ช่วงที่ผ่านมาธุรกิจสายการบินอาจไม่ได้รุ่งโรจน์เหมือนในอดีต เพราะด้วยน้ำมันที่แพง ทำให้เกิดสายการบินราคาถูก-บินไม่สบายเยอะขึ้น แต่แล้วทำไม Singapore Airlines ถึงกล้าเปิดเส้นทางบินตรงสู่สหรัฐอเมริกาอีกครั้งล่ะ?
ก่อนหน้านี้ทุกธุรกิจสายการบินก็จะแข่งขันกันเรื่องความหรูหรา และความสะดวกสบาย แต่นั่นอาจจะเป็นแค่อดีต เพราะช่วงนี้การแข่งขันส่วนใหญ่จะเน้นที่เรื่องราคาค่าตั๋วที่ถูก เพื่อจูงใจผู้บริโภคให้มาใช้ ซึ่งมันก็ยังเป็นอย่างนั้นในบางสายการบินอยู่ แสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของธุรกิจสายการบิน
อย่างไรก็ตามเรื่องนั้นอาจจะเป็นแค่ในอดีตแล้วเช่นกัน เพราะอีก 2 วันหลังจากนี้ Singapore Airlines จะเปิดให้บริการเที่ยวบินที่บินไกลที่สุดในโลก หรือจากสิงคโปร์ไปที่ New York สหรัฐอเมริกา โดยใช้เวลาบินเพียง 19 ชม. ซึ่งน้อยกว่าปกติถึงเกือบ 2 เท่า
สำหรับเที่ยวบินดังกล่าวนั้นจะใช้เครื่องบินรุ่น A350-900 Ultra Long Range บรรทุกผู้โดยสารได้ทั้งหมด 161 คน แบ่งเป็น Business Class ที่มาพร้อมกับเตียงส่วนตัว 67 ที่นั่ง และ Premium Economy อีก 94 ที่นั่ง ราคาค่าตั๋วเริ่มต้นที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.3 แสนบาท)
แต่ด้วยระยะเวลาบินถึง 19 ชม. ทำให้ Singapore Airlines ตัดสินใจพาร์ทเนอร์กับ Canyon Ranch ผู้ให้บริการ Health Spa Resort เพื่อออกแบบวิธีทำให้ผู้โดยสารนอนหลับได้ลึกขึ้น, รูปแบบการยืดเส้นยืดสายบนเครื่อง รวมถึงเมนูอาหารที่ใช้หลักโภชณาการมาช่วยให้ร่างกายรู้สึกดีตลอดเวลา นอกจากเรื่องความอร่อย
ส่วนเรื่องความบันเทิงนั้น ตัวเครื่องก็มีภาพยนตร์ให้รับชมกว่า 1,200 ชม. พร้อมรายการโทรทัศน์จำนวนมาก และถ้าอยากทำงานก็สามารถจ่ายค่าบริการเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 200 Mbps ได้ แต่ถ้าไม่อยากรับประทานอาหารแบบนั้น ทางสายการบินก็มีบริการ Book the Cook ที่สามารถเลือกอาหารได้ตามต้องการด้วย
ทั้งนี้ Singapore Airlines เคยมีเส้นทางบินตรงจากสิงคโปร์ไปสหรัฐฯ มาแล้ว แต่เพิ่งหยุดบินไปเมื่อ 5 ปีก่อน เพราะด้วยราคราน้ำมันที่พุ่งเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันนั้นต่ำลงแล้ว ประกอบกับเครื่องบินที่เบาลง, กินน้ำมันน้อยลง 25% และทุกน้ำมันมากกว่าเดิม 17% ทำให้มันคุ้มค่าที่จะทำการบินให้มันหรูหรา
สรุปใครที่อยากลองการบินระดับหรูก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าจับจอง และถ้ามองในแง่ธุรกิจการบินก็แสดงให้เห็นว่าโอกาสที่ความรุ่งโรจน์ของธุรกิจนี้อาจกลับมาอีกครั้งก็ได้ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเครื่องบินหรูก็ยังทำได้อยู่ และในอนาคตเราอาจเห็นการติดตั้งโรงยิมในเครื่องบิน, โซนสำหรับเด็ก หรืออื่นๆ ก็เป็นได้
อ้างอิง // Quartz
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Razer แบรนด์อุปกรณ์สำหรับนักเล่นเกมไม่ว่าจะเป็นเมาส์, คีย์บอร์ด, หูฟัง, ฯลฯ ได้รุกตลาดสมาร์ทโฟนโดยเน้นไปที่กลุ่มคนเล่นเกมเหมือนเดิม ก่อนหน้านี้ได้เปิดตัว Razer Phone ไปแล้วด้วยจุดเด่นที่สร้างชื่อเสียงให้อย่างหน้าจอ 120Hz และนี่คือสมาร์ทโฟนรุ่นที่สองเพื่อต่อยอดความสำเร็จ
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือเร็วกว่ารุ่นก่อน 30% พร้อมระบบระบายความร้อนด้วยไอน้ำแบบใหม่ หน่วยประมวลผลใช้เป็นชิปรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Qualcomm 845 Snapdragon (แบบเดียวกับ Google Pixel 3) และมาพร้อมกับกล้องหลังคู่รุ่นใหม่ 12+12 MP (เลนส์กว้าง + เลนส์เทเล) ส่วนกล้องหน้า 8 MP ที่เน้นไปที่การสตรีมมิ่งของเกมเมอร์เสียมากกว่า
ด้านหลังเครื่องเป็น Razer Chroma ระบบแสงไฟ RGB ที่ปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการถึง 16.8 ล้านสี พร้อมกับรองรับการชาร์จไร้สายเพิ่มจากรุ่นก่อน ในขณะเดียวกันก็เปิดตัวที่ชาร์จไร้สายของตัวเองที่แสดงไฟ RGB ด้วยเช่นกัน ส่วนหากต้องการชาร์จแบบมีสายจะเป็น USB-C ชาร์จแบตเตอรี่ถึง 50% ด้วยระยะเวลาเพียง 30 นาที ผ่านทาง Qualcomm QuickCharge 4+ รองรับมาตรฐานกันน้ำ IP67
หน้าจอ IGZO 5.7″ มาพร้อมกับการแสดงผล 120 Hz แบบเดิมเพิ่มเติมคือสว่างขึ้น 50% พร้อมลำโพงคู่ด้านหน้าที่เสียงดังและชัดกว่าเดิมผ่านทาง Dolby Atmos และเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ผ่านการรับรองจาก Netflix ในการแสดงผล HDR และระบบเสียงแบบ Dolby Surround 5.1
ส่วนแบตเตอรี่มาพร้อมกับความจุ 4,000 mAh สามารถใช้งานได้ทั้งวัน ผ่านการแสดงผล 120 Hz เป็นระยะเวลา 10 ชั่วโมง ส่วนการเชื่อมต่อเป็นแบบ LTE Gigabit ที่ให้ความเร็วการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 1.2 Gbit/s (เร็วขึ้นกว่าเดิม 20%) พร้อมกับการปรับแต่งเพื่อเล่นเกมอาทิเช่น
สำหรับสีมีให้เลือกระหว่าง Mirror Black (ผิวมัน) และ Satin Black (ผิวด้าน) ในราคาเริ่มต้นที่ $799 ดอลลาร์ (ประมาณ 26,183 บาท) พร้อมกับจอยเกม Razer Raiju Mobile ราคา $149 (ประมาณ 4,881 บาท) และหูฟัง Razer Hammerhead ราคา $99 (ประมาณ 3,243 บาท)
ข้อมูลจำเพาะทางเทคนิคที่มา – razer.com
The post Razer Phone 2 เปิดตัวสมาร์ทโฟนสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ appeared first on iPhoneMod.
PLANK! อีกหนึ่งเกมเล่นฆ่าเวลาสนุกๆ ที่มีการนำเอาเทคโนโลยี AR เข้ามาใช้ในการเล่นร่วมกับเพื่อนได้ทุกที่ทุกเวลา หรือจะเล่นคนเดียวแบบไม่ใช้ AR ก็ยังได้ ไม่เปลืองเนื้อที่ และไม่เครียดอีกด้วย
PLANK!เกมเบาๆ เล่นง่าย ช่วยคลายเครียด ที่ผู้เล่นต้องแตะค้างไว้แล้วก็ปล่อย เพื่อวางไม้กระดานให้ตัวละครเดินข้ามอย่างปลอดภัย โดยผู้เล่นต้องกะระยะความยาวของไม้กระดานไม่ให้สั้นหรือยาวเกินไป
และอีกหนึ่งจุดเด่นของเกม PLANK! ก็คือ ระบบ AR ที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถแข่งวางไม้กระดานกับเพื่อนๆ ได้ผ่านกล้อง AR บน iPhone/iPad ของใครของมันได้ เพียงแค่มีลานหรือโต๊ะกว้างๆ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเกมที่สามารถเล่นฆ่าเวลาสนุกๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา
เนื้อที่เกม: 118.3 MB รองรับ iOS 10.0 ขึ้นไป (ใช้ได้กับ iPhone และ iPad)
ดาวน์โหลดเกมได้ฟรีที่: PLANK! on App Store
The post PLANK! เกม AR แข่งกับเพื่อน แตะค้างไว้แล้วปล่อยเพื่อวางไม้กระดาน appeared first on iPhoneMod.
AirAsia ได้เวลาที่ปรับเปลี่ยนตัวเองอีกครั้ง โดยสายการบินราคาประหยัดเตรียมปรับตัวเป็นบริษัทเทคโนโลยีท่องเที่ยว นอกจากนี้เตรียมนำระบบ AI มาใช้ประโยชน์มากขึ้นอีกด้วย
Tony Fernandes ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AirAsia ได้กล่าวถึงการปรับตัวอีกครั้งของสายการบินราคาประหยัดซึ่งได้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2001 ว่า บริษัทถึงขั้นที่จะต้องพัฒนาต่อไปให้เป็นมากกว่าธุรกิจสายการบิน โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาผสมผสานในการทำงานเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ล่าสุดสายการบินราคาประหยัดได้จับมือกับ Google นำ Google Cloud มาใช้ในองค์กร โดยเฉพาะการนำระบบ AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร โดย Tony ยกตัวอย่างถึงการเตรียมที่จะติดตั้งเซนเซอร์ในเครื่องบินกว่า 20,000 ตัว เพื่อที่จะให้วิศวกรของสายการบินวิเคราะห์ว่าได้เวลาต้องซ่อมแซมจุดไหนของเครื่องบินหรือยัง นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการพยากรณ์อากาศเพื่อแจ้งลูกค้าล่วงหน้าว่าเที่ยวบินมีโอกาสที่จะดีเลย์หรือไม่
นอกจากนี้ Tony ยังได้เตรียมเปิดตัว BigLife ซึ่งเป็นเว็บไซต์เดียวที่สามารถจองที่พัก จองรถ หรือว่ากิจกรรมอื่นๆ ในการท่องเที่ยว และรวมไปถึงการนำระบบ E-Wallet อย่าง BigPay มาใช้ด้วย จากเดิมที่เป็นการจองแค่ตั๋วเครื่องบินอย่างเดียว ซึ่งเขากล่าวว่าวิธีนี้จะช่วยกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบจากราคาน้ำมันเครื่องบินที่สูงขึ้นได้อีกด้วย
Digitalization กับสายการบินมาแน่ปัจจุบันสายการบินเริ่มที่นำกลยุทธ์ Digitalization มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการท่องเที่ยว ข้อมูลลูกค้าแต่ละประเภท เช่น เชื้อชาติ อายุ ฯลฯ เพื่อที่จะได้นำเสนอโปรโมชั่นหรือการนำเสนอเส้นทางบินใหม่ๆ ให้กับลูกค้า เป็นต้น เป็นโอกาสใหม่ๆ ของสายการบินที่จะหารายได้ใหม่ๆ อย่างไม่เคยมีมาก่อน
ที่มา – AirAsia, Tech in Asia
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
โลกเรากำลังเข้าสู่ยุคที่หุ่นยนต์คือกำลังหลักในภาคแรงงาน Uniqlo แบรนด์เสื้อผ้าญี่ปุ่นที่คนไทยรู้จักกันดี เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่นำเอาหุ่นยนต์เข้ามาจัดการคลังสินค้า ลดการจ้างแรงงานลงได้ถึง 90%
Uniqlo รายงานว่า คลังสินค้าของบริษัทที่ตั้งอยู่ในเขตอะริอะเกะ (Ariake) โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยได้จับมือร่วมกับ Daifuku บริษัทผู้ให้บริการระบบขนส่งและโลจิสติกส์ และได้นำหุ่นยนต์เข้ามาจัดการคลังสินค้าแบบเต็มรูปแบบ ทำให้คลังสินค้าของบริษัทลดการพึ่งพาแรงงานมนุษย์ไปได้ถึง 90%
คำถามคือ หุ่นยนต์ในคลังสินค้าของ Uniqlo ทำอะไรได้บ้าง?
เรียกได้ว่างานพื้นฐานและเชิงเทคนิคในคลังสินค้าของ Uniqlo สามารถใช้ระบบหุ่นยนต์จัดการได้แทบทั้งหมด และมากกว่านั้น ข้อดีที่สำคัญของการใช้หุ่นยนต์ในโกดัง คือการทำให้คลังสินค้าของ Uniqlo สามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
Uniqlo บอกว่า สำหรับคลังสินค้าแห่งนี้ ทางบริษัทดำเนินการแบบใช้หุ่นยนต์เต็มตัวเป็นแห่งแรก แต่จากผลลัพธ์เห็นได้ชัดแล้วว่า เมื่อใช้ระบบหุ่นยนต์มาจัดการคลังสินค้า ทำให้เหลืองานที่จำเป็นต้องใช้แรงงานคนอยู่เพียงเล็กน้อย คือประมาณ 10% เท่านั้น
Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo เปิดเผยว่า คลังสินค้าของ Uniqlo ที่ใช้หุ่นยนต์จะไม่หยุดอยู่แค่นี้อย่างแน่นอน เพราะจากผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ ทางบริษัทจะขยายการใช้หุ่นยนต์ในคลังสินค้าของ Uniqlo ทั่วประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก
โดยหลังจากนี้ Uniqlo จะลงทุนในภาพรวมอีกสูงถึง 1 แสนล้านเยน และในเงินจำนวนนี้ประมาณ 1 พันถึง 1 หมื่นล้านเยนจะเป็นการลงทุนในส่วนของการนำเอาระบบหุ่นยนต์มาใช้ในคลังสินค้าโดยเฉพาะ
มาถึงวันนี้ ยิ่งเพิ่มความชัดเจนเข้าไปอีกว่า เทคโนโลยีที่ชื่อว่า “หุ่นยนต์” คือหนึ่งในคำตอบสำคัญของแผนการใหญ่ Uniqlo
ข้อมูล – Quartz, Fast Retailling, The Japan News
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Google Pixel 3 หลังเปิดตัวสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการได้ไม่แพ้ Apple ซึ่งแทบจะเป็นการสู้กันด้วย Software รวมถึง AI เสียมากกว่าที่จะพูดถึงเรื่องความเร็วและ Hardware และจากที่เปิดตัวดูเหมือนว่ารอบนี้ Google (ซึ่งก็คือ Pixel 3 และไม่ได้หมายถึง Android ทุกรุ่น) จะนำหน้า iPhone ไปเยอะในเรื่องกล้อง โดยยังมีจุดยืนที่แตกต่างไปจากแบรนด์อื่นคือ “ไม่จำเป็นต้องกล้องคู่ก็เทพได้” ด้วยพลังแห่งการประมวลผลภาพนั่นเอง
กล้องยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ ที่คนทั่วไปสนใจในสมาร์ทโฟนเรือธง ไม่ต่างอะไรกับ iPhone XS และ XS Max ที่ทั้งคู่มีกล้อง 12MP เลนส์มุมกว้างและเลนส์เทเลโฟโต้หนึ่งตัว ที่มีระบบป้องกันภาพสั่นไหว และมีรูรับแสง f/1.8 และ f/2.4 ตามลำดับ ส่วนด้านหน้าเป็นกล้อง 7MP พร้อมเลนส์มุมกว้าง f/2.2
Google พลิกสูตรนี้ด้วยการให้กล้องหน้าคู่กับ Pixel 3 และ 3 XL โดยกล้องหลังเป็นกล้องเดี่ยวขนาด 12.2MP ส่วนกล้องหน้าเป็นแบบคู่ 8MP เป็นเลนส์ระยะปกติ และเลนส์มุมกว้าง 97 องศา เพื่อให้เหมาะกับการ ‘เซลฟี่กลุ่ม’ ส่วนกล้องหลังให้เหตุผลว่า ปัญญาประดิษฐ์ฉลาดพอที่จะถ่ายภาพที่แตกต่างกัน
ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจริงจะยังไม่ได้ออกมา แต่จากภาพถ่ายที่ Google เอามาเคลมคงต้องยอมรับว่า Pixel 3 ทำออกมาได้ดีมาก (แต่ถ่ายจริงคงต้องรอดูอีกทีว่าเหมาะกับทุกสถานการณ์มากน้อยแค่ไหน) ในส่วนของ iPhone XS มีสิ่งที่เรียกว่า Smart HDR แต่ในส่วนของ Google ก็มีเทคโนโลยีที่ถ่าย HDR และเลือกภาพที่ดีที่สุดให้เอง
ในขณะที่สมาร์ทโฟน Android หลายแบรนด์เริ่มทำ “รอยบาก” ตามแนวทางของ Apple แต่การออกแบบของ Google มีให้เลือกทั้งแบบมีและไม่มีรอยบาก ซึ่งหากคุณเกลียดรอยบากใน iPhone XS Max คุณจะเกลียดรอยบากใน Pixel 3 XL มากยิ่งกว่า เพราะมันมาพร้อมกับรอยบากขนาดใหญ่เพื่อวางกล้องหน้าคู่
ในแง่ของการออกแบบ Google จะคงทิ้งคาง (ส่วนล่างของบริเวณหน้าจอ) เอาไว้ทั้งสองรุ่น ในขณะที่ Apple ทำออกมาได้แนบสนิทและดูสมมาตรลงตัวมากกว่า ส่วนขนาดหน้าจอแตกต่างกันดังนี้
ความหนาแน่นอนพิกเซล (PPI) ผลักกันแพ้ผลักกันชนะ เพราะถ้าเป็นรุ่นหน้าจอปกติ iPhone XS ชนะที่ 458PPI แต่ในขณะที่รุ่นหน้าจอใหญ่ Pixel 3 XL ชนะที่ 523PPI และหากเทียบขนาดเครื่องต่อหน้าจอ Apple ทำออกมาได้ดีกว่า (สุดท้ายก็คงแล้วแต่ความชอบ เพราะใช้จริงคงไม่ต่างกันมาก)
ราคาของ Pixel 3 เปิดตัวที่ $799 (64GB) ในขณะที่ iPhone XS เปิดตัวที่ $999 (64GB) ในขณะที่ Google ให้ทางเลือกที่ 128GB ($899) แต่หาก Apple จะกระโดดไปที่ 256GB ($1,149) ราคาอย่างเป็นทางการในไทยยังไม่เปิดตัว แต่เชื่อว่ารุ่นเริ่มต้นทั้งสองแบรนด์จะมีส่วนต่างกันประมาณหกพันบาท
ทั้งในส่วนของ Apple และ Google ต่างมีบริการหลังการขายที่ดีเยี่ยมทั้งคู่ แต่น่าเสียดายที่ในไทย Google ไม่ได้ทำตลาดขายสมาร์ทโฟน ดังนั้นจึงไม่มีขายและต้องไปซื้อกับประเทศข้างเคียงแทน นอกจากนี้การที่ Pixel 3 ไม่มีขายในเมืองไทย หากใครต้องการจำเป็นต้องซื้อ “เครื่องหิ้ว” หรือ “เครื่องตู้” สุดท้ายแล้วอาจไม่หนีกันมาก
iPhone XS ให้ตัวเลือกเป็นสแกนใบหน้า (FaceID) ส่วนในรุ่น Pixel 3 ให้ตัวเลือกเป็นสแกนนิ้วมือ (ด้านหลัง) และถึงแม้ว่า Ancroid Pie จะเพิ่มการรองรับกล้องสำหรับจดจำใบหน้า แต่ถึงอย่างไรก็ยังห่างชั้นกับเซ็นเซอร์ที่เอาไว้สแกนใบหน้าโดยเฉพาะใน FaceID อย่างไรก็ดียังมีคนบางกลุ่มที่ไม่ชอบสแกนใบหน้า ดังนั้นทางออกก็คือการเลือกใช้รุ่นที่มีสแกนลายนิ้วมือแบบเเดิม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า Dual SIM นี้คือจุดขายของ iPhone 2018 กับสิ่งที่เคยอยู่ในมือถือจีนหลายสิบปีที่แล้ว และเป็นจุดเด่นที่ทำให้หลายคนเลือกใช้ Android ในบางรุ่น (แต่มันกลับไม่มีใน Pixel 3) กลายเป็นว่ากลับตาลปัตร และหากคุณต้องการใช้คุณสมบัตินี้ iPhone XS, XS Max, XR มีให้ทั้งสิ้น
ทั้งในส่วนของ Apple และ Google ต่างแข่งขันกันในเรื่อง AI โดยเริ่มจาก iPhone XS และ MS Max มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล A12 Bionic ที่เป็นชิปกราฟิก Quad-core และชิปประมวลผล Six-core โดยเป็นรุ่นที่สองของ Apple Neural Engine ซึ่งมีคุณสมบัติด้าน AI ในระดับ Hardware
ส่วนของ Pixel 3 และ 3 XL ขอสู้ด้วย Google AI ที่เป็นส่วนสำคัญและมีการใช้หน่วยประมวลผลล่าสุดอย่างชิป Qualcomm Snapdragon 845 ซึ่งสามารถทำงานได้ในลักษณะ AI-centric เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและปรับแต่งภาพถ่าย นอกจากนี้ก็มีชิป Titan M เสริมเข้ามาเพื่อเข้ารหัสความปลอดภัย
Pixel 2 ไม่รองรับชาร์จไร้สาย แต่ว่า Pixel 3 รองรับชาร์จไร้สายผ่านมาตรฐาน Qi แบบเดียวกับ Apple และหลายแบรนด์ Android แต่ความพิเศษคือ Google ได้เปิดตัวที่ชาร์จของตัวเองอย่าง Pixel Stand ($79) ซึ่งเอาไว้ใช้กับ Pixel 3 โดยเฉพาะ ซึ่งเมื่อชาร์จอยู่จะแสดงข้อมูลต่าง ๆ ได้พร้อมกันด้วยราวกับไม่ได้ปิดเครื่องอยู่
แต่สำหรับ Apple มีที่ชาร์จไร้สายของตัวเองที่ชื่อว่า AirPower และหลายคนคงลืมกันไปแล้ว จากการเปิดตัวที่เน้นความสะดวกชาร์จได้หลายอุปกรณ์พร้อมกัน โดยไม่ต้องวางจุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ล่าสุดมีการเลื่อนวางจำหน่ายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องความร้อน
Google Pixel 3 Apple iPhone XS Display size, resolution 5.5-inch “flexible” OLED; 2,280 x 1,080 pixels 5.8-inch Super Retina OLED; 2,436 x 1,125 pixels Pixel density 443ppi 458 ppi Dimensions 145.6 x 68.2 x 7.9 mm 143.6 x 70.9 x 7.7 mm Weight 148 g 177 g Mobile software Android 9 Pie iOS 12 Camera 12.2-megapixel 12-megapixel (standard), 12-megapixel (telephoto) Front-facing camera Dual 8-megapixel 7-megapixel Video capture 4K 4K Processor Qualcomm Snapdragon 845 (2.5GHz octa-core) Apple A12 Bionic Storage 64GB, 128GB 64GB, 256GB, 512GB RAM 4GB 4GB Expandable storage None None Battery 2,915 mAh 2,658 mAh Fingerprint sensor Back cover None (Face ID) Connector USB-C Lightning Headphone jack No No Special features IP68, wireless charging support, Pixel Buds USB-C headphones in the box Water resistant (IP68); dual-SIM (nano-SIM and e-SIM); wireless charging; Face ID; Animoji Price off-contract (USD) $799 (64GB); $899 (128GB) $999 (64GB), $1,149 (256GB), $1,349 (512GB) สรุปสาเหตุที่ไม่พูดถึงความเร็วเพราะทั้งสองค่าย มาถึงจุดที่ไกลมากในเรื่องของความเร็วและความเสถียร (Android ลื่นไม่แพ้ iOS, ในขณะที่ความเร็ว iOS ก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน) ทั้งสองค่ายชูจุดเด่นในเรื่องของนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์แข่งกันเสียมากกว่า และเชื่อว่าหลังจากนี้ก็คงจะแข่งแบบนี้กันไปอีกพักใหญ่ เป็นการยากที่หากต้องการสรุปว่ารุ่นไหนดีกว่ากัน แต่เชื่อว่าทั้งฝั่ง Android และ iOS สมาร์ทโฟน iPhone XS และ Pixel 3 คือที่สุดของที่สุดแล้วจริง ๆ
ที่มา – wired.co.uk
The post Google Pixel 3 กับ iPhone XS เลือกอะไรดีกว่ากัน ? appeared first on iPhoneMod.
ตอนต้นปีตลาดหุ้นไทยดัชนีพุ่งสูงแตะ 1,800 จุด ไป แต่ก็ย่อตัวลงมาอย่างรวดเร็วจน ทำให้นักลงทุนหวั่นไหวกันถ้วนหน้า ทว่าข่าวดีก็ยังมี เพราะหลายค่ายนักวิเคราะห์บอกว่าสิ้นปีนี้หุ้นไทยมีลุ้นที่จะกลับขึ้นไป 1,810 จุดอีกครั้ง เพราะอะไรกันบ้าง
วิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ บอกว่า ทาง เราคาดว่า บล.ทิสโก้ ตลาดหุ้นไทย หรือ SET ปีนี้จะปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลก คาดว่าหากดัชนีตลาดหุ้นย่อตัวจะไม่น้อยกว่า 1,670 จุด ส่วนหนึ่งเพราะช่วงไตรมาสที่ 4/ 2561 น่าจะมีแรงหนุนจากคนที่เข้าซื้อ LTF (กองทุนรวมหุ้นระยะยาว ) และ RMF ( ) ประมาณ 50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น LTF 35,000 ล้านบาท และ RMF 15,000 ล้านบาท
และอาจจะมีแรงซื้อหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติเพราะ ปัจจุบันเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 เมื่อเทขายไปเยอะอาจจะมีการกลับมาเข้าซื้อหุ้นไืยเพื่อเก็งกำไรด้วย รวมถึงช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี เป็นฤดูกาลที่หุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่ทขึ้นทุกปี (ข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี) และพบว่ามีโอกาสมากถึง 63% ที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.2% หากซื้อหุ้นตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 4 และขายหุ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 4 ของปีเดียวกัน
อย่างไรก็ตามดัชนีหุ้นไทยเดือนต.ค.จะปรับลงไม่หลุด 1,670 จุด และเมื่อทรงตัวแล้วจะคาอยๆ ปรับเพิ่มขึ้นจนแตะเป้าหมายปลายปี 2561 ที่ 1,770 – 1,810 จุด ส่วนเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งคาดว่าจะเพิ่ทสูงขึ้นจนแตะ 1,850 จุด
หุ้นเด่นประจำเดือน ต.ค. 2561 เป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก การเลือกตั้งของไทยที่จะเกิดขึ้น และจากที่ บล.ทิสโก้ คาดการณ์ว่ากลุ่มนี้เป็นหุ้นที่ผลประกอบการไตรมาส 3 จะออกมาดี ได้แก่
ช่วงนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลงเกือบทุกตลาด สาเหตุหลัก เพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.23% ถือเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 7 ปี รวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาดีต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนบางรายต้องทยอยขายหุ้นออกมาเพื่อกลบการขาดทุนจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับลดลง
โดยประเทศที่ดัชนีหุ้นปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือ ตลาดหุ้นกลุ่มละตินอเมริกา ยุโรป และเอเชียในบางประเทศที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ค่าเงิน รวมไปถึงปัญหาการเมือง
ด้านตลาดหุ้นไทยปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น เพราะ 1) ปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่ง 1) มีประเด็นสนับสนุนจากภาครัฐที่เร่งลงทุนโครงการต่างๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง 3) ความชัดเจนของการเลือกตั้ง (คาดว่าจะกำหนดวันอย่างเป็นทางการได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 2561) จึงคาดว่าปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 จะหันกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง
“หากมองการลงทุนในระยะที่ยาวขึ้น บล.ทิสโก้คาดว่าในปี 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 2 ครั้ง ซึ่งในช่วงก่อนการประกาศขึ้นดอกเบี้ยจะได้เห็นราคาหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าว ส่วนราคาทองคำในปี 2562 คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นหรือปรับตัวลงรุนแรงนัก โดยมีกรอบอยู่ที่ 1,120-1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นในปีหน้าที่จะผันผวนและลงทุนยากไม่ต่างจากปี 2561 และมีปัจจัยลบคืออัตราดอกเบี้ยนโยบายเกือบทุกประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันในช่วง 4 เดือนหลังจากนี้ บล.ทิสโก้มองว่าจะอยู่ในกรอบ 70-77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
สรุปตลาดหุ้นไทยและโลกปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งก็เพราะกังวลความเสี่ยงในกลุ่ทประเทศเกิดใหม่(รวมไทยด้วย) ทำให้เงินทุนไหลกลับไปอยู่ใน Safe heaven เช่น พันธบัตรของสหรัฐ ที่ได้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่หลังจากนี้ช่วงสิ้นปีตลาดหุ้นไทยมีลุ้นจะเป็นขาขึ้น เนื่องจากความชัดเจนทางการเมือง การเลือกตั้งที่เห็นวี่แวว่าจะเกิดขึ้น ไหนจะตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่โตมาตลอด รวมถึงตลาดหุ้นย่อตัว นักลงทุนต่างชาติน่าจะสนใจกลับเข้ามาลงทุนได้ หุ้นที่น่าสนใจก็มักเป็นหุ้นใหญ่ เช่น ธนาคาร ก่อสร้าง ฯลฯ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
หลังจากที่ทีมงาน MacThai ได้เปิดรายงานถึงวันเริ่มจำหน่าย iPhone XS และ XS Max ในประเทศไทยว่าจะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 ต.ค.ที่จะถึงนี้ และจะเปิดให้จองกันในวันที่ 19 ต.ค. ซึ่งไม่อีกกี่วันแล้ว
ล่าสุดทีมงาน MacThai ได้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงวันวางจำหน่าย iPhone XR ในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งระบุว่าจะเปิดตัววันเดียวกับ iPhone XS นั่นหมายความว่า iPhone XS, XS Max และ iPhone XR อาจจะเปิดตัวในวันที่ 26 ตุลาคมนี้พร้อมกัน 3 รุ่นเลย
ยิ่งไปกว่านั้นทีมงานยังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวันเปิดตัว Apple Watch Series 4 ที่ทุกคนรอคอยอีกเช่นกันว่าจะเริ่มวางจำหน่ายหลังไอโฟนทั้ง 3 รุ่น 1 สัปดาห์ นั่นคือวันที่ 2 พ.ย. ที่จะถึงนี้นั่นเอง
อย่างไรก็ตามยังไม่มีการคอนเฟิร์มแน่ชัดว่า วันเริ่มวางจำหน่ายในไทยนี้ จะเป็นไปตามที่หลุดออกมาหรือไม่ ซึ่งทีมงานให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเปิดตัวในวันดังกล่าว เนื่องจาก ตามสถิติหลาย ๆ ปีของวันเริ่มจำหน่ายไอโฟนในประเทศไทย พบว่าจะอยู่ในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม ถึงต้นเดือนพฤศจิกายนนั่นเอง
รายงานโดย
ทีมงาน MacThai
The post [ลือ] iPhone XR อาจวางจำหน่ายในไทยพร้อม iPhone XS ส่วน Apple Watch Series 4 ตามมาในอีก 1 อาทิตย์ appeared first on Macthai.com.
สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สานพลัง ทรู ดิจิทัล พาร์ค ปั้นย่านปุณณวิถี เป็น Bangkok CyberTech District ต้นแบบย่านนวัตกรรมดิจิทัลของไทย พร้อมเตรียมเปิดศูนย์บริการ Startup Thailand Center แห่งแรกที่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค
ปั้นย่านปุณณวิถี เป็น Bangkok CyberTech Districtดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธานในงานแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.) โดย ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการ และ ทรู ดิจิทัล พาร์ค
โดย นายฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ เดินหน้าผสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ร่วมยกระดับพื้นที่และชุมชนย่านปุณณวิถี สู่ “Bangkok CyberTech District” ย่านนวัตกรรมต้นแบบด้านดิจิทัลของประเทศไทย มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลในยุคไทยแลนด์ 4.0 พร้อมเตรียมเปิดศูนย์บริการ Startup Thailand Center แห่งแรกที่ทรู ดิจิทัล พาร์ค ผนวกหลากหลายบริการและสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ อำนวยความสะดวก และดึงดูดเหล่าสตาร์ตอัพ นักลงทุน และผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ (Talent) จากทั่วโลกเข้ามาลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย เติมเต็มระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลให้สมบูรณ์แบบครบวงจรมากที่สุด
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า “Bangkok CyberTech District จะเป็นศูนย์กลางดิจิทัลและไลฟ์สไตล์ของคนเมืองยุคใหม่ เป็นย่านนวัตกรรมที่มีระบบนิเวศสำหรับสตาร์ตอัพสมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พื้นที่แห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดบุคลากรผู้มีความเชี่ยวชาญ (Talent) ทั้งในและต่างประเทศให้เข้ามาประกอบธุรกิจ ช่วยสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งความรู้ เงินทุน การเติบโตทางธุรกิจของผู้ประกอบการ และสตาร์ตอัพให้ก้าวสู่ระดับสากล พร้อมทั้งเพิ่มอัตราการจ้างงาน รายได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ได้รวบรวมจุดแข็งของแต่ละหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมาบูรณาการอยู่ภายในย่านฯ สนช.ได้เข้ามาตั้งศูนย์บริการ Startup Thailand Center ซึ่งมีพื้นที่กว่า 200 ตร.ม. ไว้ให้บริการแก่ผู้ประกอบการสตาร์ตอัพทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้จัดตั้งบริษัทในไทยอย่างสะดวก รวดเร็ว
นายฐนสรณ์ ใจดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทรู ดิจิทัล พาร์ค กล่าวว่า “กลุ่มทรู มุ่งมั่นพัฒนาโครงการทรู ดิจิทัล พาร์ค ให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งความร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.)
โดยในครั้งนี้ เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมพัฒนาย่านนวัตกรรมปุณณวิถี ยกระดับสู่ Bangkok CyberTech District ให้เห็นเป็นรูปธรรมถึงการใช้พื้นที่เป็นศูนย์กลางในการสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัล และส่งเสริมการเติบโตของเหล่าสตาร์ตอัพ ซึ่งเป็นนักรบทางเศรษฐกิจรุ่นใหม่ โดย ทรู ดิจิทัล พาร์ค มีศักยภาพที่จะสนับสนุนให้การพัฒนาย่านนวัตกรรม Bangkok CyberTech District มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และจะเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทำให้เกิดเป็นระบบนิเวศสมบูรณ์แบบสำหรับเหล่าสตาร์ตอัพ ภายใต้แนวคิด Open Innovation
มีทั้งบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เหล่าสตาร์ตอัพและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ นักลงทุน และหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดการถ่ายเทและหลอมรวมองค์ความรู้ด้านดิจิทัล ท่ามกลางบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม และรองรับการทำงานและการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว
The post สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สานพลัง ทรู ดิจิทัล พาร์ค ปั้นย่านปุณณวิถี เป็น Bangkok CyberTech District appeared first on iPhoneMod.
เราทราบกันดีกว่า iOS ปัจจุบัน (อย่าง iOS 11, 12) การที่เราแตะปิดสัญญาณ Wi-Fi ผ่าน Control Center นั้นเป็นเพียงการตัดการเชื่อมต่อ Wi-Fi เท่านั้นโดยที่ระบบยังทำงานและค้นหาสัญญาณใหม่อยู่ทำให้กินแบตโดยใช่เหตุ การปิด Wi-Fi แบบบสนิทนั้นปกติทำได้โดยการเข้าไปปิดที่ Settings หรืออีกวิธีก็โดยสั่งผ่าน Siri วันนี้จะขอเสนอวิธีล่าสุดนั่นคือ ทำคำสั่งลัด แล้วปิด ซึ่งพบว่าวิธีการนี้สะดวกง่ายและได้ผลจริงๆ
วิธีปิด Wi-Fi แบบดับสนิท ใน iOS 12 ด้วยคำสั่งลัด Shortcut)สิ่งที่จะได้จากบทความนี้คือ คำสั่งลัดสำหรับการปิด Wi-Fi แตะทีเดียวดับสนิท ซึ่งไม่ใช่แค่การตัดสัญญาณเท่านั้น สะดวกไม่ต้องทำหลายขั้นตอน
สิ่งที่ต้องเตรียม1. เปิดลิงก์นี้ http://bit.ly/2ycYfHy เพื่อติดตั้งคำสั่ง Turn Off Wi-Fi > เลือก Get Shortcut (รับคำสั่งลัด)
2. แตะแถบ Library (คลัง) เพื่อดูว่าติดตั้งสำเร็จหรือไม่ ถ้ามี Turn Off Wi-Fi ขึ้นก็ถือว่าติดตั้งสำเร็จ
วิธีเปิดใช้
ถ้าเพิ่ม Shortcuts ไว้ที่ Widget แล้วก็เรียกใช้งานได้ง่ายโดยปัดหน้าจอไปทางซ้ายแล้วแตะ Turn Off Wi-Fi ได้เลย
การเรียกใช้คำสั่งลัด Turn Off Wi-Fi เพื่อปิดการรับสัญญาณ Wi-Fi
เพียงเท่านี้ Wi-Fi ก็จะถูกปิดการทำงาน ตรวจสอบได้ผ่านหน้าต่าง Control Center
สะดวกเลยทีนี้
อัปเดตคำสั่งลัดอื่นๆ
The post วิธีปิด Wi-Fi แบบดับสนิท ใน iOS 12 ด้วยคำสั่งลัด (Shortcuts) appeared first on iPhoneMod.
แบงก์กสิกรไทยอัพเกรด KPLUS ออกฟีเจอร์ใหม่เพียบ แต่เขาทำได้ยังไง และเป้าหมายใหม่ในการมีลูกค้า 100 ล้านคน KBANK ต้องทำอะไรบ้างหลังจากนี้
สมคิด จิรานันตรัตน์ ประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) บอกว่า ปัจจุบันมีลูกค้าใช้แพลตฟอร์ม KPLUS ที่ 9.4 ล้านราย ซึ่งสิ้นปีนี้น่าจะมีลูกค้าเกิน 10 ล้านคนแน่นอน แต่เป้าหมายใหญ่ของเราคือจะต้องทำแพลตฟอร์มให้แข็งแรงขึ้นและเพิ่มผู้ใช้งานให้ไปถึง 100 ล้านรายทั้งไทยและต่างชาติ
“เราต้องคิดนอกกรอบ KPLUS เราจะไม่ใช่แค่บริการแบงก์ ต้องมีบริการอย่างอื่นมาเพิ่ม และอนาคตจะให้บริการร่วมกับแบงก์ต่างประเทศ ไม่ใช่แค่บริการในไทย เราจะทำให้ KPlus เป็นศูนย์รวมทั้งผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ ผ่านการ open platform เปิดกว้างให้ผู้ประกอบการเข้ามาใช้งานทั้งไทยและทั่วโลก ซึ่งจะเอื้อให้การค้าง่ายขึ้น”
ล่าสุดที่ KPLUS ที่อัพเกรดใหม่ เกิดจากเทคโนโลยีสำคัญคือ AI-Artificial intelligence (ปัญญาประดิษฐ์) ที่ชื่อว่า KADE ซึ่งจะทำให้ธนาคารเข้าใจแล้วก็รู้ใจลูกค้ามากขึ้น เพราะ KADE จะศึกษา เรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้า นำมาวิเคราะห์และต่อยอดให้บริการได้ดีขึ้น
อย่าง 6-7 เดือน เดือนที่ผ่านมาเราใช้ AI Machine Learning มาดูว่าลูกค้าคนไหน มีพฤติกรรมดี อยากได้สินเชื่อ เราก็เสนอสินเชื่อส่วนบุคคล (Ploan) ให้ผ่านมือถือ โดยไม่ต้องใช้พนักงาน ตอนนี้ก็มีปล่อยสินเชื่อไปหลายพันล้านบาทแล้ว ที่สำคัญหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ (npl) ที่เกิดขึ้นยังต่ำกว่าการปล่อยสินเชือช่องทางอื่นๆ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของแบงค์ในการจัดการหนี้เสียด้วย
ตอนนี้ทีมงานที่ทำเรื่อง AI มีอยู่ 60 คน ภายในสิ้นปีหน้าเราก็ตั้งใจจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 คน เพื่อรองรับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆบริการใหม่ๆที่จะเกิดขึ้น
ปี 62 เตรียมฟีเจอร์ใหม่ สั่งงานด้วยเสียง-ใช้หน้าจ่ายเงิน-robo advisorตอนนี้ใน Lab เรากำลังทดสอบบริการหลายอย่าง 1. Voice Command หรือการใช้คำสั่งเสียงในการทำธุรกรรมได้เลย เพราะบางครั้งเราไม่สะดวกที่จะกดมือถือมากนัก เช่น พอเรากำลังจะข้นด่วนต้องเติมเงินใน Easy Pass เราไม่สะดวกมากดมือถือ ต่อไปเราก็เปิดแอพฯ KPLUS แล้วพูดสั่งว่า โอนเงิน 300 บาทเข้า Easy Pass ได้เลย ซึ่งระบบจะทวนคำสั่งของเรา ให้ยืนยันก่อนว่ารายการถูกต้องไหม แล้วถึงจะดำเนินการให้
2.การใช้ใบหน้าในการชำระเงิน ตอนนี้เราทดลองการใช้ใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตน วิธีการคือ เราต้องถ่ายรูปตัวเองเก็บไว้ในแอพฯ ก่อน เมื่อจะจ่ายเงินฝั่งร้านค้าก็เปิด KPLUS ถ่ายรูปลูกค้า ถ้าตรงกันก็จ่ายเงินได้เลย เส้นทาง Voice Command แล้วก็การใช้ใบหน้าในการชำระเงินน่าจะได้ใช้จริงภายในต้นปีหน้า
3.Robo adviser ที่ปรึกษาทางการเงินผ่านมือถือให้ลูกค้า KPLUS บริหารเงินง่ายขึ้น จะมีทั้งแนะนำการออมเงินวิธีการลงทุนให้ได้ตามเป้าหมาย ฯลฯ feature นี้น่าจะออกมาให้ใช้ได้จริงในครึ่งปีแรก 2562
พัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า ที่ผ่านมาธนาคารเราเน้นตลาดลูกค้าหัวเมืองใหญ่ที่มีธุรกรรมเกิดขึ้นเยอะ แต่ปีนี้เราจะขยายไปที่จังหวัดเมืองรองต่างๆ มากขึ้น เพื่อเข้าถึงลูกค้าหลายกลุ่ม หลักๆ เช่น ร้านค้า รวมถึงกลุ่มนักศึกษาที่อนาคตเขาต้องใช้บริการทางการเงินเพิ่มขึ้น ปัจจุบันเรามีลูกค้าใหม่ที่สมัครใช้ KPLUS 150,000 รายต่อเดือน
“วันนี้เราต้องทำการเข้าถึงลูกค้าในเชิงรุกมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาธนาคารเป็นฝ่ายรอให้ลูกค้าเดินเข้ามาหาแต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแบงค์ต้องปรับตัว อย่างด้านไอทีแต่ละปีธนาคารกสิกรไทยใช้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท”
สรุปมือถือกลายเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิต ธนาคารเลยต้องปรับตัวให้ไว อย่างกสิกรไทยอัพเกรด KPLUS ตัวใหม่เพื่อเข้าถึงและเข้าใจลูกค้ามากขึ้น แต่ไม่ใช่แค่ลูกค้าคนไทย เขามองไปถึงฐานลูกค้าทั่วโลก ดังนั้นเขาต้องพัฒนาบริการใหม่ๆ เช่น คำสั่งเสียง การใช้ใบหน้าจ่ายเงิน ที่ปรึกษาการลงทุน ฯลฯ ขณะเดียวกันต้องลงพื้นที่เข้าหาลูกค้าเชิงรุกในกลุ่มต่างๆ มากขึ้น หลังจากนี้คงต้องติดตามกันว่ากสิกรไทยจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
อีกหนึ่งฟีเจอร์น่าสนใจที่เราอยากให้ผู้ใช้ iOS 12 มีติดเครื่องไว้คือเปิด Super Low Power MODE ด้วย Siri Shortcut ช่วยให้ iPhone ของเราประหยัดแบตฯ มากๆ ตอนแบตฯ ใกล้หมด
Super Low Power MODEiDeviceHelp ได้จัดทำคำสั่งลัด (Siri Shortcut) ใน iOS 12 มาให้ติดตั้งใช้งานกัน โดยคำสั่งลัดตัวนี้ชื่อว่า “Super Low Power MODE” ช่วยให้ iPhone ของเราใช้แบตฯ น้อยมาก สำหรับในกรณีที่เราอยากให้เครื่องประหยัดแบตฯ หรือแบตฯ ใกล้หมด
สิ่งที่ต้องเตรียม1. เปิดลิงก์นี้ https://bit.ly/2pODwW8 ใน Safari เพื่อติดตั้งคำสั่ง Super Low Power MODE > เลือก Get Shortcut (รับคำสั่งลัด)
2. แตะแถบ Library เพื่อดูว่าติดตั้งสำเร็จหรือไม่ ถ้ามี Super Low Power MODE ขึ้นก็ถือว่าติดตั้งสำเร็จ
ถ้าเพิ่ม Siri Shortcut ไว้ที่ Widget แล้วก็เรียกใช้งานได้ง่ายโดยปัดหน้าจอไปทางซ้ายแล้วแตะ Super Low Power MODE
การเปิดใช้ Super Low Power MODE นั้นจะไปลดแสงหน้าจอ, ตัดการเชื่อมต่อ Wi-Fi, Bluetooth และเปิดโหมด Low Power Mode
แต่ถ้าจะปิดใช้นั้นผู้ใช้ต้องการให้กลับมาเหมือนเดิมก็ต้องไปปรับแสงหน้าจอ เชื่อมต่อ Wi-Fi, Bluetooth และเปิด Low Power Mode ด้วยตนเอง
หรือไม่ก็สร้าง Shortcut ขึ้นมาใหม่เองเพื่อให้ปิด Super Low Power MODE ก็ได้ครับ
The post วิธีเปิด Super Low Power MODE ด้วย Siri Shortcut ใน iOS 12 appeared first on iPhoneMod.
Google ได้ปล่อยอัปเดตแอป Google Photos สำหรับ iOS ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ Live Albums ที่สามารถอัปโหลดและแชร์รูปภาพคนหรือสัตว์เลี้ยงที่เลือกได้อัตโนมัติ
Google Photos อัปโหลดรูปภาพคนหรือสัตว์เลี้ยงที่เลือกใน Live Albums อัตโนมัติการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ครั้งนี้ เป็นการอัปเดตการแชร์รูปภาพคนหรือสัตว์เลี้ยงที่เราเลือกว่าจะให้มีการอัปโหลดไปยัง Live Albums แบบอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ต้องมาเลือกอัปโหลดเอง
Introducing live albums that automatically update with the latest pictures of your favorite people (and pets). They're easy to share with, say, grandma who loves to see new pics of the kids.https://t.co/3NiaEUWGOa pic.twitter.com/osd4xrigkl
— Google Photos (@googlephotos) October 9, 2018
ผู้ใช้สามารถสร้าง Live Albums ขึ้นมาในแอป Google Photos และเลือกว่าจะให้มีการอัปโหลดรูปใครบ้าง (หน้าคนหรือสัตว์เลี้ยง) แบบอัตโนมัติ เช่น เราเลือกว่าจะให้รูปสุนัขของเราอัปโหลดใน Live Albums เวลาที่เราถ่ายรูปสุนัขตัวนี้ รูปภาพก็จะอัปโหลดใน Live Albums ที่เราสร้างโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องมากดอัปโหลดเอง นอกจากนี้เรายังสามารถแชร์ Live Albums ให้กับคนในครอบครัวและเพื่อนๆ ได้แบบเรียลไทม์อีกด้วย
ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ง่ายและสะดวกกับคนที่ชอบเก็บรูปไว้ในแอป Google Photos แบบแยกอัลบั้ม จัดสรรเป็นส่วนๆ ว่า อัลบั้มนี้จะเก็บรูปใครไว้บ้าง การอัปโหลดรูปอัตโนมัติตามหน้าคนหรือหน้าสัตว์เลี้ยง จะช่วยลดเวลาการอัปโหลดและแชร์รูปภาพได้มากขึ้น
นอกจากจะอัปเดตฟีเจอร์ใหม่แล้ว Google Photos ยังได้ปรับปรุงหน้าตาของแอปให้ดูสะอาดและใช้งานได้ง่ายมากขึ้น Google ได้เริ่มทยอยปล่อยฟีเจอร์นี้สำหรับ iOS และ Android ในบางประเทศแล้ว สำหรับใครที่อัปเดตแล้วยังไม่เห็นฟีเจอร์ใหม่ แนะนำว่าให้รอประมาณ 2-3 วันและกลับมาเช็คดูใหม่นะคะ
ขอบคุณ idownloadblog
The post Google Photos อัปเดตใหม่ อัปโหลดรูปภาพคนหรือสัตว์เลี้ยงที่เลือกใน Live Albums อัตโนมัติ appeared first on iPhoneMod.
ถ้าใครเคยเล่นเกม Stardew Valley บน PC หรือ Nintendo Switch คงจะรู้จักกันดีกับเกมปลูกผักแบบออนไลน์ คล้ายกับ Harvest Moon ซึ่งตอนนี้ ConcernedApe ผู้พัฒนาเกมได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า เตรียมจำหน่ายเกมบน iOS วันที่ 24 ตุลาคมนี้ !! ส่วนเวอร์ชัน Android ยังไม่มีการระบุวันจำหน่ายที่แน่ชัด
สำหรับเกม Stardew Valley เป็นเกมที่จะต้องปลูกผัก เก็บตังค์ ขุดเหมือง ตกปลา และมีระบบเพื่อนบ้าน ซึ่งจุดเด่นดั้งเดิมของเกมนี้คือ เป็นเกมออนไลน์ ที่เพื่อนสามารถเข้ามาในฟาร์มของเราเพื่อมาช่วยเราจัดการฟาร์มได้ แต่น่าเสียดายในเวอร์ชัน 1.3 นี้จะระบบ Story mode, ไม่สามารถเล่นออนไลน์กับเพื่อนได้
อย่างไรก็ตามยังไม่มีการคอนเฟิร์มแต่อย่างใดว่าในอนาคตนั้น ทางผู้พัฒนาจะมีการอัปเดตตัวเกมให้สามารถเล่นออนไลน์ได้เหมือนบน PC หรือไม่
ส่วนราคาเกมนี้อยู่ที่ 279 บาท ไม่มี In-app Purchase จ่ายครั้งเดียวเล่นยาว ๆ แต่ตอนนี้ยังไม่มีเปิดให้ดาวน์โหลด แต่สามารถเข้าไปกด Pre-order ได้แล้วตั้งแต่วันนี้และจะเปิดให้ซื้ออย่งเป็นทางการวันที่ 24 ตุลาคมนี้ สำหรับใครที่สนใจหรืออยากเข้าไปดูรายละเอียดเข้าไปดูได้ที่
Stardew Valley for iOSที่มา – MacRumors
The post Stardew Valley เกมปลูกผักชื่อดัง เตรียมจำหน่ายบน iOS วันที่ 24 ต.ค.นี้ ราคา 279 บาท !! appeared first on Macthai.com.
Dropbox ประกาศว่าจะเริ่มใช้ฟีเจอร์การรู้จำตัวอักษรในรูปภาพและไฟล์ PDF อัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาไฟล์งานตามข้อความได้ง่ายขึ้น
Dropbox เพิ่มคุณสมบัติการค้นหาข้อความในไฟล์ PDF และไฟล์รูปภาพคุณสมบัติใหม่นี้ใช้ประโยชน์จากความฉลาดของเครื่องมือที่มีอยู่ให้เป็น Smart Search อำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้แพ็กเกจ Professional, Business Advanced และ Enterprise ที่สามารถค้นหาไฟล์จากการพิมพ์ข้อความที่อยู่ในไฟล์ PDF, ไฟล์รูปภาพ JPG, PNG และ GIF ซึ่งระบบจะสแกนหาข้อความภายในไฟล์เหล่านี้
ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจและมีประโยชน์มากๆ สำหรับคนที่เก็บไฟล์ไว้ใน Dropbox ค่อนข้างเยอะ คุณก็สามารถค้นหาเอกสารหรือไฟล์ได้รวดเร็วมากขึ้น เช่น ค้นหาไฟล์พิมพ์เขียวจากชื่อสถาปนิกที่มีการลงชื่อของตัวเองไว้, เวลาที่เราบันทึกภาพหน้าจอของตั๋วเครื่องบิน ก็สามารถค้นหาตามชื่อ ไฟลท์ หรือข้อความที่เราจำได้บนรูปภาพ พูดได้เลยว่า ไม่ว่าไฟล์ไหนๆ ค้นหาอะไรก็เจอ เพียงแค่กรอกคีย์เวิร์ดคำค้นหาที่ต้องการ
คาดว่าคุณสมบัตินี้รองรับการรู้จำตัวอักษรภาษาอังกฤษเท่านั้น แอดมินของแพ็กเกจ Business Advanced และ Enterprise สามารถตั้งค่าการเข้าถึงให้กับทีมได้เลย ส่วนสมาชิกแพ็กเกจ Professional จะเริ่มใช้คุณสมบัติการรู้จำข้อความในรูปภาพได้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
ของคุณ iclarified
The post Dropbox เพิ่มคุณสมบัติการค้นหาข้อความในไฟล์ PDF และไฟล์รูปภาพ appeared first on iPhoneMod.
เมื่อวานนี้กสิกรไทย ได้ปล่อยอัปเดตแอป K+ เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ชูโรงด้วยดีไซน์แอปใหม่ทั้งหมด ใช้งานได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นอย่างมาก
สำหรับแอปกสิกรไทยหรือ K PLUS มีฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย ที่เรียกได้ว่าจัดเต็มทุกฟังก์ชันจริง ๆ ตามด้านล่างนี้
สำหรับใครที่มีบัญชีกสิกรไทยอยู่ ก็สามารถเข้าไปกดอัปเดตแอปได้แล้วตอนนี้ ทั้ง iOS และ Android เลย
รายงานโดย
ทีมงาน MacThai
The post K PLUS ออกแบบแอปใหม่ทั้งหมด รองรับหน้าจอ iPhone XS, กดเงินโดยไม่ต้องใช้บัตรได้แล้ว appeared first on Macthai.com.