OnePlus 8 และ 8 Pro เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อคืนนี้ ทั้งสองรุ่นมีราคาเปิดตัว เริ่มต้นที่ 699 กับ 899 ดอลลาร์ ตามลำดับ (คาดการณ์ราคาไทย ประมาณ 24,900 กับ 31,900 บาท) ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นราคาที่แรงพอๆ กับ “เรือธง” หลายๆ รุ่นของปีนี้ และเพิ่มขึ้นจาก One Plus 7T และ 7T Pro ที่มีราคาเริ่มต้นในไทย ที่ 17,990 กับ 26,990 บาท โดยที่มาของราคาในซีรีส์ 8 ที่พุ่งขึ้นสูงนี้ คาดว่ามาจากชิป Qualcomm Snapdragon 865 ที่บังคับว่าผู้ผลิตต้องพ่วงชิปโมเด็ม X55 ที่รองรับ 5G มาด้วย
แรกเริ่มเดิมที OnePlus เริ่มต้นด้วยการเป็นแบรนด์มือถือแอนดรอยด์ที่มีราคาย่อมเยา แต่มีสเปกที่เรียกได้ว่า “สูสี” กับเรือธงของฝั่งแอนดรอยด์ในปีนั้นๆ เสมอ จนมือถือของ OnePlus ได้ฉายาว่าเป็น “นักฆ่าเรือธง” อยู่บ่อยๆ แต่ราคาของ OnePlus ก็ขยับขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีเช่นกัน
OnePlus 6 เป็นมือถือรุ่นแรกของบริษัท ที่มีราคาเกิน 500 ดอลลาร์ (จำหน่ายในไทย เริ่มต้นที่ 17,999 บาท) มาพร้อมกับชิป Snapdragon 845 ซึ่งเป็นชิประดับท็อปในปี 2018 และมีฟังก์ชั่นที่ครบถ้วนในระดับเรือธง มีกล้องคู่ มีกันสั่น OIS และ Oxygen OS ที่ครอบอยู่บน Android 8.1 ก็ได้รับคำชมว่าเป็น UI ของ Android ที่สะอาดสะอ้าน ปรับแต่งได้ดี ไร้ bloatware กวนใจ และได้รับอัปเดตไว เทียบชั้นได้กับ Pure Android บน Pixel เลยทีเดียว
ก่อนที่ One Plus 7 Pro จะทำลายกำแพงราคาแบบก้าวกระโดดจาก OnePlus 6T ที่มีราคา 549 ดอลลาร์ (ประมาณ 18,990 บาท) ขึ้นไปเป็น 669 ดอลลาร์ (ประมาณ 26,990 บาท) เลยทีเดียว เพราะเปลี่ยนโมเดลวางจำหน่ายเป็นการออกปีละสองรุ่น คือรุ่น 7 Pro ที่มีราคาแพงกว่า กับรุ่นธรรมดา ที่มีราคา 630 ดอลลาร์ (ประมาณ 21,990 บาท) แต่ฟีเจอร์น้อยกว่าแทน ก่อนจะมาจบที่รุ่นล่าสุด คือ OnePlus 8 Pro ที่มีราคาพุ่งไปถึง 899 ดอลลาร์และราคาในไทยก็คงเกินสามหมื่นบาทไปแล้ว
ถ้าดูจากกราฟจะเห็นได้ว่าราคาค่อยๆ ขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากราคาดอลลาร์ที่เทียบเป็นเงินไทยได้หมื่นต้นๆ ถึงหมื่นกลาง จนมาถึง OnePlus 8 ในปีนี้ ที่ถึงจะเป็นรุ่นราคาถูกกว่า ที่ 699 ดอลลาร์ แต่เมื่อเข้าไทย อาจจะมีราคาถึงประมาณ 24,900 บาท ซึ่งก็ไม่ได้มี “ราคาถูก” อีกต่อไปแล้ว
เอกลักษณ์ของ “นักฆ่าเรือธง” ที่สู้ด้วยราคาที่ถูกกว่ามาตลอดดูเหมือนจะหายไปแล้ว แบบนี้การกลายเป็นเรือธงเต็มตัวของ OnePlus จะทำให้ฐานลูกค้า หรือแฟนคลับกลุ่มเดิมของ OnePlus เริ่มมองหามือถือค่ายอื่นที่ถูกกว่าหรือเปล่า
ยิ่งยอดขายของสมาร์ทโฟนระดับราคาเรือธงมีทีท่าไม่สู้ดีนัก ในสภาวะเศรษฐกิจที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลงจากวิกฤต COVID-19 แบบนี้ แต่สมาร์ทโฟนของ OnePlus กลับยอมแลกให้ได้ชิปที่มีความเร็วสูงที่สุด แม้ราคาจะพุ่งสูงขึ้นอีกจากการบังคับขายพ่วงชิปโมเด็ม 5G ของ Qualcomm ก็ต้องรอดูต่อไปว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่
อีกจุดที่ OnePlus แตกต่างจากแบรนด์อื่น คือทั้ง Samsung, Oppo หรือ Vivo มีสมาร์ทโฟนระดับกลางไปถึงล่างอยู่ในมือ แต่ OnePlus ไม่มี จึงต้องหวังพึ่งยอดขายจากรุ่นธรรมดา ที่มีราคาแพงกว่าเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนระดับกลางเช่น Samsung A series, Vivo หรือ Oppo รุ่นกลางลงไปอยู่ดี เรียกได้ว่าเป็นยุคข้าวยาก OnePlus แพง และอาจจะเป็นช่วงเข็นสมาร์ทโฟนขึ้นภูเขาของ OnePlus อย่างแท้จริง
Comments
เดี๋ยวอีกสักพักแตกร่าง
ฆ่าแม้กระทั่งตัวเอง จุดแข็งเรื่องราคาคุ้มค่าหายไป
ผู้บริหารน่าจะรู้ว่าแบรนด์หลักๆ มันแพงกว่านี้มากครับ ราคาต่ำกว่านี้หาดีได้ยาก ลูกค้าที่อยากได้ของดีราคาถูกกว่าแบรนด์หลักเหมือนถูกบีบด้วยสภาพตลาดกลายๆ
พูดตามตรงว่า smartphone 25k ที่คนใช้ต้องมานั่งแก้ profile modem เพื่อให้รองรับ VoLTE / VoWiFi เองนี่ โคตรย้อนแย้ง
เหมือนจะเรือธง แต่สุดท้ายต้อง Community support เหมือนเดิม - -
ทำไมรู้สึกจุกๆ
ผ่าม เขียนอันนี้ไว้ วันถัดมา iPhone SE เปิดตัว 14,900 บาท
You either die a Flagship killer.....
Or just kill yourself
ราคาแรงแบบนี้ไปเล่น Samsung ดีกว่ามั้ง
Dave Lee: The current flagship killers are just the last year's flagships.
Flagship killer's killed by iPhone SE
เจอ iPhone se ตบดิ้นเลย
ไม่น่าขนาดนั้นนะครับ ผมเลือก 7T ถ้าให้เทียบกันดีกว่าทุกด้าน
ไม่น่าแรงกว่า SE นะครับ
ถ้าเน้นเล่นเกม iOS ก็ดีกว่าแอนดรอย
เรื่องอัพเดตเวอร์ชันใหม่ ฝั่ง iOS ก็ support ยาวนานกว่า
ผมมองว่า A13 บนจอ 4.7", 1334x750 มันเป็นความแรงที่ไม่ได้ใช้เต็มที่(eg. games)หน่ะครับ
เทียบกันแล้ว 7T/7 Pro ที่ราคาพอๆกัน ได้ความแรงที่พอเหมาะ(อย่างน้อยก็คนละ tier กับ 730/765) แต่ได้ฟีเจอร์อย่างอื่นเพิ่มเช่น จอเต็ม 1080p+/1440p+ 90Hz, กล้อง, on-screen touch, 30W charge
ส่วน SE ที่เด่นๆเหนือกว่าจะเป็น Qi, IP67, Wifi 6(น่าจะมีนะ)
แต่พอพูดถึงสองตัวนี้แล้ว ก็อดพูดถึง Samsung A71(อีกรอบ)ไม่ได้ รายนั้น 13,999 แต่ไม่มีอะไรเด่นเลย ทั้งกล้อง ทั้งจอ ทั้งความแรง
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
จริงครับ iPhone SE คนที่ตายหนักพอกันน่าจะเป็น Samsung รุ่นราคาใกล้ๆ กันครับ คนมีงบ 15k ที่จะซื้อคงเบรกเอี้ยดเลย
Wifi6 มีนะ อีกข้อก็ vowifi
ชิป A13 บนจอนี้ ณ ปีนี้อาจจยังไม่เท่าไร แต่พอนานไปถ้ามีเกมโหดใหม่ๆ มา ผมว่าก็คุ้มดีนะครับ แรงได้ยาวๆ
กลัวใจอย่างเดียวคือ ถึง efficiency(joules/work) จะพอๆกัน แต่มันกิน wattage มากกว่า A11(บน i8 ที่น่าจะมีความจุแบตพอๆกัน) มากครับ ดังนั้นปัญหาการลด performance หลังจากแบตเสื่อมน่าจะมาเร็วขึ้น ก็เป็น drawback อย่างนึง
แต่ผมก็เห็นด้วยกับการเลือกใช้ A13 แทนที่จะเป็น A12 ของ Apple นะ คืออย่างน้อยๆก็ได้ Wifi 6 นี่แหละ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมใช้ 7T อยู่นะครับ เล่น Honkai Impact ได้แค่เนื้อเรื่องปกติ ถ้าเล่นสิ้นหายนะฮงไกต้องไปจับ iPad เพราะมันร้อนจนลวกมือเลย
I need healing.
Se มันดีดว่า 7T ขนาดนั้นเลยหรอครับ ในราคาใกล้เคียงกัน
ถ้าเรื่อง option ต่างๆนี่ผมว่ามันแล้วแต่ความต้องการใช้งานของแต่ละคนครับ
แต่ถ้าเรื่องความแรงนี่ iPhone มันทิ้งห่างชาวบ้านไปหลายขุมมานานแล้วครับ
ตั้งแต่ iPhone 6s(ชิพA9) เป็นต้นมานี่ ทำเอา Snapdragon หืดขึ้นคอเลยครับ เค้นจนร้อนแล้วก็ยังสู้แทบไม่ไหว
ชิพมันเหนือกว่าไปอีกขั้นนึงตลอดครับ ผนวกกับ os มันผสานกันอย่างลงตัว ถ้าไม่เล่นจนร้อนแล้วกระตุกซะก่อนนะ แล้วแต่รุ่น
เรื่องความแรงชิปเรือธง apple นำมานานแล้วครับ ยอมจริงๆ แต่เรื่องอื่นๆ .... ??
ผมว่ามันคือกลยุทธ์เขานะ เพราะช่วงแรกมาเพื่อฆ่าเรือธง แต่ตอนหลังปรับกลยุทธ์เป็นด้านความลื่นไหลของรอมเป็นหลัก และสามารถอัปราคาได้เรื่อย ๆ เพราะว่ามีจุดขาายที่ชัดเจนแล้ว ไม่จำเป็นต้องสู้เรื่องราคามากเหมือนแต่ก่อน
อีกปัจจัยคือ Qualcomm ที่คิดค่าชิปแพงขึ้น และผู้ผลิตส่วนมากยังไว้ใจ Qualcomm อยู่ในฝั่งของ Android
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ผมว่าเป็นสภาพบังคับมากกว่า จากการที่รุ่นกลางๆ มันเริ่มชยับมาทำอะไรได้จนแทบจะเท่ากับ flagship คราวนี้จะเล่นท่าเดิมก็ไม่ได้แล้ว เลยต้องกลืนน้ำลายแล้วก็มุ่งมาที่พรีเมี่ยมเต็มตัว
ส่วนหนึ่งด้วยครับ เพราะลูกค้าเขา expect มากขึ้นจาก OnePlus แต่การที่จะเพิ่มฟีเจอร์อะไรต่าง ๆ มันก็ต้องมี cost ของมัน โดยเฉพาะส่วนฮาร์ดแวร์และ R&D
ยิ่ง revenue ของ OnePlus ส่วนใหญ่มาจากการขายฮาร์ดวแร์ ทำให้ cost ส่วนนี้มันสูงขึ้นเยอะครับ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
การที่เขาปรับมาเป็น flagship ผมว่าเค้าทำได้ได้สมราคานะ 7 pro ความเป็น flagship อย่างหนึ่งที่รับรู้ได้คือเดรื่องงานประกอบเครื่อง การทัชสกรีนเครื่อง และรอบนี้แก้ไขจุดอ่อนเรื่องกล้องรีวิวออกมาดีมาก
"อัพเดทเร็วเทียบชั้นกับ Pixel" ผมเคยเชื่อและเลือกซื้อ แต่ตอนนี้บอกได้เลยไม่ต่างกับพวก Android One ที่บางทีก็ช้ากว่าเสียด้วยซ้ำ แล้วปัญหาที่แจ้งเข้าไปใน Community แล้วก็ตอบทราบแล้ว มีคนเจอเหมือนกันเยอะแยะ แต่ไม่เห็นจะแก้ไขได้ซักที ค่อนข้างเฟล
OnePlus บางจุดเขียนเป็น One Plus (เว้นระหว่างคำ) นะครับ
ถ้าชนราคาและสเป็ค CPU/GPU ตัว SE ใหม่ น่าจะคุ้มสุดๆ
ถ้าเอาอย่างอื่นต้องคิดหนักหน่อย จอเต็ม กล้องไวด์ ซูม etc..
นั่นแหละจุดขายไอโฟน ชิพ+ios หลักๆ ผมมองว่ามีประมาณนี้ เพิ่มมาอีกเรื่องก็งานวิดีโอ ที่อยู่อันดับต้นๆ เสมอตีคู่กับซัมซุง
เป็นสัญญาณของการแตก Brand ย่อย สำหรับมือถือระดับต้น แบบที่ค่ายจีนนิยมทำกัน ค้าขายก็ต้องมีกำไร ตัว Brand หลักก็ไว้ทำกำไร แตก Brand ย่อยออกมาถล่มราคาวนไป น่าจะถือว่าเป็นเทคนิคในการสร้าง Premium Brand ของทางจีนไปแล้ว ที่ทุ่มตลาดเพื่อให้ชื่อติดแล้ว Up ราคา เมื่อจุดกระแสติด และคนคุ้นเคย แล้วก็แตก Brand ย่อยมาแทนที่ตำแหน่งเดิม
ปีหน้า OnePlus ทำไลน์อัพรุ่นกลาง-ล่าง เพิ่มมานี่ ฮาเลยนะครับ แต่อาจจะน่าสนใจนะ
เป็นไปได้ไหมว่าจะเตรียมออกแบรนด์ถูกหรืออาจทดลองด้วย OnePlusZ ที่กำลังจะเปิดตัว ส่วนตัวบนที่มีชื่อไปแล้วก็เป็นโอกาสเพิ่มกำไร
ไม่น่าจะทำนะข่าว ที่หลุดมา OnePlusZ จะวางขายแค่บางประประเทศเอง
รอรุ่นกลาง กับ รุ่นล่างอยู่นะ
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6