ตอนนี้ย้ายมาเป็นแอนดรอยด์หมื่นกว่าบาท ประสบการณ์ที่ได้รับดีกว่าเดิมเยอะเลย
ป.ล. ผมชอบไอโฟน แต่ใช้แอนดรอยด์ เพราะมันแพง ตัดใจซื้อไม่ลง....
ไม่รู้ว่าเป็นทุกรุ่นหรือเปล่า
แต่น้องที่บริษัท ใช้ 920 ส่ง line ไปนัดว่าอีก 30 นาที เจอกัน
จนกระทั่งเจอกันแล้ว ขึ้นรถแล้วเกือบ 15 นาที ถึงจะได้รับข้อความที่ผมส่งไป โชคดีที่เค้าไปรอก่อนเวลา โดยไม่รอการนัด
ถ้าเล่น line ได้ แต่ได้แบบ delay แบบนี้ ไม่เอาดีกว่าครับ
ผมฟังคนชื่นชม window phone มากันเยอะ ก็เลยไปลองเอง ตั้งความหวังไว้เต็มเปี่ยม เพราะไม่ต้องการฟีเจอร์อะไรเยอะแยะ
กะว่าจะซื้อให้ผู้ใหญ่ที่บ้านใช้ ลองดูประมาณ ไม่เกิน 5 นาที
ผมก็กลับไปซื้อ android ครับ
เหตุผลของคนซื้อโทรศัพท์มันต่างกันครับ บางคนซื้อเพราะ LINE บางคนซื้อเพราะ Free offline navigator etc. อย่างผมสามเดือนเปิด LINE ที สิ่งนี้ไม่ใช่ตัวเลือกแน่ แต่ผมใช้ nokia Drive บน Lumia 800 แทบทุกวันซื้อมาปีกว่าแล้วคุ้มค่ามาก เป็นต้นครับ
เท่าที่ผมลองดูคือ มันขึ้นใน notification/tile น่ะครับ แต่พอเปิด LINE ขึ้นมาแล้วมันกลับไม่ขึ้นข้อความใหม่ให้ ต้องรอสักสามสี่นาทีถึงจะมา
iOS ก็เป็นครับ ขึ้น notification พอกดเปิดแอพแล้วไม่ขึ้น ต้องรอโหลด, เป็นกับทุกแอพเลยด้วยมั๊ง twitter/facebook ก็เป็น ขึ้นว่ามีเมนชั่น กดไป รอโหลด เน็ตไม่ดีก็อ่านข้อความไม่ได้
iPAtS
Android หรือบนคอมก็ไม่เว้นครับอาการนี้ แต่ผมว่าแต่ละ OS ก็จะช้าเร็วไม่เท่ากัน
Dream high, work hard.
เป็นเหมือนกันครับ แนะนำว่าแชทคนไหนบ่อยๆให้ pin ไปที่ Live tile เลย เห็น notification ชัดแน่ๆ กดเข้าไปถ้ายังไม่เห็นข้อความใหม่ให้ออกมาแล้วเข้าไปใหม่ครับ.
Windows Phone 7 ผมไม่เป็นซะงั้น
LINE บน iOS และ WP อาการคล้ายๆ กัน คือขึ้น notification แต่ไม่โหลด msg มา แต่ Android ไม่ใช่เพราะรายนี้มัน interval pooling มาให้ ซึ่ง LINE บน Android จะกินแบตว่าบน iOS และ WP มาก แต่แลกกับความเร็วที่ได้ก็แล้วแต่ชอบ
ปัญหาบน iOS และ WP คล้ายๆ กันอย่างที่บอกไปข้างต้นคือเตือนแต่ msg ไม่มา แต่ระบบ notification ของ WP นั้นช้ากว่าอยู่พอสมควร เลยทำให้ดูเหมือน delay มากกว่าปรกติ
ทำไมบอกว่า Android เป็น interval pooling ล่ะครับ รู้จริง หรือแค่เดา
ผมใช้แอนดรอยอยู่ อาการก็คล้ายๆกัน คือ notification push เข้ามาก่อน เปิดโปรแกรม line ซักแปป ข้อความถึงจะขึ้นใน chat
ผมเดาบนข้อสังเกตครับ
โดยจากการลองใช้งานมาทั้ง 3 OS และสังเกตจากการบริโภคแบตหลังลง LINE ครับ โดยหลังติดตั้ง LINE แล้วแบตลดลงเร็วกว่าปรกติบน iOS และ WP ซึ่งทั้ง 2 OS นั้นตัว process ของ App จะโดน kill และไม่ถูกเปิดทิ้งไว้แน่ๆ เพราะงั้นต้องทำผ่าน push และ task scheduler เท่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อติดตั้ง LINE บน iOS หรือ WP จะไม่ค่อยกินแบตเท่า Android ที่สามารถรัน background task ได้ตลอดเวลาที่เปิดอยู่ โดยผมมองว่า LINE อาจใช้ push ร่วมกับ pooling เพื่อให้สามารถเอาข้อความที่ส่งเข้ามาใส่เข้า chat log หลังจากที่ push ส่งเข้ามาหรือมี status update หลายๆ อย่างวิ่งมา เพื่อให้เราไม่ต้องรอ msg ที่วิ่งเข้ามา ประมาณว่าเปิดแล้วเห็นข้อความเกือบทันทีให้เราเลยก็ได้
ที่ผมไม่เข้าใจคือระบบ push เนี่ย ไหน ๆ ก็เสีย data push เข้ามาแล้ว ทำไมระบบไม่ยอมให้ตัวที่ push เข้ามาไปเก็บรวบรวมไว้ พอเปิดแอพก็แค่ไปดึงจากที่รวบรวมไว้มาเข้าแอพอีกทีครับ ถึงจะไม่ขึ้นทันทีแต่มันก็เร็วกว่ามาก
ผมใช้ WP7 นี่ Toast notification ของ LINE ผมไม่มีดีเลย์นะครับ แต่ถ้าเข้ากรุ๊ปที่พิมพ์มาสักร้อยข้อความก็รอกันไปเถอะ กว่าจะครบ
คงเพราะระบบ push จำกัดขนาดข้อความอยู่ล่ะมั้ง Google cloud message จำกัดแค่ 4kb หน้าที่ของมันก็คงแค่แจ้งเตือน อาจจะตกหล่นบ้าง เลยออกแบบแอปให้มันไปโหลดข้อความทั้งหมดจาก server ตัวเองใหม่มากกว่ามั้งครับ
push data ทุกค่ายมัน limit data ครับ ส่งเยอะๆ ไม่ได้ครับ ของ WP ไม่เกิน 3Kb ต่อ msg ครับ
แต่โปรแกรมอย่าง LINE เองก็ไม่น่ามีปัญหานี่ครับ 3KB ก็ไม่ใช่น้อย ๆ ไม่งั้นมันคงแสดงข้อความตอนแจ้งเตือนให้เราไม่ได้ - -" เอาไว้ข้อความไหนมากเกินนั้นจริง ๆ ค่อยไปโหลดอีกทีก็ยังไม่สาย
3KB นี่ RAW Package นะครับ พอมันเข้ารหัส หรือพวก token/userinfo อื่นๆ อาจจะเหลือไม่เยอะครับ
อย่างน้อยมันก็น่าจะเก็บข้อความที่มันพรีวิวตอนแจ้งเตือนได้ไงครับ (T^T)
สงสัยผมต้องไปมือบอนเขียนโปรแกรมดูบ้างแล้วจะได้เห็นชัด ๆ หน่อยว่าระบบจริง ๆ มันติดอะไรบ้าง
เหมือน Notification Center มันส่ง data เข้าไปแยกกับตัว App มั้งครับ มันเลยไม่มี API ส่งเข้า App อีกที เหมือน Notification Center มันเป็น App อีกตัวนึงไปเลยที่ทำหน้าที่นี้ (ผมเดานะ)
แล้วใน iOS ที่บางทีเปิดใน Chat ข้อความมาแล้วแต่ใน Notification ไม่เตือนนี่มันคืออะไรครับ?
คือ Modern Mobile OS สมัยนี้ตัว OS มีระบบช่วย APP ทำงานด้านหลังได้โดยที่ App มันโดน OS kill ตัว process ไป โดยหลักๆ มี 2 ส่วนคือ Task Schedule กับ Notification ครับ
ตัว Notification เป็นตัวช่วยให้ App เหมือนทำงาน แต่จิงๆ มันทำงานฝั่ง server แล้ววิ่งมาที่ client เพื่อบอก user ให้มาเปิดตัว App แล้ววิ่งไปที่ข้อมูลนั้นๆ โดยอาจจะโหลดข้อมูลมาพร้อมๆ กับตอนเปิด App กลับมาใหม่
ตัว Task Schedule จะปลุกตัว App มาทำงานอาจจะทุกๆ 30 นาที แต่มีเวลาจำกัดให้ทำงานเพียง 10 วินาที อะไรแบบนั้น เพื่อใช้ในการโหลดข้อมูลมารอไว้ ฯลฯ เป็นการทำงานฝั่ง client ที่อาจจะวิ่งไปหา server
เหตุที่ใช้วิธีนี้กันเพราะทำให้ตัวระบบประหยัดพลังงานมากที่สุดเท่าที่ยังทำได้ครับ
ทีนี้ถ้า เปิด Chat แล้วข้อความมาแต่ Notification ไม่มา คงเป็นส่วนของ Notification มีปัญหาไม่ส่ง push มา (อาจจะเพราะ Server ส่งข้อมูลกลับมา Client แล้วไม่เจอ หรือมีปัญหา ฯลฯ) แต่ Task Schedule ยังทำงานอยู่มันเลยโหลดข้อมูลมาได้
อันนี้เป็นการเช็คปัญหาเบื้องต้นนะครับ อาจจะมีรายละเอียดปลึกย่อยแตกต่างไปแต่ละ platform ครับ ;)
ผมว่ามันเป็นที่ LINE นะครับ ผมใช้แอนดรอยด์ก็เจออาการแบบนี้ ทั้งข้อความมาถึงช้า (เคยรออยู่สิบนาที) หรือมาถึง ขึ้น notification แต่เปิดไลน์ไปแล้วต้องรออีกครึ่งชั่วโมงกว่าข้อความจะขึ้น
เอาจริงๆ ผมว่า LINE ช้าครับ ข้อความด่วนๆผมไว้ใจ SMS และ whatsapp มากกว่า
สรุปแบบตัดเอาที่แขวะ ๆ ออกบ้างคือ ถ้าพอใจกับการใช้งานพื้นฐานแต่ลื่นไหลน่าใช้ประมาณนึง Lumia 520 ก็ตอบโจทย์ได้ดี แต่ถ้ามองไปถึงการขยายการใช้งานให้กว้างกว่าแค่พื้นฐาน (= ลง app เพิ่ม) Android น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
พื้นฐานที่ว่าก็ต้องดูดี ๆ ด้วย บางคนจะเอามาฟังวิทยุ FM แต่ WP8 ยังไม่รองรับก็จบกันเลย (พ่อผมขาย Lumia 920 ทิ้งหลังจากที่ซื้อสองอาทิตย์ก็เพราะสาเหตุนี้) แน่นอนว่ามันกำลังจะรองรับในอนาคต แต่ก็ต้องรออยู่ดีแหละ
ความเห็นของผมคืออนาคตเป็นสิ่งเลื่อนลอย ถ้าให้เลือกผมว่าดูปัจจุบันดีกว่าครับ เีรื่องของอนาคตก็ปล่อยให้ถึงอนาคตก่อนแล้วค่อยคิด
ปล. ผมว่าถ้ามือถือหกพัน ใช้ CPU 1.0GHz รัน Android 4 ก็น่าจะลื่นพอใช้ได้แล้วนะ
ในฐานะที่ใช้มือถือ stock android ics ราคาหกพัน บอกได้ว่าลื่นครับ ถ้าไม่คิดจะเอามาลงแอพอย่างพวก line twitter facebook อะไรทั้งหลายที่ผีโซเชียลอย่างผมมักจะเปิดทั้งวันครับ
ผมใช้ i-mobile i-style q6 นี่ก็มาเป็น stock android ics นะครับ แต่ลองคุ้ยๆดูเหมือนจะมีแพ็คเกจของ mediatek ติดมาด้วย
ปล.และมันลื่นเป็นพักๆ ครับ
อยากชม nokia ว่า ทำการตลาดเอง ว่า product เก่ง
lumia520 นี้ มันมีจุดที่น่าสนใจเยอะ
ไม่ได้น่าสนใจที่ WP8 แต่น่าสนใจกับ ราคา 58xx กับ spec เครื่อง
ในราคาระดับนี้ ยังไม่เห็นผู้ผลิตไหนให้ spec มากเท่านี้
ยิ่งบวก กับ WP8 แล้วยิ่งเร็วไปใหญ่
เคยคิดว่า WP8 ต้องแพงกว่า android ซิเพราะมีต้นทุน licen
แต่ nokia ทำใ้ห้ถูกกว่าได้ งานนี้ ขอชม nokia
ส่วนการใช้งาน ก็ มาม่ากันต่อไป
ไม่มี [ ครับ ลิงค์ขาด
ท เกิน
ราคาน่่ารักมาก อย่างกะเครื่องติดสัญญา
จากที่เคยลองเล่นมา ประสิทธิภาพโดยรวมถือว่าดีมาก เผลอ ๆ ลื่นกว่า 720 ด้วยซ้ำ และเท่าที่สำรวจมาก็พบว่าคนใช้ 520 ก็มากขึ้นมาก
ปัญหาคือ ผู้ซื้อยังคงมีปัญหากับการเลือกเครื่องให้ใช้กับเครือข่ายตนเองได้ ซึ่งตรงนี้คนก็เข้ามาบ่นกันว่าทำไมเล่น 3G ไม่ได้เลย ส่วนตัว โนเกียน่าจะแก้ปัญหานี้ให้ดีกว่านี้
หมายเหตุ: Lumia ที่ขึ้นรหัส 5 ตัวแรกคือ Lumia 510 ครับ เป็น Windows Phone 7.5 ไม่ขายในไทย อีกรุ่นคือ Lumia 505 รู้สึกว่าจะขายแค่เม็กซิโกนะครับ Windows Phone 7.5 เช่นกัน
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ปัญหาที่ดับเองอัปเฟริมแวร์ก็หายแล้ว
อยากให้ลองเปรียบเทียบการใช้งานจริงจังกับมือถือแอนดรอยระดับราคาไม่เกิน 6,000 บาทจริงๆ ปีก่อนผมก็ยังมองว่าแอนดรอยราคาถูกมันห่วยเหลืเกิน เพราะผมใช้แต่มือถือรุ่นสูงมาตลอด แต่ช่วงหลังเห็นแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย (ลองจับตามร้าน) ถูกมาก ทั้ง imobile jfone lg samsung
ผมว่า android ที่ราคา ต่ำกว่า 6000 ไม่มีทางสู้ได้
แค่ CPU ก็แพ้ขาดแล้วครับ
รวมถึงตัวนี้ใี rom 8GB + SD CARD ได้อีก
ถ้า spec เท่านั้น ค่อยน่าสู้หน่อย
ในมุมกลับกันถ้าผมได้ android ราคา6000 ที่spec เท่าlumia520
lumia520 ก็น่าไม่มีความสนใจสำหรับผมทันที่
จุดเด่นของ lumia520 ไม่ใช่ WP8 แต่คือเครื่อง ที่ spec ที่คุ้มที่สุด
หลายคนจะหลง ไปเทียบ android กับ WP8 ถ้าจะเทียบขอให้เทียบที่spec เท่ากันครับ
i mobile iq 1.1
จอ 4.5 นิ้ว ความละเอียด 960x540 พิกเซล (ละเอียดเท่าไอโฟน)
รอม 4 กิ๊ก แรม 1 กิ๊ก
หน่วยประมวลผล quad core 4 แกนประมวลผล การ์ดจอแยก Adreno 203
แอนดรอย 4.1 Jelly bean
รองรับ 3G ใส่ได้ 2 ซิม
เพิ่มเมมได้ 32 GB ในชุดขายแถมเมมโมรี่ด้วยเลย 8 กิ๊ก
กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล
แบต 1800 มิลลิแอม
ที่สำคัญแอนดรอยสามารถกระจายไวไฟให้เครื่องอื่นได้ด้วยครับ
ราคา 6,190 บาท
ขอเทียบให้ชัดๆ ครับ โนเกีย 5800 บาท ไอโมบาย 6190 บาท ไอโมบายแพงกว่า 390 บาทครับ จัดเต็มดีไหมครับ ผมว่าเทียบจากราคาใกล้เคียงกันสุดๆ ไอโมบายก็จัดเต็มดีเหมือนกันครับ ต่างกันที่ไอโมบายเป็นแอนดรอยครับ
ขอบคุณสำหรับ ข้อมูลครับ แต่ i mobile ไม่ได้ดูถูกนะแต่ไม่กล้าใช้จริงๆ
ถ้าซื้อจริงๆ ขอ lumia 520 ดีกว่า ^^
อืม แทงข้างไอโมบายดีกว่าแฮะ :P
อย่าลืมว่า nokia ขายงานประกอบ + พลาสติกคุณภาพ + ใส่ใจสิ่งแวดล้อม แล้วไอกระจายบไวไฟ Lumiaทำได้ตั้งแต่ WP7 แล้วครับ ผมใช้ 710 งานประกอบดูมากไม่รู้สึกว่ามันกรอบ หรือจะพังง่ายๆ ขนาดผม ใช้ ซัมซุง แอลจี ในระดับราคาเดียวกันงานประกอบยังเน่าเลย แล้วเทียบไอโมบาย คือคิดเอาเอง 555+
ปล. ถึงแม้จะเป็น Lumia แต่ก็ยังมีเชื้อ 3310อยู่นะครับ เครื่องผมตกน้ำแบตกระจายใส่ๆเสร็จโทรได้เหมือนเดิม
ช่วยเสริมครับ : Windows Phone 7 - HTC 7 Mozart ต้นตระกูล WP7 ก็แชร์เน็ตได้ครับ อ้อ iOS ก็แชร์ได้นะครับเผื่อไม่ทราบข้อมูล OS ใด ๆ นอกจาก Android
เอ่อ ข้างบนเค้าเปรียบเทียบสเปคกันนี่ครับ พอเจอสเปคเทียบเท่าก็เลี่ยงบาลีไปงานประกอบ พลาสติกคุณภาพ? ใส่ใจสิ่งแวดล้อม? ดูเป็นนามธรรมมากๆ
คือถ้าจะบอกว่าลูเมียดีกว่าในทุกๆ ด้านก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พยายามตอบให้ตรงกับความเห็นด้านบนที่ตอบๆ ลงมาหน่อยครับ ไม่ใช่เลี่ยงไปเรื่อยๆ
ปล. ผมใช้ samsung mini (custom ROM) กว่าปีครื่งแล้วครับ ก็ไม่เห็นมีจะลอกหรือกรอบแกรบอะไร (ตกไปหลายรอบแล้ว) ตอนนี้มันก็ยังอยู่ดี ส่วนสาวที่ทำงานใช้ลูเมีย 720 อยู่ครับ บ่นเรื่องไลน์อยู่ตลอดเวลา
ปล. บริษัทผมให้ใช้ไลน์แบบกลุ่มครับ วันไหนข้อความเยอะๆ นี่ลูเมียง่อยไปเลยครับ ไม่ทันเขา
ผมแค่เสริมเรื่องแชร์เน็ต รอดตัวใช่ไหมครับ :D
ขอบคุณทุก Feedback นะครับ
มีข้อมูลในการพิจารณามากๆ เลย
ถึงระบบปฏิบัติการจะไม่ mass แต่ก็เป็นตัวเลือกแรกสำหรับองค์กรที่ infra เป็นระบบ microsoft #เชียร์
Katinrun ชุมชน Blockchain Developer แห่งแรกในไทย
ราคาสมเหตุสมผล บวกกับที่เป็นWP8 ทำให้ไม่ค่อยมีอาการกระตุก
แต่จุดอ่อนใหญ่ๆ ก็คือ APPs
ไม่รู้ทำไมเห็นเครื่องหนาแล้วไม่ชอบ
เมื่อก่อนใช้ 5800 หนากว่านี้ยังเฉยเลย
ตอนนี้ใช้ htc ที่บางกว่าพอเห็นเครื่องหนาแล้วไม่อยากใช้ แต่เห็นเครื่องบางก็กลัวหักอีก
ประเทศไทยตลาดเล็กสำหรับมือถือตลาดใหญ่ต้อง อเมกา จีน อินเดีย ยุโรป แค่อินเดียประเทศเดียว โนเกีย 520 ขายเป็นขนมแล้วจนข็องหดทุกร้านแอพวินโด 8 ก็มีครบอย่างอินสตาแกรมถึงจะเป็น third party แต่ใช้ดีก็กว่าของแท้อีกถามจริงวันนึงใช้แอพกันกี่ตัว ส่วนมากเล่นเก็ม เฟส แชท อินสตาแกรม วินโดโฟนมีครบทุกตัวแถมเสป็กตำวินโดโฟนไหลลื่นกว่าแอนดรอยเสป็กสูงอีกเปิดแอพเจ็ดแอพพร้อมกันไม่มีค้างหรือช้าลงไห้เห็นตัดสินใจเองครับว่าจะชอบแอนดรอย หรือ วินโดโฟน
จริงๆผมไม่อึดอัดนะที่ใช้ windowsphone หนะ แต่ก่อนก็ใช้แอนดรอย
ที่อึดอีดจริงๆคือ ทำไม line มันลูกเมียน้อยจังวะ ㅠ.ㅠ แค่แอปนี้แอปเดียวจริงๆ ที่ไม่พอใจ
อินสตาแกรมปกติผมส่องอย่างเดียว ก็เลยใช้ wpgram แทน
Itsdagram บนวินโดโฟนเหมือน อินสตาแกรมทุกหย่างครับแทบไม่มีความแตกต่างครับ
ฝากถึงท่านที่ (สนใจ) จะซื้อทุกท่าน (โพสต์ไปหลายครั้งหลายที่ แต่ก็อดจะโพสต์อีกไม่ได้)
ไปที่ร้านแล้วลองเล่นให้หนำใจและอย่าลืม "เช็คปุ่มชัตเตอร์และปุ่มเปิดเครื่อง/ล็อกหน้าจอ" ว่าทำงานปรกติหรือไม่ เพราะโดนกันไปหลายคนแล้ว เสียเวลาและอาจเสียความรู้สึก
ป.ล. ไม่ได้ดิสเครดิตนะ เพราะเชียร์โนเกียอยู่ แต่กลัวจะเจอประสบการณ์แย่ๆ จนพาลเกลียดไปเสีย
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
อยากจะบอกว่า มันเป็นปัญหาจากการใส่หน้ากากครับ
หากใส่แบบไม่มี step มันอาจจะทำให้สลักตรงปุ่มกล้องมันไม่เข้าล๊อค
แก้ได้โดยการแกะหน้ากากออกแล้วใส่เข้าไปใหม่ครับ
Lumia 920 ผมปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงมันกดทีเดียวแล้วเท่ากับกดสองทีครับ ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่แต่ถ้าว่างว่าจะเอาไปเคลมอยู่ นี่ประกันก็ผ่านมา 6 เดือนกว่าแล้ว
ผมใช้ 920 อยู่ ที่ซื้อเพราะ offline maps/drive+, MS office, และเพราะเป็นโนเกีย
วัสดุประกอบ กล้อง ด้วย
เลือกเพราะโนเกียใช้วินโดวส์โฟนนี่แหละครับ ราคานี้เบียดหุ่นอยู่ลำบากเลย
WP คงเป็นเหตุผลที่น้อยคนจะคิดเหมิือนคุณนะ ส่วนตัวผมว่า WP8 เป็นจุดอ่อน ที่สุดของ Nokia เลย
อ้อ ผมมองOffice เป็นจุดแข็ง แต่ WP เป็นจุดอ่อน
ผมว่าไม่ใช่จุดอ่อนซะทีเดียวนะ ถ้าเอาสเปคเครื่อง 520 ไปลงแอนดรอย อาจจะไม่ลื่นเท่าลง WP8 ก็ได้นะ
ผมมองว่า มันก็เสริมๆ กันอยู่นะ เพียงแต่บางอย่าง บน WP มันยังไม่ครบแค่นั้น
ใครไม่ได้เล่นหุ้น ไม่ได้เล่นเกม WP ก็โอเคอยู่นะ
ไม่ได้เล่นเกม ไม่ได้เล่นหุ้น ไม่ได้เล่นไลน์ ไม่สนใจเรื่อง App
feature phone คือคำตอบสุดท้ายครับ ;-)
นั่นสินะ - -
จัดมาแล้ว ระบบนำทางและแผนที่ดี OSลื่นไหลดี สมราคา ;-) แต่ร้อนเวลาใช้งาน แบตหมดไวมาก :-(
สงสัยยังเห่อของใหม่อยู่หรือเปล่าครับ ทำให้เล่นจนลืมเวลา แบตหมดซะละ
อิอิ เดี๋ยวขอตามไปซื้ออีกคน (กำลังรวบรวมงบประมาร T-T)
ตอนแรกผมไม่สน WP8 เลย (เพราะ WP7 ก็ทำได้เหมือน ๆ กัน แถมผมว่าจอ 7 Mozart ชัดกว่ามากพอเทียบกับ 520, 620) จนกระทั่ง Windows RT sync WP7 ไม่ได้ -*-
เอาเข้าจริงผมก็ไม่ค่อยได้ sync อยู่ดีแหละนะ นาน ๆ ทีจะต่อเพื่อสำรองรูปลงเครื่องทีนึง
ลองเล่นมา 3-4 วันแล้วยังรู้สึกว่าแบตหมดเร็วไปครับ แต่ผมมีแบตเตอรรี่แบงค์อยู่ในกระเป๋าเลยพอได้
การใช้งานบางจังหวะหน่วงนิดๆ เช่น เวลา resuming app และถ้าไม่คิดมากเรื่อง app น้อยราคานี้ ก็น่าใช้ดีครับ
ราคา เป็นมิตรกับขา Dev ครับ