หนังสือพิมพ์ The New York Times มีสกู๊ปพิเศษเบื้องหลังการพัฒนาและเปิดตัว iPhone รุ่นแรกเมื่อปี 2007 ว่าทีมงานของแอปเปิลต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะออกมาเป็นสินค้าพลิกโฉมวงการมือถือได้สำเร็จ
- New York Times สัมภาษณ์ Andy Grignon วิศวกรด้านเครือข่ายไร้สายของแอปเปิลที่เป็นคนดูแลเรื่องการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดของ iPhone โดยพื้นเพของเขามาจากการแฮ็กเครื่อง Apple Newton ในอดีตเพื่อให้ต่อเครือข่ายไร้สายได้ ผลงานของเขาและเพื่อนทำให้เขาได้ทำงานกับแอปเปิลในส่วนของห้องแล็บ Advanced Technology Group
- ในปี 2000 Grignon ออกไปเปิดบริษัท Pixo ร่วมกับพนักงานของแอปเปิลคนอื่นๆ ทำระบบปฏิบัติการสำหรับมือถือและอุปกรณ์ขนาดเล็ก ระบบปฏิบัติการตัวนี้ถูกใช้กับ iPod รุ่นแรก ทำให้ Grignon ได้กลับมาทำงานที่แอปเปิลอีกครั้ง
- พนักงานของแอปเปิลคุ้นเคยกับการสร้างซอฟต์แวร์บนคอมพิวเตอร์ที่มีพลังประมวลผลสูง ไม่มีข้อจำกัดเรื่องแบตเตอรี่ พอต้องมาทำซอฟต์แวร์สำหรับอุปกรณ์พกพาจึงมีปัญหามากในช่วงแรก
-
ประสบการณ์ของ Grignon จึงมีประโยชน์กับแอปเปิลมากเมื่อโครงการ iPhone เริ่มขึ้นในช่วงปลายปี 2004
การพัฒนา iPhone
-
แอปเปิลดึงทีมซูเปอร์สตาร์ภายในบริษัทมาสร้าง iPhone ซึ่งทุกคนมั่นใจว่าตัวเองเก่ง แต่เมื่อมาเจอข้อจำกัดและอุปสรรคมากมาย คนจำนวนมากเครียดและลาออกจากบริษัทไประหว่างโครงการหรือหลังจากโครงการเสร็จสิ้น
- Tony Fadell ผู้บริหารทีม iPod (ปัจจุบันลาออกไปทำบริษัท NEST) เล่าว่าเขาคุ้นเคยกับโครงการที่มีความไม่แน่นอนสูง แต่โครงการ iPhone มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนเยอะมากเป็นพิเศษ
- จ็อบส์เริ่มคิดจะสร้างโทรศัพท์หลังจากเปิดตัว iPod ในปี 2001 ไม่นานนัก แต่เมื่อลองพัฒนาโครงการตามไอเดียก็เจอกับข้อจำกัดทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และขีดจำกัดของเครือข่ายโทรศัพท์
- แอปเปิลเคยคิดจะซื้อโมโตโรลาในปี 2004 แต่พบว่าเป็นการซื้อกิจการที่ใหญ่เกินไปสำหรับตัวเอง
- ตอนแรกแอปเปิลมีปัญหาเรื่องการเจรจากับโอเปอเรเตอร์ที่มีอำนาจต่อรองสูง แต่โชคดีที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมในสหรัฐเริ่มเปลี่ยนไป แอปเปิลเคยคิดจะเป็น MVNO ของ Sprint แต่สุดท้ายเจรจากับ Cingular (AT&T ในปัจจุบัน) ได้สำเร็จ ก็เลยยกเลิกแผนนี้ไป
- ระหว่างปี 2005-2006 แอปเปิลสร้าง iPhone รุ่นต้นแบบออกมา 3 แบบ โดยรุ่นต้นแบบตัวแรกเป็น iPod ที่แปะบอร์ดสื่อสารและใช้ click wheel ของ iPod เป็นแป้นโทรศัพท์ กว่าจะมีจอสัมผัสและ OS X ต้องรอถึงต้นแบบรุ่นที่สองในปี 2006
- iPhone รุ่นต้นแบบตัวที่สองมีหน้าตาคล้ายกับผลิตภัณฑ์ที่วางขายจริง ใช้วัสดุเป็นโลหะโดยการออกแบบของ Ive แต่กลับมีปัญหาเรื่องภาครับสัญญาณ เพราะทีมดีไซเนอร์ไม่เข้าใจการทำงานของการสื่อสารด้วยคลื่นความถี่ และทีมวิศวกรต้องเสียเวลาอธิบายกันอยู่นาน
- เทคโนโลยีจอสัมผัสแบบ capacitive ถูกคิดขึ้นตั้งแต่ยุค 1960 แต่มันไม่เคยถูกใช้ในสินค้าคอนซูเมอร์เพราะราคาแพงมาก แค่นำมาใช้กับรุ่นต้นแบบก็แพงแล้ว
- แอปเปิลเริ่มใส่เทคโนโลยีมัลติทัชเข้ามาในแท็บเล็ตได้สำเร็จในปี 2003 เนื่องจากสตีฟ จ็อบส์ ต้องการอุปกรณ์ที่เขาใช้อ่านในห้องน้ำ แต่การพัฒนาหยุดไปในช่วงปี 2004 เพราะทิศทางของบริษัทยังไม่ชัดเจน จนทีมงานบางคนลาออกจากบริษัทไป
- Tony Fadell เล่าว่าเขานึกภาพออกว่าจะใส่เทคโนโลยีด้านจอเข้ามาในอุปกรณ์ต้นแบบได้อย่างไร แต่ปัญหาคือจะผลิตมันในจำนวนมากๆ ได้อย่างไรเพราะต้องทำงานร่วมกับโรงงานผลิตจอด้วย ซึ่งแอปเปิลลองผิดลองถูกอยู่ 2-3 วิธีกว่าจะประสบความสำเร็จ
- แอปเปิลไม่มีประสบการณ์ด้านเครือข่ายไร้สายมาก่อน ต้องลองผิดลองถูกสร้างห้องแล็บขึ้นมาเองอยู่นาน ผู้บริหารรายหนึ่งเคยคำนวณว่าแอปเปิลลงทุนมากถึง 150 ล้านดอลลาร์ในการสร้าง iPhone ตัวแรก
- Jon Rubinstein อดีตผู้บริหารฝ่ายฮาร์ดแวร์ของแอปเปิล (ที่ย้ายไปอยู่ Palm) เสนอให้ทำ iPhone สองขนาดคือขนาดปกติ และขนาดเล็กราคาถูก แต่เมื่อทรัพยากรมีจำกัด ก็ต้องเลือกทำรุ่นปกติรุ่นเดียว
การรักษาความลับ
- การพัฒนา iPhone เป็นความลับ ห้องทำงานต้องใช้บัตรผ่านถึงเข้าได้ และจ็อบส์สั่งห้ามจ้างพนักงานภายนอกบริษัทมาทำโครงการนี้ แอปเปิลจึงต้องใช้วิธีดึงคนจากทีมต่างๆ ภายในบริษัทเข้ามาทำงานแทน ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงการอื่นๆ ของแอปเปิลไม่น้อย
- Scott Forstall เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเวลาเขาดึงคนมาทำซอฟต์แวร์ของ iPhone เขาก็จะบอกพนักงานว่ามีโครงการให้ทำ บอกไม่ได้ว่าคืออะไร แต่ถ้ามาทำแล้วจะสูญเสียเวลาว่างในตอนเย็นและสุดสัปดาห์ไปเลย และจะเป็นการทำงานที่หนักกว่างานทั้งหมดในชีวิตที่เคยทำมา
- แอปเปิลปกปิดข้อมูลของ iPhone กับทุกคน ตอนที่สั่งชิปชิ้นส่วนจากผู้ผลิตก็บอกว่าจะเอามาใส่ iPod รุ่นใหม่, ลงทุนออกแบบแผนผังวงจรและตัวอย่างผลิตภัณฑ์ปลอม, บางครั้งเวลาเดินทางไปติดต่อบริษัทอื่น พนักงานของแอปเปิลเคยปลอมตัวว่าเป็นคนของ Cingular เพื่อไม่ให้คนสนใจว่าแอปเปิลกำลังทำอะไรอยู่
- การจำกัดสิทธิให้พนักงานระดับท็อปที่เข้าถึงโครงการ iPhone ได้ ส่งผลต่อขวัญกำลังใจของพนักงานคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่าไม่มีโอกาสรู้ข้อมูลของโครงการนี้ นอกจากนี้ พนักงานแต่ละฝ่ายในโครงการ iPhone เองก็ไม่สามารถคุยกันเองได้ ทีมงานซอฟต์แวร์ทดสอบบนอีมูเลเตอร์ ทีมงานฮาร์ดแวร์ทดสอบกับซอฟต์แวร์ปลอมๆ
- มีเรื่องเล่ากันในแอปเปิลว่าถ้าลองเอาบัตรพนักงานไปแตะประตูเข้าห้องพัฒนา iPhone นอกจากจะเข้าไม่ได้แล้ว ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่จะเรียกยามมาลากตัวคุณออกไปด้วย (ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจริงหรือไม่)
การเปิดตัว iPhone
- ตอนที่สตีฟ จ็อบส์ เปิดตัว iPhone ในเดือนมกราคม 2007 ตอนนั้นตัว iPhone ยังไม่สมบูรณ์มากๆ ทั้งเสถียรภาพของระบบปฏิบัติการที่รันงานได้ไม่เยอะแล้วจะรีบูตเพราะหน่วยความจำเต็ม เล่นวิดีโอได้ไม่เต็มความยาวคลิปเพราะแบตจะหมดก่อน และมีปัญหาการเชื่อมต่อกับสัญญาณเครือข่าย แต่จ็อบส์ก็ยืนยันว่าจะเดโมฟีเจอร์ทั้งหมดแบบสดๆ ไม่บันทึกเทปไว้ก่อน (นาน 90 นาที!) ซึ่งรวมถึงการโทรออกไปสั่งกาแฟ ซึ่งก็ต้องเชื่อมเครือข่ายจริงๆ ด้วย
- ทีมงานของแอปเปิลจึงต้องเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อไม่ให้เดโมเจ๊งกลางงาน เช่น มี iPhone หลายเครื่องเตรียมไว้เดโมฟีเจอร์เครื่องละ 2-3 อย่างเท่านั้น, มีลำดับการพรีเซนต์ฟีเจอร์ต่างๆ ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะไม่แครช
- ทีมงานแก้ปัญหาเรื่อง Wi-Fi ที่อาจมีปัญหาในงาน โดยเปลี่ยนความถี่ของเราเตอร์ Wi-Fi และตัว iPhone เองเป็นความถี่พิเศษของญี่ปุ่น เพื่อไม่ให้ชนกับอุปกรณ์ Wi-Fi ที่ใช้ความถี่มาตรฐานของนักข่าวทั้งหลาย
- AT&T ตั้งสถานีฐาน (cell site) ขนาดเล็กไว้ในงานเพื่อการันตีว่าจะโทรออกได้ และทีมงานใช้วิธี hard code แถบสัญญาณของ iPhone ให้เต็ม 5 ขีดตลอดเวลา โดยไม่ขึ้นกับคุณภาพสัญญาณจริง เพราะกลัวสัญญาณร่วงระหว่างเดโม
- จ็อบส์ฝึกซ้อมเดโมตลอด 5 วันก่อนงาน ช่วงเตรียมพร้อมมีแต่ปัญหามากมาย โดย Andy Grignon วิศวกรด้านเครือข่ายไร้สายของแอปเปิลเล่าว่าตอนแรกก็รู้สึกพิเศษที่ได้สิทธิไปดูจ็อบส์ซ้อม แต่หลังจากนั้นมีแต่ความเครียด เพราะถ้ามีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นตอนเดโม จ็อบส์จะไม่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองแน่นอน
- เพื่อรักษาความลับของ iPhone แอปเปิลทุ่มทุนจองพื้นที่ทั้งหมดของศูนย์ประชุม Moscone Center, สร้างห้องปิดสำหรับทดสอบระบบอิเล็กทรอนิกส์, ห้องพักของจ็อบส์, มียามเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง, จ็อบส์เป็นคนตรวจสอบรายชื่อเจ้าหน้าที่ที่สามารถเข้ามาในศูนย์ได้ด้วยตัวเอง, คืนก่อนวันงาน เจ้าหน้าที่สัญญาจ้างทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนคุมไฟหรือคนเฝ้าบูตต้องนอนค้างภายในศูนย์ประชุมเพื่อป้องกันข่าวรั่ว
- จ็อบส์ยืนยันว่าจะไม่ใช้วิธีถ่ายวิดีโอหน้าจอตอนที่เขากำลังสาธิต iPhone เพราะนิ้วมือของเขาจะบังหน้าจอ ทำให้ผู้ชมที่ดูภาพจากจอไม่ได้รู้สึกว่ากำลังถือ iPhone อยู่ด้วยตัวเอง ทีมงานของแอปเปิลจึงต้องใช้วิธีเพิ่มบอร์ดพิเศษแปะไว้ด้านหลัง iPhone และมีสายต่อไปออกโปรเจคเตอร์ภายนอก
- ในระหว่างที่จ็อบส์เดโม ทีมงานวิศวกรที่รับผิดชอบในฝ่ายต่างๆ ก็นั่งลุ้นกันสุดตัวที่บริเวณที่นั่งแถวหน้าๆ โดยซื้อวิสกี้มาดื่มระงับความตื่นเต้น เมื่อจ็อบส์เดโมถึงฟีเจอร์ของฝ่ายใด ฝ่ายนั้นจะดื่มวิสกี้หนึ่งช็อต การเดโมออกมาราบรื่นอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อจบงาน ทีมงานดื่มวิสกี้ขวดนั้นกันจนหมด และออกไปดื่มต่อที่บาร์เหล้าในเมืองกันตลอดทั้งวัน
ที่มา - New York Times
Comments
อปเปิลเคยคิดจะเป็น MVNO ของ Sprint
MVNO ย่อมาจากอะไรเหรอครับ
Mobile Virtual Network Operator เหมือนพวก imobile3GX i-kool บ้านเราหล่ะครับ
Mobile Virtual Network Operator เหมือนกับพวก 365 (ซึ่งหมดสัญญาไปแล้ว?), imobile 3gx, ikool ที่เป็น MVNO ของ TOT ครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมว่าจุดเปลี่ยนของมันคือวันที่ Jeff Han พรีเซนต์เรื่อง muli touch ในปี 2006 แต่ไม่มีใครสนใจ จนกระทั้งปี 2007 iphone ก็โผล่ออกมา
บทความส่วนนี้น่าสนใจมากครับ เหมือนมีเบื้องลึกเบื้องหลังว่าอาจมีใครใน Apple ไปเห็นเข้า http://pogue.blogs.nytimes.com/2007/03/27/the-multi-touch-screen/?_r=0
Apple ได้งานด้าน MultiTouch มาจากการเข้าซื้อ FingerWorks ในปี 2005 ครับ แต่อาจมีการเข้าไปคุยกับคนๆ นี้จริงก็ได้ครับ เพราะเห็นในบนความบอกว่า "He didn’t say that Apple bought his technology, nor that Apple stole it—only that he’d known what had happened, and that there was a lot he wasn’t allowed to say."
Ref
Some iPhone touchscreen roots 'splained by FingerWorks inventors
FingerWorks - Wikipedia
Apple มี fingerworks จริง แต่ดูแล้วมันไม่น่าใช้ได้กับจอตรงๆครับ มันเกิดมาเพื่อทดแทนเมาส์เฉยๆ แต่สิ่งที่ Jeff han ทำให้ดู มันคือพื้นฐานของ gesture บน multitouch ทุกประการ วันที่ผมดูตา Jeff พรีเซนต์ ผมเองก็หวังว่าน่าจะมีคนต่อยอดเทคโนโลยีนี้บ้าง จนเห็นมันมาลง iphone
ลองดูพรีเซนต์ของเค้าได้ครับ http://www.ted.com/talks/jeff_han_demos_his_breakthrough_touchscreen.html
ไม่ไปเห็นเข้าหรอกมั้ง เวลาห่างกันอยู่นะ
"แอปเปิลเริ่มใส่เทคโนโลยีมัลติทัชเข้ามาในแท็บเล็ตได้สำเร็จในปี 2003 เนื่องจากสตีฟ จ็อบส์ ต้องการอุปกรณ์ที่เขาใช้อ่านในห้องน้ำ แต่การพัฒนาหยุดไปในช่วงปี 2004 เพราะทิศทางของบริษัทยังไม่ชัดเจน จนทีมงานบางคนลาออกจากบริษัทไป"
สุดยอดครับ...
-ตอนที่แกเอา ipod มาแปะกับโทรศัพท์คิดว่ามุก สรุปนี่เรื่องจริงเหรอฮะ 555
-ไม่เคยคิดเลยว่าการออกแบบ iphone จะสุดยอดขนาดนี้ ตอนที่เปิดตัว iphone ครั้งแรก ดู present แล้วแบบ เฮ้ย!!!! มีโทรศัพท์แบบนี้บนโลกด้วย
-แกซ่อนความวุ่นวาย ซับซ้อน ของ Product และทีมงาน ออกมาเป็นการนำเสนอสินค้าชิวๆ แบบไม่น่าเชื่อ!
-อยากจะบอกว่าดู Presentation iphone กี่คร้งก็ไม่เบื่อฮะ
-คิดถึงเฮียจ็อบส์
อ่านแล้วรู้สึกเหมือน Jobs เป็นผู้กำกับหนังเลยละเอียดทุกวินาที
อื้อหือ ตาจ๊อบเก็บทุกรายละเอียดจริงๆ
ปล. Presentation ไหนๆ ของ Jobs ดูแล้วก็ไม่เคยเบื่อ เหมือนมันมีพลังดึงดูดใจอะไรซักอย่าง ที่สำคัญคือมีอารมณ์ขัน
ฮาเรื่องวิสกี้ตอนท้ายนี่แหละ
+1
+40 ดีกรี 555
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
รู้สึกเครียดตามพนักงาน
we can build a more peaceful.
อ่านบทความนี้แล้วคิดถึง ลุงจ๊อบมากเลยค่ะ เหมือนAppleมีบางสิ่งหายไป
ใครจะรู้อาจมี Project ที่ apple ซ่อนไว้ยังไม่งัดออกมา เหมือน iPhone ก็ได้ครับ
ผมว่าน่าจะยาก ต้องเป็นคนหัวชนฝาแบบจ๊อปส์เท่านั้นที่จะทำอะไรอย่างนี้
iWatch? จนบัดนี้ยังไม่เสร็จ ถ้านับ idea เกิดจากผู้ใช้ iPod nano น่าจะสามปีกว่าเข้าไปแล้ว แต่ผมว่านะ ขุนพลชุดเดิม คนสืบทอดอำนาจก็เกิดจาก Jobs มันคงไม่เลวร้ายหรอกมั้ง
iWatch ไม่ใช่ว่าไม่เสร็จนะครับ ส่วนตัวเชื่อว่าเรื่องกระบวนการ Software หรือ Hardware คงจะทำเสร็จได้แล้ว ขาดแต่เพียงวัสดุที่จะใช้ผลิต ซึ่ง Apple เองจะใช้กระจกแบบโค้งงอได้ประสิทธิภาพสูง เรียกง่ายๆว่ากระจกงอตัวได้ และสามารถประมวลผลแบบคอมพิวเตอร์ได้ผ่านกระจก (งงมั้ย) คล้ายๆพวกกระจกหนัง Sci-Fi
กระจกดังกล่าวยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา ซึ่งผู้พัฒนาและถือลิขสิทธิ์คือบริษัท Corning Inc. เป็นบริษัทที่ผลิตกระจกทำสมาร์ทโฟน (ให้ทั้งซัมซุงและ Apple) กระจกที่เราใช้กันอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนนี่แหละครับ ซึ่งมีคุณภาพสูง ความแข็งแกร่งสูง และคงทนต่อการใช้งานได้ดีผ่านอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์
กระจกดังกล่าวที่โค้งงอได้ที่ว่า สำหรับทำ iWatch เห็นว่า Corning ยังต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี เพื่อพัฒนาคุณภาพกระจกที่สมบูรณ์ และพร้อมออกใช้งานจริงๆ
ถ้าจะมีตัวต้นแบบต้องพัฒนาเสร๊จตั่งแต่ก่อน Jobs แล้วพอถึงตอนนี้ก็เอามาปรับนิดแต่งหน่อยให้เหมาะกะ สถานการณ์ แล้วเอาออกขายได้เลย
ตั้งใจทำขนาดนี้ถ้าใครมาลอกไปหน้าตาเฉย เป็นผมๆก็โกรธนะ
ลุกขึ้นยืน พร้อมปรบมือดังๆ
อ่านแล้วเครียดตามจริง ๆ
นั่นแหละครับสิ่งที่จ๊อบทำได้ดีสุดๆ และทำให้จ๊อบเด่นกว่าคนที่อาจจะทำได้เท่าๆ กันคือจ๊อบมีโอกาสที่จะได้ทำให้มันเป็นจริง
ต้องการควบคุมทุกรายละเอียดและมีลูกน้องที่ตอบสนองได้นี่สุดๆ แล้ว บอกว่าต้องการให้ Wi-Fi ออกมาแน่นอน แล้วได้ลูกน้องเลือกที่จะเปลี่ยนความถี่ชนิดหาคนมารบกวนได้ยากแบบนั้นนี่ก็ (- -)d
ขอบคุณ mk ที่แปลบทความดีๆ มาให้อ่านครับ
Writer no.59 เพื่อสังคมแห่งการแบ่งปันความรู้
เข้าใจความรู้สึกตอนเดโม่เลย เหมือนตอนตัวเอง present project จบหน้าห้องแล้วลุ้นว่าโปรแกรมอย่าบึ้มหน้าห้อง
อ่านบทความแล้ว ลุกไปหยิบไอโฟน 2007 มาลูบๆ แม้มันจะสะดุดปลายนิ้วตรงมุมนิดหน่อยก็เถอะ
ขนลุกจิงๆครับ อยากให้จ๊อบอยู่ดูความสำเร็จในตอนนี้จริงๆ
มันก็คงเครียดละอยู่ดีๆมาทำมือถือแถมยังทัชสกรีนอีก อะไรๆมันเลยใหม่
กว่าจะสำเร็จขนาดนี้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากมายจริงๆ
ลับ ลวง พราง ของจริง :] อ่านแล้วมีความสุขมาก
บอกตรงเลยว่าอ่านเเล้วรู้สึกประทับใจมาก สุดยอดจริงๆ
สกู๊ปน่าจะยาวกว่านี้ อยากรู้รายละเอียดต่อจริงๆ
ลองอ่านภาษาอังกฤษต้นฉบับดูครับ จะได้อีกอารมณ์หนึ่ง มีรายละเอียดในการเล่ามากกว่า อาจจะประทับใจมากขึ้น
อ่านสนุกมากเลยครับ
ขอบคุณสำหรับบทความครับ แปลละเอียดยิบเลย อ่านสนุกมากครับ
ความรู้สึก ว่ากลัวบั๊คโผล่ ตอน Present เข้าใจดีคับ 555555
นั่งเกร็งจิกเข้าอี้
ต้องเล่นให้ปรุโปร่ง แล้วอย่าวิ่งเข้าหาบั๊กครับ 55
พอถึงวันนี้พนักงานที่ร่วมโปรเจคคงจะซาบซึ้งไม่น้อยที่งานหนักที่สุดในชีวิตพลิกโฉมประวัติศาสตร์โลก
สุดยอดจริงๆ รวมทีม All Star มาเพื่อสนอง need ท่านศาสดา
เปลี่ยนโลกเลย
ขอบคุณสำหรับบทความนี้ครับ!!
วิสกี้หนึ่งชอตในตำนาน
positivity
ขอบคุณมากครับ บทความสนุกดี ตอนเดโมเปิดตัวว่ากดดันแล้ว แต่หลังจากซดวิสกี้เสร็จยังต้องมาเร่งพัฒนาให้ทันวางขายได้จริงๆ น่าจะกดดันต่อเนื่องและยาวนาน
อ่านแล้วรู้สึกว่า 5s กับ 5c นี่ จ๊อปส์คงอยากลุกจากโลงขึ้นมาบีบคอลูกน้องทุกคน ปล่อยข่าวหลุดออกมาได้ไง
ความรู้สึกที่สอง ภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของโทรศัพท์รุ่นประวัติศาสตร์ของโลก มันผ่านอะไรมาเยอะจริง ๆ กว่าจะมาถึงมือผมได้ 23000 ตอนนั้นไม่แพงเลย แต่ตอนนี้ 23000 ทำไมรู้สึกว่าแพงจัง
Post from chrome on LG Nexus 4
อ่านแล้วอึ้ง ประทับใจในความละเอียดและพยายาม สุดยอดจริง ๆ ท่านศาสดา :)
ขอบคุณสำหรับบทความครับ อ่านสนุกมาก
อ่านแล้วได้อารมณ์ชมภาพยนตร์ตังแต่เริ่มต้นงจนจบเรื่องเลย ลุ้นเครียดร่วมกับพนักงานแอปเปิ้ล
ซัมซุงว่าไง ดราม่ากว่ารึเปล่า?
WiFi เปลี่ยนไปใช้ Ch.14 หรือเปล่านะ? คิดเยอะเผื่อล่วงหน้าทุกรายละเอียดจริงๆ อ่านแล้วเครียดแทนพนักงานเหมือนกัน
เป็นข่าวแรกที่ผมอ่านอย่างละเมียด และดูวิดีโอตั้งแต้ต้นจนจบ
ขออภัยถึงเป็นอดีตไปแล้วแต่การนำเสนอแบบในงานผมก็ว่าไม่ต่างจากการโกงคะะแนนของSSในตอนนี้หรอก (คหสต)
ผมเห็นว่าต่างครับ เพราะ เครื่องที่ขายออกมาทำได้ตามที่ นำเสนอทุกประการ
และที่เค้าทำทั้งหมดนั้นเพื่อเลี่ยง bug ที่ยังแก้ไม่เสน็จเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากในวงการ IT
ส่วนที่ samsung over clock ผล benchmark มันใช้งานในชีวิตจริงไม่ได้ นอกจาก program benchmark
+1
+1
เกมของ Xbox One ที่โชว์ในงาน E3 นั้นแท้จริงแล้วรันบน PC ที่ใช้ Windows 7, Nvidia GTX
ต้องแยก
finished product ออกจาก demonstration ของเครื่องต้นแบบด้วยครับ
อันนี้ใกล้เคียงกว่านะครับ
เค้าแค่เอาผลิตภัณฑ์รุ่นอัลฟ่า/เบต้ามาเปิดตัวให้โลกและคู่แข่งรู้ครับ ถือว่าเป็นการชิงความได้เปรียบดึงเอาความสนใจของคนทั้งโลกในเวลานั้น ให้มาจับจ้องที่ iPhone รุ่นแรกที่จะวางจำหน่ายในอีกหกเดือนถัดมา
ที่สำคัญเมื่อเครื่องถึงมือลูกค้า เครื่องก็ทำงานได้ดีตามที่สัญญาไว้ทุกประการ
พอ Jobs เสียชีวิต ทุกอย่างก็หลุดรั่วออกมาหมด จนไม่เหลือความตื่นเต้นแล้ว
อ่านจบแล้ว เลยลองไปหาวิดีโอการเปิดตัว iPhone ดู
Steve Jobs introduces Original iPhone - Macworld SF (2007)
http://www.youtube.com/watch?v=t2MOwQ089eQ
ช่วงเปิดตัว iPhone ตั้งแต่นาทีที่ 21 ไป ดูแล้วสนุกสนานมากครับ เพิ่งเคยดู 555
Hard Code สัญญาณ iPhone 5 ขีด ไม่ถือว่า "โกง" เหรอครับ
Demo ที่ไหนไม่ Hard Code บ้างครับ
อย่างน้อย ตอนขายก็ไม่ ....... แบบ.....
และที่สำคัญ ตอนขายมันก็ทำได้จริง ไม่เหมือนใครเน้อ......
ไปแก้ตอนขายจริงก็มีครับ
death grip ในตำนานไง
ที่ว่างขายจริง => ที่วางขายจริง
จะไม่ใช่วิธีถ่ายวิดีโอ => จะไม่ใช้วิธีถ่ายวิดีโอ
อ่านเพลินมาก...ขอบคุณครับ ^_^
ปล.
"•iPhone รุ่นต้นแบบตัวที่สองมีหน้าตาคล้ายกับผลิตภัณฑ์ที่ว่างขายจริง" --> "วางขายจริง"
แค่อ่านก็ฟิลแล้วครับ
ไม่ใช้
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ทึ่งอันนี้ "ซอฟต์แวร์ทดสอบบนอีมูเลเตอร์ ทีมงานฮาร์ดแวร์ทดสอบกับซอฟต์แวร์ปลอมๆ"
May the Force Close be with you. || @nuttyi
อ่านจบแล้ว iPhone classic ที่หัวเตียงสั่นขึ้นมาทันที
ตอนนี้ผมตั้งเป็นนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง ถือเป็นของชิ้นนึงที่ควรค่ากับการเก็บรัษาไว้จริงๆ
"บั๊กไอโฟน" ทำคนทั่วยุโรปตื่นสาย!
ผู้ใช้ไอโฟนระวัง! นาฬิกาปลุกไม่ทำงานเช้าวันนี้
นาฬิกาปลุก iPhone ยังมีปัญหาในวันที่ 3 มกราคม
สาววัย 28 ปี สังเวยต่อนาฬิกาปลุก iPhone 4 ด้วยการถูกไล่ออกจากงาน
อีกแล้ว! นาฬิกาปลุก iPhone มีปัญหากับ Daylight saving time
นาฬิกาไอโฟนยังมีปัญหา ปลุกช้าหรือเร็วไปหนึ่งชั่วโมง!
ปัญหาไม่จบ! นาฬิกาปลุก iPhone ทำงานพลาดอีกแล้ว
เอาอีกแล้ว นาฬิกาบน iOS ไม่ปลุก!!!
Monster kill!
หรือว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบด้วย?
/me เผ่น
ขยันขุดมาก - -
May the Force Close be with you. || @nuttyi
เป็นหลักฐานอีกชิ้นนึงที่บอกได้ว่า ไม่ว่าจอบส์อยู่หรือตาย Apple ก็ยังสามารถสร้างบั้กให้เหล่าสาวกได้เสมอ
สมกับฉายา bot จริงๆ ครับ ความทรงจำระดับ petabyte จริงๆ
นอกจากบอทจะตรวจคำผิดได้แล้วยังแนะนำข่าวที่เกี่ยวข้องได้ด้วย!
ผมเริ่มเชื่อว่าเป็นโครงการพัฒนา AI ของ BN จริงๆ แล้วสิ - -"
ทำได้เมื่อไหร่ writer กับ contributor ตกงานกันถ้วนหน้าทันที
lastest news ?
You sir, deserves a spellchecker badge.
Blog | Twitter
latest news
เอาแล้วครับ ไม่ได้ตรวจเฉพาะภาษาไทยแล้วครับ
grammar nazi at her finest
ฟาร์มอยู่นาน กลับมา Kill รัวๆ เลย :P
นี่มัน บรรณารักษ์ดิจิทัลในตำนาน!
botน้อย
อิจฉาคนมี iphone 1 อยากได้มาแขวนเป็นตะกรุด
+1 เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอยากได้มาเก็บไว้บ้าง - -"
สิบปีข้างหน้าอาจได้ราคาดีนะครับ ตามร้านขายของเก่า
แปลสนุกดีครับ
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
อ่านแล้วได้อารมณ์ดีครับ เครียดไปด้วยเลย
ดู Job จะเก่งเรื่องการบริหารโครงการและบังคับให้มันสำเร็จให้ได้มาก
แต่งานแกก็ดูออกมา"เสร็จ"จริงๆเลย
ชอบ comment ใน New York Times บอกว่าพนักงานทำงานเพราะเป็นโรค Stockholm Syndrome
T T
1 2 3 เอ้า กราบ
ขอบคุณสำหรับข่าวนะครับ บอกตรงๆ ว่าเพิ่งตามไปดูการเปิดตัวไอโฟนเป็นครั้งแรก (แบบเต็ม) รู้สึกประทับใจมากๆ คือแบบว่าต้องทำตัวเองให้ย้อนไปในอดีต และก็ต้องคิดว่าตอนนั้นมันไม่มีอะไรบ้าง ดูตอนนี้ก็ยังอินมากๆ
- สาวสตาร์บัคที่รับโทรศัพท์จ๊อบตอนนี้เขารู้ตัวหรือยังครับว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไปแล้ว
- เห็นความร่วมมือระหว่างแอปเปิลกับกูเกิลแล้วประทับใจ อยากเห็นแบบนั้นอีกกับผลิตภัณฑ์ที่จะเปลี่ยนโลกในอนาคต แต่คงไม่มีทางแล้วใช่มั้ย
- ซีอีโอคนอื่นที่ขึ้นไปเป็นแขกบนเวที ทักษะการพูดห่างกับจ๊อบมาก ยิ่งซีอีโอซิงกูลายิ่งแล้วใหญ่ ถือโน้ตไปด้วยเลย (กรุณาอย่าโยงเข้าการเมือง!)
- มีแป้กตรงสไลด์ไม่เปลี่ยนด้วย แต่จ๊อบดึงคนดูโดยเล่าเรื่องตลกซะงั้น
- ตอนโชว์แอพสต๊อกนี่ีมีแต่หุ้นของแอปเปิลที่เขียวอยู่บริษัทเดียว เหมือนจะสื่อว่าเปิดตัวไอโฟนทำให้บริษัทมีแนวโน้มที่สดใส
- อยากให้ smart watch ที่จะผลิดโดยแอปเปิลเป็นสินค้าที่เปลี่ยนแปลงทุกสินค้าในตลาดเหมือนอย่างไอโฟนเคยทำไว้
- รู้สึกว่า Blognone เคยทำแบบสำรวจประมาณว่าสินค้าอะไรที่เป็นนวัตกรรมมากสุด และเคยตอบว่าไอโฟน และตอนนี้ก็ยังคิดแบบนั้น ทั้งๆ ที่ไม่เคยใช้เองเลยสักรุ่น
สาวสตาร์บัค ผมคุ้นๆ ว่ามาลงเป็นข่าวแล้วนะครับ แต่หาไม่เจอ
อัพเดตครับ เจอแล้ว Fastcompany เว็บชื่อดังในสหรัฐได้สืบเข้าไปหาร้าน Starbucks ชื่อดัง แล้วก็ได้พบกับพนักงานสาวคนที่รับสายของสตีฟ จ็อบส์จริงๆ เธอคือ หยิงหางซาง หรือที่ทุกคนเรียกเธอว่า “ฮานนา”
น่ารักซะด้วย
อยากอ่านประวัติ Samsung Galaxy S บ้างจุง ^ ^
ผมกำลังถือให้งานอยู่จนถึงตอนนี้เลยนะครับ พร้อมกับ 4.2.2 stable จาก CyanogenMod
ขอบคุณมากๆเลยฮะ
ทำไมคล้ายๆกัน http://www.macthai.com/2013/10/07/the-story-behind-the-original-iphone/?utm_source=twitterfeed&utm_medium=twitter