สัปดาห์นี้ผมได้ฟังการนำเสนอของคุณ ฮวัง แด ยุน หัวหน้าฝ่ายงานขายและปฏิบัติการ LINE ประเทศไทย ที่งาน OKMD Knowledge Festival 2013 มีสถิติข้อมูลที่น่าสนใจของ LINE หลายอย่าง (โดยเฉพาะข้อมูลของประเทศไทย) เลยนำมาเล่าให้อ่านกันครับ
คำเตือน: รูปเยอะหน่อยนะครับ
คุณฮวัง แด ยุน เริ่มต้นด้วยข่าว LINE มีผู้ใช้งานครบ 300 ล้านบัญชีแล้ว โดยให้ข้อมูลว่าในไทยก็มีผู้ใช้ LINE เกิน 20 ล้านบัญชีแล้ว ถือเป็นประเทศที่มีผู้ใช้มากเป็นอันดับสองรองจากญี่ปุ่นเท่านั้น
ประเทศไทยมีคนใช้ LINE จำนวนมาก จนต้องทำหนังโฆษณาทางทีวีแล้ว
LINE มองตัวเองเทียบกับ social network ระดับโลกอย่าง Facebook/Twitter ทำให้ตลอดการนำเสนอมีการเปรียบเทียบสถิติในแง่มุมต่างๆ กับสองเจ้านี้ตลอด ตัวอย่างภาพข้างล่างคือการข่มว่าอัตราการเติบโตของ LINE 300 ล้านบัญชีนั้นเร็วกว่า Facebook/Twitter ซะอีก
บริษัทขนาดใหญ่ของไทยที่มาเป็นสปอนเซอร์ให้ LINE ตอนนี้มีทั้งหมด 34 บริษัทแล้ว รายชื่อก็ตามภาพที่เห็นครับ น่าจะคุ้นๆ กันหมด
LINE สนใจว่าทำไมบริษัทเหล่านี้ถึงมาแจกสติ๊กเกอร์หรือเปิด official account จึงสอบถามข้อมูลกลับบ้าง ลูกค้าบางรายก็บอกว่า LINE เปรียบเสมือน "ไทยรัฐ" แห่งยุคดิจิทัล
LINE ลองวิเคราะห์คีย์เวิร์ดจากคำที่พูดคุยกับลูกค้า ก็พบว่าคีย์เวิร์ดหลักคือคำว่า Connect ซึ่งก็ตรงกับภารกิจของ LINE อยู่แล้ว
ยุทธศาสตร์ของ LINE ในการทำตลาดประเทศต่างๆ ก็คือเข้ามาใกล้ชิดกับลูกค้าท้องถิ่นให้มากที่สุด ทั้งการเปิดสำนักงานสาขาในประเทศนั้นๆ, ทำเนื้อหาในภาษาของประเทศนั้น และจับมือพาร์ทเนอร์กับธุรกิจท้องถิ่น
ตัวอย่างการทำตลาดของ LINE ร่วมกับแบรนด์ดังในไทย
LINE ในต่างประเทศเริ่มมีการแจกคูปองส่วนลดเพื่อซื้อสินค้าแล้ว บ้านเราก็คงอีกไม่นาน
อย่างที่บอกว่า LINE พยายามเทียบตัวเองกับ Twitter/Facebook ครับ สไลด์ข้างล่างคือการบอกว่ามาเปิด Official Account บน LINE แล้วมีประสิทธิภาพดีกว่าการเปิดเพจบน Facebook หรือเปิดบัญชีบน Twitter นะ
สถิติของ LINE เองบอกว่า ผู้ใช้ 67.9% อ่านข้อความที่ส่งมาโดยบัญชี Official Account ของแบรนด์
แนวทางการตลาดผ่าน LINE เป็นการผสมผสานระหว่างสื่อหลัก (above the line) กับช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่สื่อหลัก (below the line) ออกมาเป็นการอยู่ตรงกลางหรือ through the line
LINE เป็นผู้บุกเบิกเรื่องการส่งสติ๊กเกอร์ ซึ่งตอนหลังคู่แข่งก็หันมาทำตามกันหมด โดยจุดเด่นของสติ๊กเกอร์คือเป็นการแสดงอารมณ์ที่บรรยายเป็นข้อความได้ยาก
การที่แบรนด์หันมาแจกสติ๊กเกอร์ยังเป็นการช่วยผลักดันให้ Offical Account มีคนติดตามมากขึ้น และสร้างความตระหนักรู้ถึงแบรนด์ด้วย
สถิติในไทย: เมืองไทยประกันชีวิต มียอดดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ 1.5 ล้านครั้งในวันแรก
สถิติในไทย: โออิชิ แจกสติ๊กเกอร์วันแรกมีคนส่งกัน 5.3 ล้านครั้ง
สถิติในไทย: สติ๊กเกอร์อุ่นใจของ AIS มียอดดาวน์โหลด 4.3 ล้านครั้งในเดือนมีนาคม 2013
LINE เริ่มเปิดบัญชี "LINE ประเทศไทย" เองแล้ว และก็พยายามผลักดันฟีเจอร์อย่าง Official Home ผ่านช่องทางเหล่านี้
ฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่กำลังรอทำตลาดก็มี LINE On-Air ที่เปิดให้แบรนด์มาสร้างปฏิสัมพันธ์แบบสดๆ กับลูกค้า เช่น ขายตั๋วหนังหรือคอนเสิร์ตแบบระบุช่วงเวลาขาย, สามารถแชทคุยกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ได้
สถิติในไทย: Kbank ใช้ฟีเจอร์ Official Home สามวัน มีคนติดตามเกิน 4 ล้านคน และคนกดไลค์โพสต์สูงสุด 8.2 หมื่นครั้ง
LINE แนะนำว่าช่องทางออนไลน์อย่างเดียวอาจจะไม่พอ ก็ควรมีช่องทางออฟไลน์ประกอบกันด้วย
สถิติในไทยอีกอันของเครือ Major ที่เปิด Official Account มาสักพักแล้วค่อยแจกสติ๊กเกอร์ พบว่าหลังแจกสติ๊กเกอร์แล้วมีผู้ติดตามเพิ่มพรวดถึง 5 ล้านคน
สถิติของบัญชี LINE Thailand เอง มีผู้ติดตามแล้วเกือบ 9 ล้านคน
เปรียบเทียบการโพสต์ข้อความเดียวกันในวันลอยกระทง ระหว่างบน LINE Official Account กับบน Facebook พบว่าต่างกันมาก (คนไลค์บน LINE 6.7 หมื่นครั้ง, บน Facebook ประมาณพันครั้ง)
โดยสรุปแล้ว ยุทธศาสตร์ของ LINE คือใช้ท่าไม้ตายสามเส้าประกอบกัน ระหว่างการสื่อสาร (แชท), การเปิดช่องทาง (Channel หรือ Official Account) และฟีเจอร์อย่าง Home/Timeline
จุดเด่นของการตลาดผ่าน LINE คือการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับธุรกิจได้ดีมากๆ นั่นเอง
Comments
แต่ที่ทั้ง line และ facebook เหมือนกัน คือเด้งทุกๆสิบครั้งของการเปิด
แต่ประสบการณ์การใช้งานบน windowsphone ยังไม่ค่อยดีเลย :(
ใช่ซี้~~~~ :P
line มันไม่ใช่ไทยรัฐนะครับ มันเหนือกว่าไทยรัฐเยอะครับ
ไทยรัฐ คุณต้องวิ่งไปหา ต้องไปเปิด เมื่อคุณสนใจ
แต่ Line จะโผล่มาที่คุณตลอด ไม่ว่าคุณจะอยากรู้หรือไม่ก็ตาม
คนบางคนคุณก็ block ไม่ได้ leave group ไม่ได้ และเค้าพร้อมจะเอาเรื่องที่คุณไม่อยากรู้มาใส่หัวคุณ
ดังนั้น มันมีพลังมากกว่าไทยรัฐเยอะครับ
คนละเรื่องเดียวกันเลยครับ
Line มันเหมือน Whats app มากกว่า ไปเทียบกับ Twitter และ Facebook ที่เป็นเหมือน Media feed ไปแล้ว มันเทียบกันไม่ได้หรอก
ยังกับเทียบโทรศัพท์กับทีวี แล้วบอกว่า"คุณใช้เวลากับโทรศัพท์มากกว่าทีวี"
แต่โทษทีครับท่าน เวลาผมดูทีวี ผมไม่ได้จะใช้โทรศัพท์ เวลาผมยกโทรศัพท์ขึ้นมา ผมก็ไม่ได้เรียกร้องประสบการณ์เดียวกับทีวี
ทีสำคัญ ก่อนอื่น ทำLine Store ให้ Windows Phone ก่อนได้ไหม? ถ้าจะโม้ ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ให้ใกล้เคียงชาวบ้านหน่อยเถอะ ตอนนี้ไม่ไหวจะเพลียล่ะ หรือไม่อยากได้เงินคนใช้WPกันแน่?
Feature ที่ใช้เรียกแขก (จำนวน user) อาจเหมือน WhatsApp คือการแชทซึ่งไม่เหมือน FB, Twitter แต่ที่เหมือนกันคือโมเดลธุรกิจที่ให้องค์กรมาใช้เพื่อสื่อสารกับลูกค้าน่ะครับ เงินก็มาจาก Official Account พวกนี้ ก็ต้องโฆษณาว่า Line ใช้สื่อสารได้เข้าถึงลูกค้ามากกว่า FB, Twitter สิครับ
ผมว่าเทียบได้นะ
ผมว่าเทียบกันได้นะ แล้ว line ก็ feed เหมือนกัน
ถึงไม่มีก็เทียบกันได้ เพราะเค้าพูดถึงบริษัทต่างๆ ที่ต้องการสื่อถึงกลุ่มลูกค้า ซึ่งก็ใช้ line ในการสื่อถึงได้
แล้วเค้าโม้ตรงไหนครับ เค้าเอาสถิติมาพูด
Line ค้นได้ไหมครับ ทำTrending ได้ไหม? ทำ Timeline แบบ searchable ได้ไหม คือ พวกนี้ต่อให้ทำได้ แต่ต้องยอมรับว่า มันไม่ตรงกับธรรมชาติของLineเลย
ที่ผมมองคือตรงนี้แหละครับ คุณมี Official Account ไปก็งั้นๆ ถ้าคนไม่กดไปดู มันก็แค่ขยะรกจอ
แต่ในด้าน Twitter, Tumbler, Instagram, Facebook พวกนี้มีลักษณะเป็นFeedในตัวที่มีระบบค้นหาข้อมูลแบบGlobalมาให้ ทำให้สร้างกระแสได้ง่ายกว่ามาก
ตอนนี้ Lineทำได้แค่ช่องทางติดต่อ ซึ่งมันไม่ต่างกับช่องประชาสัมพันธ์/แนะนำ/รับความเห็นทั่วไป สร้างค่านิยมอะไรไม่ได้เลย และสำหรับยุค Social media แล้วตรงนี้แหละที่มีค่าที่สุด
ผมเห็นว่า Line สร้างความแตกต่างตัวเองได้ดี แต่ความฝันจะขยับขยายไปกินตลาด Twitter กับ Facebook มัน ยากส์น่ะครับ เพราะธรรมชาติของ Line เป็นแค่ Messenger app ยกเว้นว่า ขยายเป็นแนวInstagram ไปด้วย แต่แบบนั้น ผู้ใช้ควรมีหน้าหลักให้ตัวเองเสียก่อนด้วย ซึ่งตอนนี้ Lineยังพัฒนาไม่ถึง ส่วนแนว Snapchat ผมว่าคนคงไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
ผมเข้าใจว่า เขาคงพยายามโยงถึงในส่วนที่คนสามารถไป Like/Follow เพื่อรับข่าวสาร (โฆษณา) จากแบรนด์โดยตรงน่ะครับ อันนี้แล้วแต่มุมมอง ว่ามาจากมุมไหน
ด้วยความที่มันเป็น private message ก็เลยทำให้มันมีข้อจำกัดด้านการแพร่กระจายอย่างที่ท่านว่าครับ ผมเองมองว่ามันเป็น model แบบเดียวกันกับ sms หรือ email โฆษณา แต่ใกล้ตัวกว่า
ผมไม่เคยเปิดอ่าน official account เลย...มีติดไว้ 2-3 เฉพาะอันที่ใช้ประจำจริงๆ แล้วปิดเสียง+ปิดเตือน (แต่ก็แทบไม่เคยเปิดอ่านอยู่ดี)
ผมโหลดติกเกอร์ฟรีแล้วก็บล๊อคไว้เลย
ผมก็ทำเช่นกัน คนรอบข้างผมก็ทำ และเชื่อว่าอีกหลายๆคนก็คงทำเหมือนกัน ooops!
ผมไม่ทำ ไม่บล๊อคนะ
ปล่อยให้มาเด้งๆ มาเยอะๆ รกๆ เพราะถ้าจะซ่อนใบไม้มันต้องซ่อนในป่า
หุหุหุหุหุหุ
จะมีบางคนเท่านั้นที่เข้าใจ หึหึ
ผมเคยบล๊อคจนได้รู้ว่า Mc มีส่งโปรโมชั่นมาให้ทาง Line ด้วย เลยเลิกบล๊อค
ทางด้านแชทผมคิดว่า Facebook messenger, Hangout ดีกว่าครับ มี client ทั้งมือถือ,เว็บ,PC สามารถ login พร้อมกัน ย้ายไปเล่นเครื่องไหนก็ได้ ซึ่ง Line ทำไม่ได้ (ทำได้แค่ login บนโทรศัพท์ กับ PC พร้อมกันได้แค่นั้น) แถมเรียกดูประวัติการแชทย้อนหลังลำบากอีก ไม่ sync กันเหมือนเจ้าอื่นๆ
ขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆเช่น สมมติว่าผมลง Line แล้วคุยกับเพื่อน เมื่อย้าย Line ไปลงเครื่องใหม่ประวัติการสนทนาจะหายหมด (แต่สามารถสำรองเป็นไฟล์ไว้ได้) ซึ่งต่างจาก Facebook messenger หรือ Hangout ที่ยังเก็บประวัติไว้บน server)
จุดบอดใหญ่ของ Line ก็ตัวนี้อันนึงล่ะครับ การไม่true cross-platformมันทำให้ความสะดวกลดลงมากเกินไป
ตอนแรกผมดูถูก Facebook Messenger มาก แต่บังเอิญไปตรงกับการปิดตัวของ MSNพอดี เลยทำให้คนที่ใช้MSN หันมาใช้กันหมด แถม MSNมันไม่มี mobile client แต่ Facebook มี ก็เลยสะดวกสุดๆเลย
แต่เทียบกันแล้ว ผมว่า MSN มันเตือนอะไรดีกว่าMessaging หลายๆตัวเลยนะ MSไม่น่ารีบเปลี่ยนเป็น Skypeเลยเพราะนี่ฟีเจอร์เที่ยบไม่ได้เลย
ตอนนี้ผมว่า Hangout เทพสุด ยกเว้นไม่มี sticker กับไม่มีเพื่อนใช้
ผมอยากรู้จำนวน % ของผู้ที่แอด Official Account แล้วบล็อกมากกว่า ว่าเปอร์เซนต์มากน้อยแค่ไหน
อีกอย่างนึงคงเช็คไม่ได้ คือคนอ่านจริงๆ หรือเปล่า อย่างผมเองเปิดให้ Notification Number หายไป แต่ไม่ได้อ่าน
คงเป็นสิ่งที่พูดไม่ได้น่ะครับ แบรนด์รู้เข้าเค้าคงคิดว่าไม่คุ้มกับ x,xxx,xxx ที่จ่ายไป!!
จริงๆ น่าจะเช็คแล้วนะ เพราะมันมีระบบตรวจจับว่าอ่านอยู่แล้วนิ
แต่บางเรื่องคงพูดไม่ได้
ผมว่าตัวเลขน่าจะเกิน 50% เสียด้วยซ้ำไปครับ เพราะคนรอบข้างผมส่วนใหญ่โหลด Sticker เสร็จกดกีดกันทุกราย
ผมคนเดียวมี Line 3 ID
ไม่รู้คนอื่นมีแบบผมไหม 555
ระบบ คูปอง มีใช้แล้วนะคับในไทย
บลาๆๆ แต่ SME ใช้ไม่ได้ ไม่สนใจครับ
มันก็จริงครับ ถ้าหาก LINE เปิดให้กับ SME มากขึ้นโอกาสน่าจะโตขึ้น
แต่ LINE เองก็ต้องรักษาความเป็น Premium ของเขาเหมือนกัน ถ้าปล่อยให้ SME ผ่านแบบไม่สนใจผมเกรงว่ามันจะมีแต่ขายในกลุ่มลูกโซ่หนะสิครับ
ความเห็นส่วนตัวล้วนๆครับ
มันมีหลายวิธีครับที่จะเปิดให้ SME ใช้เป็นเครื่องมือทำธุรกิจได้แบบไม่สแปม
อย่างน้อยๆ ก็เปิดเครื่องมือให้บริการคอนแทค/โต้ตอบได้แบบ business account ก็ทำเป็น CRM platform ย่อยๆ ได้แล้ว ให้จ่ายเดือนละ 100 เหรียญก็เอา เพราะมันเป็นแพลตฟอร์มติดต่อที่ลูกค้าสะดวกและยินดีที่สุด
มันยังพัฒนาไม่สุด แต่เขาก็บอกอะไรไว้แล้วแหล่ะ แต่ผมชอบ Business Model ของ Line มากกว่าตัวอื่นนะ เพราะเขามีโมเดลรายได้ที่ชัดเจน ทำให้น่าลงทุนมากกว่า Social ตัวอื่น ทีต้องไปลุ้นคืนทุนตอนเข้าตลาด
+1
คนอื่นมองไงผมไม่รู้นะ แต่ผมมองว่า line คือ แอพส่งข้อความ+ที่ชวนเกมน่ารำคาน แค่นั้น ส่วนเรื่อง fb นี่ เอามาเทียบกันยังไงนิ >"< คนละเรื่องเลย หน้า home มีก็เหมือนไม่มี มันไม่เหมือนเฟสกับทวิตเลย เหมือนกะที่เค้าเถียงกันข้างบนแหละ คือส่วนใหญ่คงมองว่าแค่เป็นแอพคุยกันได้ก็เรียกว่า social network เทียบกะ fb tw ig ไรได้ละ ซึ่งจิงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันเรียก Social Network ได้ป่าว
line บนคอมผมแครชรัวๆ
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ผมใช้ line แค่เพราะคนอื่นเขาไม่ใช้ app อื่นๆเท่านั้นแหละ
จริงๆ ผมว่า app อื่นเมพกว่ามีอีกพอตัวเลยนะ แต่ใช้แล้วไม่ค่อยมีคนคุยด้วย
คนไทยก็งี้แหละครับ ใช้อะไรก็มักจะใช้ตามๆกัน ไม่งั้นมันไม่มีเพื่อนหนะครับ