เว็บไซต์ Re/code รายงานว่า IHS iSuppli บริษัทวิจัยที่มักจะมีการประเมินราคาต้นทุนของสินค้าหลายๆ ตัวที่เพิ่งจะเปิดตัวในตลาด ได้ออกมาประเมินราคา Galaxy 6 edge ของซัมซุง ที่เพิ่งจะเริ่มขายจริงจังไปได้ไม่กี่วัน โดยระบุว่าต้นทุนนั้นสูงมาก จนอาจจะถือได้ว่าเป็นโทรศัพท์มือถือที่มีต้นทุนสูงที่สุดของซัมซุงที่เคยผลิตมา

IHS iSuppli ประเมินต้นทุนค่าฮาร์ดแวร์ของ Xbox One พบว่าอยู่ที่ 471 ดอลลาร์ แพงกว่าคู่แข่ง PS4 ที่ประเมินต้นทุน 381 ดอลลาร์ (ส่วนต่าง 90 ดอลลาร์ ประเมินโดยบริษัทเดียวกัน)

ต้นทุนที่แพงกว่ากันส่วนใหญ่มาจากค่า Kinect ที่ iSuppli คาดว่ามีค่าตัว 75 ดอลลาร์ ส่วนตัวหน่วยประมวลผล Jaguar ของ AMD ที่ไมโครซอฟท์เลือกใช้นั้นมีราคา 110 ดอลลาร์ (แพงกว่ารุ่นของ PS4 อยู่ 10 ดอลลาร์) ในขณะที่ค่าแรม DDR3 ที่ไมโครซอฟท์ใช้ก็ถูกกว่าแรม GDDR5 ของ PS4 ตามที่หลายคนคาด

ธรรมเนียมการแกะของเปิดตัวใหม่เพื่อหาต้นทุนการผลิตนั้นมีมานานแล้ว และก็ถึงคิวของ PS4 เครื่องเกมคอนโซลจาก Sony ที่เพิ่งทำยอดขายไปได้ถล่มทลายถึง 1 ล้านเครื่องในวันแรก ว่ายอดขายนี้จะยิ่งทำให้ตัวแดงมากขึ้น หรือจะทำกำไรกันแน่ครับ

โดยตัวเลขดังกล่าวมาจาก iHS iSuppli เจ้าเก่าที่ประเมินราคาของ PS4 รวมๆ ออกมาถูกกว่าราคาขายจริงเล็กน้อยที่ 381 เหรียญ โดยชิ้นส่วนที่แพงสุดตกเป็นของชิป APU ของ AMD ที่ 100 เหรียญ รองมาเป็นเมมโมรี่ GDDR5 สิบหกเม็ดที่ 88 เหรียญ

ชิ้นส่วนของ PS4 ที่น่าสนใจหน่อยก็เป็น HDD จาก Seagate, ชิปเสียงจาก Wolfson Micro

เป็นธรรมเนียมของสินค้าแอปเปิลที่หลังวางขายจะต้องถูกแยกชิ้นส่วนเพื่อหาต้นทุนการผลิต และตอนนี้แท็บเล็ตรุ่นใหญ่ตัวใหม่อย่าง iPad Air ก็ถูกประเมินต้นทุนโดย IHS Suppli เป็นที่เรียบร้อย

เริ่มต้นกันที่ต้นทุนรวมโดยประเมิน iPad Air ต้นทุนทั้งหมดอยู่ที่ 274 เหรียญ (ประมาณ 8,500 บาท) ในรุ่นถูกสุด และ 361 เหรียญในรุ่นแพงสุด เทียบกับรุ่นก่อนหน้าแล้ว iPad Air ถูกกว่าถึง 42 เหรียญด้วยกัน

ชิ้นส่วนที่แพงสุดของ iPad Air ยังคงเป็นหน้าจอที่ต้นทุน 90 เหรียญ (ผลิตโดยแอลจี และซัมซุง) รองมาเป็นส่วนควบคุมหน้าจอสัมผัสที่ 43 เหรียญ และชิปของ Qualcomm แพคมากับโมเด็ม LTE ต้นทุนอยู่ที่ 32 เหรียญ สำหรับชิป A7 นั้นต้นทุนอยู่ที่ 18 เหรียญ ซึ่งถูกลงจากรุ่นก่อนหน้าเช่นกัน

iSuppli ที่ก่อนหน้านี้ได้เผยต้นทุนชิ้นส่วนของ iPhone 5 และ iPhone 4 มาแล้ว ได้รายงานว่า หลังจากที่ได้วิเคราะห์ชิ้นส่วนภายในต่าง ๆ ของ iPhone 5s พบว่าต้นทุนชิ้นส่วนของ iPhone 5s รุ่น

เพิ่งโดนแกะตัวเครื่องดูชิ้นส่วนภายในและการประกอบของ Moto X ไปได้ไม่กี่วัน มือโปรประเมินราคาอย่าง IHS iSuppli ก็ออกมาเผยราคาคร่าวๆ ของ Moto X ซึ่งออกมาอยู่ที่ 221 เหรียญ (ประมาณ 7,100 บาท)

ชิ้นส่วนที่แพงสุดของ Moto X นั้นเป็นหน้าจอขนาด 4.65" จากซัมซุงที่ค่าตัว 64.50 เหรียญ รองลงมาเป็นชิปประมวลผล Snapdragon S4 ที่นำมาใช้ร่วมกับชิป X8 ของโมโตโรลาเองต้นทุนอยู่ที่ 28 เหรียญ รวมกับชิปอีกสองตัวจาก TI ทำให้ราคาของ X8 อยู่ที่ราวๆ 32-33 เหรียญนั่นเอง ส่วนที่เหลือเป็นพวกเซนเซอร์ และชิป Wi-Fi, Bluetooth ที่รวมกันแล้วได้ประมาณ 43 เหรียญ

รายงานล่าสุดจาก iSuppli บอกว่าต้นทุนชิ้นส่วน Galaxy S4 ของซัมซุงอยู่ที่เครื่องละ 237 ดอลลาร์ หรือประมาณ 6,970 บาทต่อเครื่อง โดยข้อมูลนี้มาจากการวิเคราะห์ชิ้นส่วนทีละชิ้น และไม่รวมต้นทุนเรื่องการวิจัยและพัฒนา

ราคาต้นทุนนี้ เป็นราคาของเครื่อง Galaxy S4 รุ่นที่ 32GB ที่วางขายในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่รุ่นที่วางขายนอกสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงกว่าเล็กน้อยที่เครื่องละ 245 ดอลลาร์เพราะชิปที่ซัมซุงทำเองมีต้นทุนสูงกว่าชิปจาก Qualcomm

เพื่อเป็นการเปรียบเทียบ ต้นทุน iPhone 5 รุ่น 32GB อยู่ที่ 209 ดอลลาร์สหรัฐ (อ่านข่าวเก่า) แม้ว่าตัวเครื่องจะไม่ได้ทำจากพลาสติกก็ตาม

หลังจากซัมซุงเปิดตัว Galaxy S4 สมาร์ทโฟนตัวท็อปปี 2013, ใช้ซีพียูแปดคอร์ตัวแรกของโลกไม่นานมานี้ทาง iSuppli เจ้าเก่าจอมแกะฮาร์ดแวร์เพื่อประเมินต้นทุน ออกมาประเมินแล้วว่าต้นทุนฮาร์ดแวร์ของ Galaxy S4 ได้สองรุ่นดังนี้

• Galaxy S4 (HSPA Version) อยู่ที่ 236 ดอลลาร์ เมื่อรวมกับค่าประกอบเครื่องแล้วจะอยู่ที่ 244 ดอลลาร์ (7,320 บาทไทย อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์)

 

IHS iSuppli เผยผลประเมินต้นทุนการผลิต Samsung Galaxy S4 รุ่น Exynos/HSPA+ ที่ขายนอกสหรัฐว่าต้นทุนค่าวัสดุ (bill of material) อยู่ที่ 236 ดอลลาร์ต่อเครื่อง ถือว่าสูงกว่าต้นทุนค่าวัสดุของ Galaxy S III อยู่ 30.40 ดอลลาร์หรือประมาณ 15%

จุดหลักๆ ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นคือหน่วยประมวลผล Exynos 5 Octa ที่แพงกว่า Exynos 4 Quad ถึง 12.50 ดอลลาร์ และหน้าจอ 5" 1080p ที่แพงกว่า 4.8" 720p อยู่ 10 ดอลลาร์ ส่วนต้นทุนอย่างอื่นเป็นเรื่องของเซ็นเซอร์ต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน S4

โนเกียเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่มียอดขายรวมสูงสุดมาตั้งแต่ปี 1998 แม้เราจะเห็นโนเกียผิดพลาดในตลาดสมาร์ตโฟนอยู่หลายครั้ง แต่ในความเป็นจริงโทรศัพท์ฟีเจอร์โฟนของโนเกียก็ยังขายดีเสมอมา จนกระทั่งปีนี้ที่ซัมซุงเริ่มทำยอดขายไล่มาเรื่อยๆ

ตัวเลขของปีนี้ยังไม่สรุปชัดเจน แต่ iSuppli ก็คาดว่าซัมซุงจะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 29% แซงหน้าโนเกียที่เหลือส่วนแบ่ง 24% ขณะที่แอปเปิลยังครองอันดับสามด้วยส่วนแบ่ง 10% ส่วน ZTE และ LG ตามมาด้วยส่วนแบ่ง 6% และ 4% ตามลำดับ

ปีที่แล้วโนเกียมีส่วนแบ่งโทรศัพท์มือถือ 30% ตามมาด้วยซัมซุง 24% แอปเปิล, ZTE, และ LG มีส่วนแบ่ง 7%, 6%, และ 6% ตามลำดับ

ถ้านับตัวเลขเป็นรายไตรมาส ซัมซุงมียอดขายมือถือรวม (ฟีเจอร์โฟน+สมาร์ทโฟน) ชนะโนเกียมาหลายไตรมาสแล้ว แต่ถ้านับตัวเลขรวมทั้งปี บางสำนักยังให้โนเกียเป็นแชมป์ของปี 2011 อยู่

พอมาถึงปี 2012 รวมตัวเลขแล้วก็ไม่ผิดคาดครับ สถิติของ IHS iSuppli ซัมซุงแซงโนเกียขึ้นมาเป็นแชมป์รายใหม่ มีส่วนแบ่งตลาดมือถือทั้งหมด 29% เบียดโนเกียลงมาที่ 24% (ตัวเลขของปีที่แล้วคือ 24% กับ 30%) อันดับที่เหลือคือแอปเปิล 10%, ZTE 6%, LG 4%

เป็นที่รู้กันดีกว่าสินค้าของแอปเปิลมักจะมีส่วนต่างกำไรค่อนข้างสูง จากการแยกชิ้นส่วนภายในมาตรวจสอบราคา และดูเหมือนว่าหน้าใหม่วงการแท็บเล็ตอย่างไมโครซอฟท์ที่เพิ่งขายแท็บเล็ต Surface RT ก็เดินตามรอยแอปเปิลไปแล้ว

ข้อมูลจาก IHS iSuppli ที่ได้แยกชิ้นส่วน Surface RT รุ่น 32GB เผยต้นทุนส่วนประกอบอยู่ที่ 284 เหรียญ ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนของ iPad ที่ความจุเท่ากันอยู่เล็กน้อย

ส่วนที่แพงที่สุดของ Surface RT คือหน้าจอที่ต้นทุนราว 101 เหรียญ รองมาคือส่วนกลไกในตัวเครื่อง และชิปเมมโมรี่ โดยเทียบกับราคาขายที่ 599 เหรียญ จะเห็นว่าไมโครซอฟท์ควรจะได้กำไรต่อเครื่องที่ 315 เหรียญเป็นอย่างน้อย

IHS iSuppli เผยว่า ต้นทุนผลิต Surface with Windows RT รุ่น 32 กิกะไบต์ กับ Kindle Fire HD ดังนี้

• Surface with Windows RT รุ่น 32 กิกะไบต์ มีต้นทุนที่ 271 ดอลลาร์ หรือราว 8,300 บาท โดยชิ้นส่วนจากซัมซุงอย่างหน้าจอ หน่วยความจำ และแบตเตอรี่นั้นมีต้นทุนรวมที่ 137 ดอลลาร์ หรือครึ่งหนึ่งของต้นทุน Surface รุ่น 32 กิกะไบต์ ส่วน Touch Cover เพียง 16 ดอลลาร์ หรือราว 490 บาทเท่านั้น
• Kindle Fire HD มีต้นทุนอยู่ที่ 165 ดอลลาร์ หรือราว 5,055 บาท

อนึ่ง ราคาขาย Surface with Windows RT รุ่น 32 กิกะไบต์ แบบไม่มี Touch Cover อยู่ที่ 499 ดอลลาร์ ส่วนราคาของ Touch Cover แยกขายต่างหาก อยู่ที่ 120 ดอลลาร์ และราคาขาย Kindle Fire HD อยู่ที่ 199 ดอลลาร์

IHS iSuppli ได้ประเมินต้นทุนเฉพาะชิ้นส่วน ไม่รวมต้นทุนอื่น ๆ เช่นแรงงาน, วิจัย-พัฒนา, และการตลาดของ iPad mini รุ่น 16GB อยู่ที่เครื่องละ 188 ดอลลาร์ หรือประมาณ 5,800 บาท โดย iPad mini รุ่นนี้วางขายโดยแอปเปิลเครื่องละ 329 ดอลลาร์ (ในเมืองไทยเครื่องละ 11,200 บาท)

ในรายงานเผยว่า 43% ของราคาต้นทุนนี้มาจากจอภาพ ที่ได้ใช้วิธีผลิตแบบใหม่ที่รู้จักกันในชื่อว่า GF2 ที่สามารถทำให้จอภาพออกมามีขนาดบางกว่าเดิม โดยเชื่อว่าต้นทุนในส่วนนี้จะลดน้อยลงเมื่อแอปเปิลได้เดินสายการผลิตไปซักพัก จากขั้นตอนการผลิตที่ดีขึ้น หรือ yield rate ที่ดีขึ้น

IHS iSuppli ออกมาประเมินยอดขายส่งฮาร์ดดิสก์ตลอดทั้งปี 2012 อยู่ที่ 524 ล้านตัว โตขึ้น 4.3% จาก 502.5 ล้านตัวในปีที่แล้ว (นับเฉพาะฮาร์ดดิสก์พีซี-เดสก์ท็อป-โน้ตบุ๊ก ไม่นับเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจ)

ตัวเลข 524 ล้านถือว่าทำลายสถิติยอดขายฮาร์ดดิสก์ในอดีต แต่ IHS ก็ระบุว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี จนไปถึง 575.1 ล้านตัวในปี 2016

IHS ให้ข้อมูลว่ายอดขายฮาร์ดดิสก์ที่เติบโตเป็นผลมาจากตลาดผู้ใช้พีซีที่ต้องการเก็บข้อมูลมากขึ้น (เป็นผลมาจากการบูมของสื่อแบบดาวน์โหลดอีกทีหนึ่ง) และผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์เองก็แก้ปัญหาของขาดจากน้ำท่วมในประเทศไทยปี 2011 ได้แล้ว สุดท้ายยังมี Windows 8 ที่จะออกมากระตุ้นตลาดอัลตร้าบุ๊กช่วงท้ายปีด้วย

ปล่อยให้ TechInsignts คาดการณ์ต้นทุนของ iPhone 5 แซงหน้าไปได้ไม่นาน ขาประจำอย่าง iSuppli ก็เผยตารางต้นทุนของ iPhone 5 ออกมาแล้ว

ต้นทุนรุ่นถูกสุดของ iPhone 5 ที่ 16GB นั้น iSuppli ประเมินไว้ที่ 199 ดอลลาร์สหรัฐฯ ((ราว 6,100 บาท)) รวมค่าประกอบแล้วอยู่ที่ 207 ดอลลาร์สหรัฐฯ แพงกว่าราคาคาดการณ์ของ TechInsights พอสมควร

ส่วนที่แพงสุดหนีไม่พ้นหน้าจอใหม่ที่ราคาสูงถึง 44 ดอลลาร์สหรัฐฯ รองลงมาเป็นส่วนของชิปรับสัญญาณ 4G LTE ที่ราคา 34 ดอลลาร์สหรัฐฯ

เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 4S แล้วก็ยังแพงกว่าเล็กน้อย (iPhone 4S ต้นทุนอยู่ที่ 188 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

บริษัทวิจัยตลาดฮาร์ดแวร์ IHS iSuppli ประเมินยอดขายแท็บเล็ตทั่วโลกประจำปี 2012 ว่าจะขายได้ราว 126.6 ล้านเครื่อง เพิ่มจากปีก่อนที่ขายได้ 82.1 ล้านเครื่องอยู่ 56%

IHS ให้ความเห็นว่าแท็บเล็ตขนาด 9" ที่นำโดย iPad ยังเป็นแท็บเล็ตขนาดยอดนิยมต่อไป (สัดส่วน 59% ของแท็บเล็ตทั้งหมด) แต่แท็บเล็ตกลุ่มที่เติบโตรวดเร็วที่สุดกลับเป็น 7" ที่มีผู้เล่นหลายรายทำตลาด ทั้ง Galaxy Tab, Kindle Fire และ Nook Tablet มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 32%

ส่วนที่เหลือคือแท็บเล็ตขนาด 8" มีส่วนแบ่งประมาณ 9% และกลุ่ม 5" มีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่า 1%

บริษัทวิจัยตลาดส่วนฮาร์ดแวร์ IHS iSuppli รายงานตัวเลขของผู้จำหน่ายแท็บเล็ตในไตรมาสที่ 2 ของปี 2012 ออกมาดังนี้ครับ

1. แอปเปิล ยอดส่ง 17 ล้านเครื่อง ส่วนแบ่งตลาด 69.6% สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2011
2. ซัมซุง ยอดส่ง 2.3 ล้านเครื่อง ส่วนแบ่งตลาด 9.2%
3. Amazon ยอดส่ง 1 ล้านเครื่อง ส่วนแบ่งตลาด 4.2%
4. Asus ยอดส่ง 688,000 เครื่อง ส่วนแบ่งตลาด 2.8%
5. B&N ยอดส่ง 459,000 เครื่อง ส่วนแบ่งตลาด 1.9%

ส่วนแบ่งของรายอื่นที่เหลือ คิดรวมเป็น 3 ล้านเครื่อง ที่ 12.3% อย่างไรก็ตามตัวเลขในไตรมาสถัดไปน่าจะมีการปรับเปลี่ยนเมื่อรวม Nexus 7 ของกูเกิลเข้ามาคำนวณด้วยครับ

ก่อนหน้านี้ TechInsight ได้ออกมาประเมินราคาต้นทุนของ Nexus 7 ว่าอยู่ที่ 184 ดอลลาร์ รอบนี้ฝั่งค่าย iSuppli ก็ออกมาประเมินเหมือนกันแต่ได้ต้นทุนอุปกรณ์เพียง 151.75 ดอลลาร์เท่านั้น และรวมค่าประกอบแล้วก็ยังอยู่ที่ 159.25 ดอลลาร์

Andy Rubin ออกมาบอกกับ AllThingsD ว่า Nexus 7 นั้นทำกำไรได้ไม่มากนัก ยิ่งรวมเครดิต 25 ดอลลาร์แล้วจะไม่เหลือกำไรเลย แต่ราคาต้นทุนของ TechInsight นั้นแสดงว่ากูเกิลต้องขายขาดทุนทันที

iSuppli ระบุว่าราคาชิปแฟลชขนาด 8GB นั้นอยู่ที่ 7.5 ดอลลาร์ พอๆ กับที่ TechInsight ประเมิน ทำให้ราคาต้นทุนของรุ่น 16GB นั้นเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ราคาขายจะต่างกันถึง 50 ดอลลาร์ สร้างกำไรมาสนับสนุนรุ่นล่างได้

เราเคยเสนอข่าวว่าราคาฮาร์ดดิสก์จะปรับลงช้าๆ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมในไทยที่ส่งผลให้กำลังการผลิตในโลกลดลงอย่างมาก คราวนี้ Fang Zhang นักวิเคราะห์จาก IHS iSuppli ได้ประเมินสถานการณ์ว่ากำลังการผลิตฮาร์ดดิสก์จะกลับมาเป็นปกติเหมือนช่วงก่อนน้ำท่วมได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ แต่ถึงตอนนั้นราคาฮาร์ดดิสก์โดยเฉลี่ยก็จะไม่ปรับลดลง เนื่องจากตลาดฮาร์ดดิสก์ตอนนี้ก็อยู่ในภาวะกึ่งผูกขาด ตั้งแต่เกิดการควบรวมของซีเกทกับซัมซุง และ Western Digital กับ Hitachi GST ทำให้ผู้ผลิตสองรายใหญ่นี้ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 85% จึงมีอำนาจพอที่จะควบคุมราคาฮาร์ดดิสก์ไม่ให้ปรับ

จากข่าว ซัมซุงไตรมาสแรกกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ - ขึ้นแท่นผู้ผลิตมือถือเบอร์ 1 แทนโนเกีย เป็นการอ้างอิงตัวเลขส่วนแบ่งตลาดจากบริษัท Strategy Analytics เพียงบริษัทเดียว

สำหรับสถิติของบริษัท IHS iSuppli ถึงแม้ตัวเลขประเมินจะไม่ตรงกัน แต่ก็ยกให้ซัมซุงเป็นหมายเลขหนึ่งในตลาดมือถือรวมแล้ว โดยไตรมาสแรกของปี 2012 ซัมซุงมียอดส่ง (shipment) มือถือที่ 92 ล้านเครื่อง นำหน้าโนเกียที่ขายได้ 83 ล้านเครื่อง ที่เหลือคือแอปเปิลตามมาห่างๆ ที่ 35 ล้านเครื่อง, LG 14 ล้านเครื่อง, RIM 11 ล้านเครื่อง การตกบัลลังก์ของโนเกียครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1998 เลยทีเดียว

อีกหนึ่งเรื่องที่ถูกทำเป็นธรรมเนียมหลังการแกะ iPad รุ่นใหม่ นั่นคือการประเมินราคาว่ามูลค่ารวมเท่าไรนั่นเอง และมือเก๋าอย่าง IHS iSuppli ก็จัดการแกะประเมินราคาเป็นที่เรียบร้อยแล้วพบว่า iPad ใหม่รุ่นถูกที่สุดนั้นมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 316.05 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน iPad 2 รุ่นถูกที่สุดอยู่ที่ 245.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างกันราว 30% เลยทีเดียว

อุปกรณ์ที่แพงขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด อันดับแรกคงหนีไม่พ้นหน้าจอ Retina Display ที่ทำราคาสูงถึง 87 ดอลลาร์สหรัฐฯ แพงกว่ารุ่นเดิมถึง 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามมาด้วยกล้อง 5 ล้านพิกเซลตัวใหม่ที่ราคา 12.35 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รุ่นเก่า 4.10 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ปิดท้ายด้วยชิป Apple A5X ที่ราคา 23 ดอลลาร์สหรัฐฯ (รุ่นเก่า 14.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ)

หลังเปิดตัวรายละเอียดของ iPad รุ่นใหม่ไปแล้ว บรรดานักวิเคราะห์จากหลายสำนักก็ทยอยปรับประเมินตัวเลขยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดของแท็บเล็ตปีนี้ ซึ่งออกมาเป็นดังนี้ครับ

นักวิเคราะห์จาก Gene Munster บอกว่าสเปก iPad ตัวใหม่นี้ น่าประทับใจ มีการก้าวกระโดดจาก iPad 2 อย่างมีนัยสำคัญ และถึงแม้กรณีเลวร้ายที่สุด ส่วนแบ่งในตลาดแท็บเล็ตของแอปเปิลจะลดลงไปเหลือ 50% แต่แท็บเล็ตรวมจะแย่งลูกค้าจากตลาดพีซีมาด้วย ทำให้ยอดขาย iPad ปีนี้น่าจะเติบโตได้ราว 26% จากปีก่อน

นักวิเคราะห์จาก UBS มองว่า iPad รุ่นใหม่นี้จะเร่งยอดขายได้เร็วมากขึ้นจากกำหนดการจำหน่ายทั่วโลกที่เร็วขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับตอน iPad 2 โดยในไตรมาสปัจจุบันนี้ iPad รวมน่าจะขายได้ราว 12 ล้านเครื่อง

บริษัทวิจัยตลาดฮาร์ดแวร์ IHS iSuppli เผยข้อมูลยอดขายส่งแท็บเล็ตในไตรมาสสุดท้ายของปี 2011 และรวมข้อมูลตลอดปี 2011 พบสถิติดังนี้

ไตรมาส 4 ปี 2011

บริษัทวิจัย IHS iSuppli ประเมินว่าสัดส่วนการหารายได้ของแอพมือถือในปี 2015 จะเปลี่ยนจากปัจจุบัน โดยแอพที่ตั้งราคาขายตามปกติจะมีสัดส่วนน้อยลง และการซื้อสินค้า-เนื้อหาภายในแอพ (in-app purchase หรือ freemium) จะได้รับความนิยมแทน

IHS iSuppli ประเมินว่าในปี 2015 สัดส่วนของแอพที่ทำเงินด้วย in-app purchase จะสูงถึง 64% ในขณะที่ปัจจุบันมีแอพประมาณ 39% ที่ทำเงินด้วยวิธีนี้

เหตุผลก็เพราะผู้ใช้สมาร์ทโฟนมีแนวโน้มจะดาวน์โหลดแอพฟรีมากกว่า ซึ่ง IHS iSuppli ประเมินว่าในปี 2011 ที่ผ่านมา 96% ของแอพที่ถูกดาวน์โหลดไปทั้งหมดคือแอพฟรี ทำให้การขายแอพโดยตรงทำได้ยากกว่าเดิม