Terry Myerson ยังอธิบายยุทธศาสตร์การสร้างฮาร์ดแวร์ของไมโครซอฟท์ในช่วงหลัง เขาบอกว่าไมโครซอฟท์ผลักดันตัวเองให้ทำฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ อย่าง Surface Studio หรือ HoloLens แต่อุปกรณ์เหล่านี้มีราคาแพงระดับ 3,000 ดอลลาร์ ตลาดจึงจำกัด
ขั้นถัดไป ไมโครซอฟท์จะกระจายเทคโนโลยีเหล่านี้ผ่านพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ เพื่อให้มีอุปกรณ์ลักษณะเดียวกันในทุกระดับราคา (ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นกับแว่น HoloLens ราคา 299 ดอลลาร์) เขาบอกว่าคนไม่จำเป็นต้องใช้สินค้าแบรนด์ไมโครซอฟท์ แต่ใช้สินค้าที่เกิดจากความร่วมมือของไมโครซอฟท์กับพาร์ทเนอร์เสียมากกว่า
เขายังอธิบายว่าการสร้างฮาร์ดแวร์ระดับ Surface Book หรือ Surface Studio จำเป็นต้องทุ่มเทกับมันอย่างจริงจัง ต้องมีฝ่ายฮาร์ดแวร์ทำงานเรื่องนี้เฉพาะ ไม่ใช่แค่โครงการทดลองขนาดเล็กๆ อีกต่อไป
ที่มา - ZDNet
Comments
ชอบแนวคิดจัง
ผมรอเครื่องประมาณนี้แต่ใช้ CPU สัก i3 แต่ก็ไม่เห็นมี มีแต่ Atom เกลื่อน
I need healing.
ตัวกลางนี่รุ่นอะไรครับ
surface book ครับ
งานนี้พาร์ทเนอร์ต้องคิดหนักหน่อยละ เล่นให้พาร์ทเนอร์ทำแต่ตลาดล่างกลางมาร์จินอาจจะต่ำกว่าตัวท๊อปๆก็ได้
เห็นด้วยเลย คงจะมีคนทำเนอะ
ถ้าทำ hi-end แต่มีของให้ว้าวกว่านี้อีกก็ยังพอเป็นไปได้นะครับ
ต่อให้ทำไฮเอนท์มายังไงก็ได้ราคาต่ำกว่าไมโครซอฟท์ครับเพราะพาร์ทเนอร์ส่วนใหญ่เป็นตลาดแมสกันอยู่แล้ว ผมว่าไมโครซอฟท์ไม่ทำสิคิดหนักครับเพราะไม่รู้ว่า OS ตัวนั้นทำได้มากแค่ไหนต่อให้คุยก็ยังไม่เห็นภาพเท่าเจ้าของผลิตภัณฑ์ครับ ใครจะไปคิดว่าไมโครซอฟท์จะออกไอกลมๆหมุนได้ ถ้าพาร์ทเนอร์ทำนอกจากต้องทำซอฟท์แวร์เองแล้วยังต้องหาพาร์ทเนอร์สายซอฟท์แวร์อีกโอกาสจะมีมันต่ำมาก ลองดูสมัยที่เป็น Windows 8 แล้วเริ่มแนวคิดทัชสกรีนใหม่ๆสิครับ ถ้าไม่มี Surface ออกมาละก็โน็ตบุ๊คในปัจจุบันคงจะมีแต่จอทัชสกรีนโง่ๆไว้ปาดไปปาดมา
ไปเล่นตลาดสูงเหมือนกันแต่ทำอะไรให้ดีกว่าก็ได้ครับ แบบใช้ปากกา Wacom แทน หรือเพิ่มอย่างอื่น ขายเท่ากันหรือถูกกว่านิดนึงก็ได้อยู่แล้ว เพราะตั้งราคามา Overrate ไว้แล้ว สเปคก็ตกรุ่น พาทเนอร์ทำของมาตัดราคาก็ยังได้กำไร
อีกอย่าง surface ทำมาเป็นไกด์ให้พาทเนอร์ทำลอกอยู่แล้ว ต่อให้ขายไม่ออกโดนพาทเนอร์แย่งตลาด กำไรก็ยังเข้า MS อยู่ดี แบบ surface pro ไงครับ ยอดขายไม่ได้หวือหวาตกลงเรื่อยๆ เพราะแพง แต่ตลาดนี้โตเยอะเลยเพราะพาทเนอร์ขายได้
พาร์ทเนอร์ทำทุกระดับราคา
ในบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มมีอธิบายไว้ครับ
ถึงจะอย่างนั้น แต่ก็ยังดีกว่าที่พาร์ทเนอร์จะไปคิดและพัฒนาต้นแบบเองนะครับ
Partner เลือกได้ด้วยตัวเองครับว่าจะทำออกมาใน position ไหนของตลาด
แต่ปัจจุบันการแข่งขันด้านราคามันสูง และผู้บริโภคส่วนใหหญ่ก็เป็นกลุ่ม price sensitive เลยต้องเน้นราคาถูกมาเป็นหลัก
ไม่ซื้อMicrosoft เพราะแรงแพง...แต่ใช้งานPartner เพราะถูก...สุดท้ายผลMicrosoft
จริงแล้วที่ MS ทำแบบนี้ได้เพราะเป็น Open System ครับ ถ้าเป็น Close System แบบ MAC ทำไม่ได้หรอก
แต่เพราะเป็น Open System เลยออกอะไรแบบนี้ได้ ทำต้นแบบแล้วให้คนอื่นลอก กำไรกลับมาเหมือนเดิมหรืออาจจะน้อยลงแต่ก็มีกำไรเรื่อยๆ
สร้างนวัตกรรมหรืออุปกรณ์ดีๆเป็นต้นแบบแล้วให้คนอื่นทำตาม เปิดทางให้ผู้บริโภคมีโอกาสซื้อของตามความต้องการของตัวเองจริงๆก็ดีครับ
เอา 3dfx เป็นตัวอย่าง
ถ้าพาร์ทเน่อ จัด เสปค เทพเข้าไปอีก นี่ก็น่าจะสนุกเลยนะ
มัน Win-Win ทั้งคู่
ฝั่ง Microsoft ก็ได้ระบายนวัตกรรมต่างๆ ที่ตัวเองมีอยู่ในแล็ป ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ต่างๆ ที่ทาง Partner ต้องจ่ายเพื่อใช้งาน
ฝั่ง Partner ก็ได้แนวคิดไอเดีย หรือลอกมาเลย ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เพราะยังไงก็ต้องจ่ายอยู่ดี แบบนี้ได้ประโยชน์กว่า ไม่ต้องคิดเอง ไม่ต้องจัดงานโหมโปรโมทอะไร มีลิขสิทธิ์ สิทธิบัตรของ Microsoft คุ้มหัวอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวใครฟ้องหรือเรียกเก็บส่วนต่างข้ามค่าย
ผมว่าคิดถูกมากครับ ที่ออกอุปกรณ์ High-End มา อย่างน้อยๆ ภาพลักษณ์ของ OS มันดูดีขึ้นนะครับ ยิ่ง + productivity ในเรื่องของงาน Art เข้าไปในโฆษณาด้วยยิ่งเจ๋งครับ
positivity
อย่างที่ MS ว่าแหละ พวกนี้ทำกันเล่นไม่ได้ ตั้งแต่ Surface Pro แล้วครับ
มันต้องทุ่มเทเค้นความคิดขนาดไหนกว่าจะงัดออกมาแล้วใช้งานได้
MS เป็นเจ้าของ Windows ย่อมรู้ดีว่า OS ตัวเองทำอะไรได้บ้าง ทำเป็น Prototype ที่ใช้งานจริงๆได้เองดีกว่าแล้วขาย idea / OS ให้คนอื่นเอาไปทำต่อ
ผมว่าการที่ MS ซื้อ n-trig เองก็เพื่อพัฒนาต้นแบบของตัวเองด้วยเช่นกัน ส่วน Partner จะวิ่งไปขอ Wacom Pen มาใช้ MS ก็คงไม่ว่าอะไร (มั้ง)
จริงๆก็คล้ายๆโมเดล Android + Nexus นะครับ