Alexis Ohanian ผู้ร่วมก่อตั้ง Reddit (และสามีของนักเทนนิสชื่อดัง Serena Williams) ประกาศลาออกจากบอร์ดบริหารของ Reddit เพื่อเปิดทางให้แต่งตั้ง "คนดำ" เข้ามาเป็นบอร์ดแทน
นอกจากนี้เขายังประกาศว่าถ้ามีกำไรจากการขายหุ้น Reddit ในอนาคต เขาจะนำเงินก้อนนี้มาช่วยแก้ปัญหาแบ่งแยกสีผิว โดยเริ่มจากบริจาคเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้แคมเปญ Know Your Rights Camp ของนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล Colin Kaepernick
ฝั่งของตัวบริษัท Reddit เอง ซีอีโอ Steve Huffman (ซึ่งร่วมก่อตั้ง Reddit กับ Ohanian) ก็ประกาศสนับสนุนความเคลื่อนไหวนี้ โดยประกาศจะตั้งบอร์ดคนดำ และปรับนโยบายด้านเนื้อหาของ Reddit เพื่อแบนเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังและการเหยียดผิวด้วย
เหตุการณ์ประท้วงในสหรัฐ และแคมเปญ Black Lives Matter ทำให้บริษัทไอทีหลายรายออกมาสนับสนุนคนดำด้วยวิธีการต่างๆ เช่น บริจาคเงินให้องค์กรการกุศลที่เกี่ยวข้องกับคนดำ แต่การลาออกของ Ohanian เพื่อเปิดทางให้บอร์ดคนดำ น่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมที่สุดแล้ว
I've resigned as a member of the reddit board, I have urged them to fill my seat with a black candidate, + I will use future gains on my Reddit stock to serve the black community, chiefly to curb racial hate, and I’m starting with a pledge of $1M to @kaepernick7’s @yourrightscamp
— Alexis Ohanian Sr. ? (@alexisohanian) June 5, 2020
— Alexis Ohanian Sr. ? (@alexisohanian) June 5, 2020
ที่มา - Alexis Ohanian, Reddit
Comments
ทำเป็นลาออก ดูออกว่าแกล้งเปลี่ยนมือ พองบบริษัทอนุมัติผ่านแล้วเอาใหญ่เลยนะครับ
หมายถึง Reddit แหละ
การแบ่งโควต้าแบบนี้ไม่ยิ่งทำให้การแบ่งแยกมันชัดเจนขึ้นหรอกเหรอ, ความเห็นผมคือถ้าจะลดการแบ่งแยกสีผิว เราไม่ควรเอาเรื่องสีผิวมาเป็นปัจจัยหรือเหตุผลมากกว่า
มันไม่ใช่เรื่องแบ่งโควต้า มันเป็นเรื่องเพื่อให้มีความเข้าใจ ความหลากหลายมุมมอง มากกว่า
ทุกวันนี้คนผิวสียังได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียมหลายๆ อย่าง เช่นบางครั้งมีความสามารถแต่ก็ไม่ได้รับโอกาส แต่พอจะเปิดโควต้าก็จะมีคนคอยมาบอกว่าวัดกันที่ฝีมือสิ
ประเด็นคือที่่ผ่านมามันก็ควรวัดด้วยฝีมือ แต่ต่อให้มีฝีมือก็ไม่ได้รับโอกาสไง เลยต้องพยายามหาทางชดเชยให้มีโอกาสบ้าง
ทุกวันนี้คนผิวสีได้รับกระปฎิบัติแบบพิเศษมากๆนะครับใน Tech Industry ถึงขั้นว่ามี Diversity Quota ด้วยซ้ำในเรื่องของการชดเชยตอนนี้เห็นว่าเกินพอตอนนี้มันคือ "ถึงไม่มีฝีมือแต่ก็จะให้โอกาส" การทำอะไรแบบนี้ backfire มันรุนแรงมากและตอนนี้ก็เริ่มแล้วด้วย
การที่จ้างคนที่ performance ไม่ถึงเข้ามาเพื่อหวังผลทางด้านภาพลักษณ์มันทำให้บริษัทไม่คาดหวังจนเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนร่วมงานว่าคนๆนี้จ้างมาเอาไว้ทำ PR พอ performance มันไม่ได้การทำงานเป็นทีมมันก็จะมีปัญหาครับแต่ความพิเศษอย่างนึงก็คือคุณไม่สามารถจะ call out คนพวกนี้ได้เลยเพราะทันทีที่คุณไปบอกว่าคนนี้ไม่ไหวคุณจะโดนเล่น racist card ทันที เรื่องแบบนี้มันจะ drive ให้คนที่ปรกติไม่ได้เกลียดคนผิวสี เริ่มเห็นด้วยกับพวก KKK มากขึ้นเรื่อยๆ การเหยียดผิวแบบเปิดเผยที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะครับ
คนขาว performance ไม่ถึงแล้วได้รับจ้างถมเถไปนะ ผมว่า
คน racist มันไม่ได้เยอะขึ้นขนาดนั้นหรอกครับ แต่บ็อทมันเยอะ มันเลยเหมือนเยอะ
เราก็อย่าไปเที่ยวกล่าวหาคนที่เขาว่าไม่ได้ racist ว่า racist จะได้ไม่ backfire
แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะปฏิเสธว่าไม่ได้มีปัญหาพวกนี้อยู่แล้วคอยร้องว่า"แบบนี้มันให้คนดำได้เปรียบ" แต่ก็ไม่เคยจะช่วยทำอะไรให้การเอาเปรียบคนดำหายไป
อย่างเอเชียทำไมผู้บริหารระดับสูงถึงผู้หญิงเยอะกว่าประเทศตะวันตกมากๆ ? เพราะคนเอเชียผู้หญิงเก่งกว่าคนตะวันตก? ผมว่าไม่น่าจะใช่ แต่น่าจะเรื่องการไม่โดนกีดกันมากกว่า
ผมเคยแสดงความเห็นเรื่องนี้ตอนที่มีประเด็นของ
นาย James Damore นานมาแล้ว
ว่าถ้าจะหยุดการเหยียดก็ต้องหยุดทั้งสองฝ่าย
ไม่กีดกันผู้หญิงก็ต้องไม่ให้สิทธิพิเศษผู้หญิงด้วย
racism กับ reverse racism
มันก็แค่อีกด้านของเหรียญเท่านั้นเอง
ขอแสดงความคิดเห็นแย้งเป็นส่วน ๆ ไปนะครับ
"คนขาว performance ไม่ถึงแล้วได้รับจ้างถมเถไปนะ
ผมว่า"
การจ้างคนที่ทำงานไม่ได้มันเป็นเรืองของทุกชาติทุกภาษา
ผมก็เคยสัมภาษณ์คนเข้าทำงานคุยกันแค่ 30 นาทีมันวัดยาก
ผมก็เคยรับคนที่ทำงานไม่ค่อยได้เช้ามาก็ทนกันไป
จนกว่าจะลาออกไปเองหรือรับคนใหม่ที่ดีกว่าเข้ามา
ขนาดเปิดรับทุกคนยังยาก ยิ่งถ้าไปกำหนดข้อจำกัดเข้าไปอีก
เช่นในเมืองไทยสมมติว่าไปกำหนดว่าต้องรับคน
จากภาคเหนือ/ผู้หญิง/LGBTQLMNOP+
เท่านั้นมันยิ่งไปลดโอกาสที่จะได้คนมีทำงานได้ดีไปอีก
"เราก็อย่าไปเที่ยวกล่าวหาคนที่เขาว่าไม่ได้ racist
ว่า racist จะได้ไม่ backfire"
ตอนนี้มันกำลังรอ backfire อยู่ครับ
เพราะการหงายไพ่ racist มันได้ผลทุกครั้งซะด้วย
"อย่างเอเชียทำไมผู้บริหารระดับสูงถึงผู้หญิงเยอะกว่าประเทศตะวันตกมากๆ ?
เพราะคนเอเชียผู้หญิงเก่งกว่าคนตะวันตก?
ผมว่าไม่น่าจะใช่ แต่น่าจะเรื่องการไม่โดนกีดกันมากกว่า"
อันนี้ผมขอถามคุณกลับก็แล้วกัน
คุณคิดว่าผู้หญิงเอเซียมีสิทธิเสรีภาพมากกว่าผู้หญิงตะวันตก?
คุณคิดว่าผู้หญิงเอเซียถูกกดขี่ถูดเอาเปรียบน้อยกว่าผู้หญิงตะวันตก?
คุณคิดว่าผู้หญิงเอเซียมีระบบสนับสนุนในการทำงานมากกว่าผู้หญิงตะวันตก?
LGBTQ ไม่ต้องต่อยาวอย่างนั้นก็ได้มั้งครับ
แต่ก่อนมันเริ่มจาก lgb มาเป็น lgbt ล่าสุดเป็น lgbtq แล้วครับ
ผมหมายถึง LMNOP+ ครับ
ประเด็นที่เค้าต่อยาวแบบนั้นคือต้องการสื่อว่ามีคนเรียกร้องเพศตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ
ผมคิดว่าผู้หญิงได้รับโอกาสในการเป็นผู้บริหารระดับสูงมากกว่าตะวันตกจริงครับ เราไม่มี bro-culture ในระดับบริหารแบบนั้น ส่วนใหญ่เรามีในระดับล่างๆ
ในแง่อื่นถูกกดขี่กว่าจริงแต่พวกนั้นไม่ได้อยู่ในขอบข่ายการเป็นผู้บริหารครับ อันนี้พูดผู้บริหารนะครับ ไม่ได้พูดถึงคนงานทั่วไป กรรมกร แรงงานเกษตร ฯลฯ
ผู้หญิงตะวันตกทุกอย่างดีกว่าผู้หญิงเอเซีย
ยกเว้นตอนเป็นผู้บริหารอย่างเดียวยังงั้นเหรอ?
ถ้าคิดตามตรรกะปกติผู้บริหารผู้หญิงเอเซียเรามีมากกว่าเพราะ
ผู้หญิงเอเซียเราต้องทำงานเหมือนผู้ชายตั้งแต่เริมระดับล่าง ๆ
พอตำแหน่งสูงขึ้นไปตัวเลือกที่เป็นผู้หญิงก็มากตามไปด้วย
ดังนั้นพอตัวเลือกมาก ผู้หญิงที่มีความสามาถถึงก็ได้เป็นผู้บริหารมากด้วย
ผมก็เห็นผู้หญิงที่ได้เป็นผู้บริหารระดับสูงอย่างเช่น
Marissa Mayer ของ Yahoo
Elizabeth Holmes ของ Theranos
Kathleen Kennedy ของ Lucus Film
พวกนี้ผมก็เห็นคนสรรญเสริญผู้หญิงพวกนี้เป็นส่วนมาก
คนผิวดำคุณบอกว่าถูกกีดกันประธานาธิบดียังเป็นมาแล้ว
สำหรับผมการไม่เหยียดผิวคือการพิจารณาจากคุณสมบัติและความสามรถเป็นหลัก
ในกรณีนี้การไประบุว่าต้องรับคนผิวดำเท่านั้นมันก็ไม่ต่างกับการไประบุว่าต้องรับคนขาวเท่านั้นหรอก
เห็นด้วยกับข้อความนี้เลย
"ว่าถ้าจะหยุดการเหยียดก็ต้องหยุดทั้งสองฝ่าย
ไม่กีดกันผู้หญิงก็ต้องไม่ให้สิทธิพิเศษผู้หญิงด้วย
racism กับ reverse racism
มันก็แค่อีกด้านของเหรียญเท่านั้นเอง"
คือ ทำให้เหมือนเป็นปกติ ไม่ต้องมีอะไรพิเศษ แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนคนที่ต้องตัดสินใจและลงมือทำ โดนทั้งขึ้นทั้งล่องล่ะครับ
มันมีประเด็นเรื่อง unconscious bias อยู่น่ะครับ
ขอเพิ่มเติมครับจริงๆพิมพ์จบแล้วก็ไม่สบายใจเท่าไหร่และในฐานะที่เป็นคนสนับสนุนความเท่าเทียม เลยทำให้กลัวการ backfire มากเพราะมันเกิดขึ้นมาแล้วสำหรับ women in tech ครับ classic มากเลยก็คือ
ในแง่นึงก็ใช่ครับ แต่ในอีกแง่นึงก็เป็นการเปิดโอกาสที่แทบจะถูกปิดอยู่ให้แสดงก่อน
ปัญหาการเหยียดผิว มันแก้แค่ให้คนขาวเลิกเหยียดอย่างเดียวไม่ได้ครับ แต่มันต้องแก้ให้คนดำเลิกคิดว่าตัวเองถูกเหยียดหรือคิดว่าตัวเองด้อยกว่าด้วย (โดยพื้นฐานคือต้องทำให้ทุกคนรู้สึกว่าไม่ว่าจะผิวสีไหนก็ไม่ต่างกัน ไม่มีใครด้อยหรือเหนือกว่า ทั้งคนขาวและคนดำ)
คือต่อให้คนขาวทุกคนพูดว่าต่อจากนี้เราจะเท่าเทียมกันทุกคนมีโอกาสเหมือนกัน แต่ฝั่งคนดำเขาก็ยังรู้สึกตัวเองถูกเหยียดหรือด้อยกว่าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งอยู่และไม่กล้าขึ้นมาอยู่ดีครับ เพราะงั้นมันจึงต้องเริ่มจากการผลักดันด้วยกันดันคนดำขึ้นมาก่อนเพื่อแสดงให้เห็นว่าคนดำเขาไม่ได้ด้อยนะ จะได้เปลี่ยนทัศนคติของคนดำที่รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนขาวครับ
สรุปก็คือ นอกจากจะบอกกับคนขาวว่าคนดำไม่ต่างกัน เราก็ต้องบอกคนดำด้วยว่าคนขาวไม่ต่างกันครับ
แน่นอนครับว่าปลายทางมันควรจะเท่าเทียมไม่ควรมีโควตาสีผิวมาเกี่ยวข้อง แต่มันก็ต้องเริ่มจากผลักดันแบบนี้แหละครับ
เรื่องการเหยียดผิวอาจจะดูไกลตัวคนไทย ถ้าให้เปรียบกับในไทยก็ประมาณเรื่องความเท่าเทียมทางเพศครับ หลายๆบริษัทที่เน้นเรื่องชาย-หญิงเท่าเทียมกัน ก็เริ่มจากเพิ่มโควตารับสมัครพนักงานหญิงหรือชายมากขึ้นในทำนองเดียวกันครับ
ความตั้งใจคือจะต้องเป็นคนดำ หรือว่ามีคนดำมาจ่อรออยู่แล้วครับ
ที่บ.ผม (บ.ต่างชาติ) มีผู้หญิงต่างประเทศบอกในที่ประชุมเป็นวาระเลย ว่าควรให้โอกาสผู้หญิงมาทำงานโปรแกรมเมอร์ ceo กับ cto เลยบอกว่า คุณก็ผู้หญิง ทำไมถึงคิดว่าเรากีดกัน แต่ผู้หญิงใน field นี้มีไม่เยอะ เพื่อนที่คุณแนะนำมาหลายคนก็ไม่ผ่านคุณสมบัติ (เพื่อนของผู้หญิงที่เป็นเจ้าของวาระ)
ผู้หญิงคนนี้เลยบอกว่า เราต้องช่วยกันผลักดัน cfo ถามว่าผลักดันอย่างไร ได้คำตอบว่าต้องล็อคตำแหน่งให้ผู้หญิง ต้องพยายามให้โปรแกรมเมอร์ผู้หญิงมีสัดส่วนเท่ากับผู้ชาย
cto เลยถามว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นการกีดกันผู้ชาย ใบสมัครผู้ชาย 10 ใบถึงจะมีใบสมัครผู้หญิงสัก 2 ใบ
เป็นการประชุมที่กระอักกระอ่วนมาก
+1 ผมก็เคยคิดเช่นนี้ตอนที่ Google ประท้วงเรื่องตำแหน่งพนักงานหญิง
จากที่เคยทำงาน บ.ที่เป็น women-prominent นะครับ
ที่เจอคือ ธุรกิจบางอย่าง ผู้หญิงจะไม่ค่อยสนใจ ในขณะที่หลายอย่างเค้าจะให้ความสนใจมากกว่า ผมเข้าใจว่าอาจจะอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องเพศโดยตรง แต่เป็นการสอนในวัยเด็กก็ได้มั้ง ดังนั้นคือในบางธุรกิจการที่จะหาผู้หญิงมาสมัครงานด้วยมันก็จะค่อนข้างยาก ในขณะที่ในบางธุรกิจผู้ชายแทบจะไม่มี
อย่างที่ผมเคยทำคือ ผู้หญิงราว ๆ 60-70% บ.หลักในต่างประเทศเองก็ราว ๆ นี้ครับ
ทั้งนี้ผมคิดว่าไม่มีใครไปทำแคมเปญให้ผู้หญิงมาสมัครเยอะ ๆ นะ อาจจะเป็นเรื่องที่เพื่อนกันชวนกันมามากกว่า อะไรแบบนี้
อีกอย่างคือ อันนี้เป็นข้อสังเกต ผู้หญิงจะชอบทำงานกับผู้หญิงด้วยกันมากกว่า ผู้ชายก็ด้วย คือถ้าเลือกได้ก็จะเลือกเพศเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าจะปฎิเสธไม่เอาด้วยเลยน่ะครับ เข้าใจว่าคงไม่อยากผจญกับปัญหาด้านเพศกับมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาอยู่กับเพศตรงข้าม อะไรแบบนี้ครับ
ความเห็นสุดท้ายของผมคือ ถ้าเราสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง สภาพแวดล้อมที่เค้าอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เดี๋ยวเขาก็มากันเอง แต่ถ้าเราลืมไปว่าออฟฟิศยังมีผู้ชายอยู่ เดี๋ยวผู้ชายก็จะหายไปแทน (ฮา) ก็ต้องมีสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกสบายใจกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละถึงจะดี
2 ใน 10 เลยเหรอครับ ก็ดีขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะ
ผมเคยเปิดสามเดือน ผู้ชายยี่สิบคนผู้หญิงคนเดียว
เรียกมาแต่ก็ไม่มาสัมภาษณ์ก็ไม่รู้จะรับผู้หญิงได้ยังไง
ผมว่าทำแบบนี้ เหมือนสงสาร มากกว่าเข้าใจนะ
ผมว่าเล่นมุกลุงอะไรกระทู้นี้ดูไม่ค่อยมีกาละเทศะเท่าไร ดูกะลาแลนด์ยังไงชอบกล
เม้นไหนครับ? หรือว่าถูกลบ? หรือว่าแก้ไขไปแล้ว? หรือว่าผิดข่าว?
ไม่ได้พูดถึงเมนท์คุณ whitebigbird ครับ
ผมอ่านแล้วนึกว่าหมายถึงในข่าวน่ะครับ ?
คือผมสงสัยว่าหมายถึงเม้นไหนน่ะครับ ไม่คิดว่าเป็นเม้นของผมเอง และหาเม้นที่คิดว่าใกล้เคียงไม่เจอ
ไม่ได้อยู่ประเทศเขา ไม่อยากจะไปตัดสิน ยังไงเขาก็รู้สถานการณ์ดีกว่าเรา
สงสารหรอกเลยให้ขึ้นมานะ น้องดำ แต่มันได้เหรอครับที่เลือกดันคนดำเข้ามาเพราะเท่าที่คุยกับคนต่างประเทศ ถ้าคุณเลือกคนจากสีผิว ถือว่าผิดกฏหมายเลยไม่ใช้เหรอ แต่อันนี้ประกาศโต้งๆเลยจะไม่เป็ฯไรเหรอ ???
ทำแบบนี้ปัญหาไม่จบหรอก ผมเห็นด้วยกับความเห็นบนๆ นะ
ให้โอกาสน่ะ ดี แต่คุณสมบัติก็ต้องได้ด้วย
ไม่งั้นก็เกิด Backfire อย่างที่ว่า
อยากให้ energy ในการหามาตราฐานความเท่าเทียมของผู้ชมตอนกลัวคนดำได้อภิสิทธิ์ เยอะเหมือนตอนคนขาวได้อภิสิทธิ์บ้าง (ซึ่งคือแทบตลอดเวลา)
ผมว่าอันนี้น่าสนใจ รบกวนอธิบายเพิ่มได้มั้ยครับว่าคนขาวได้อภิสิทธิ์ยังไงบ้าง
เยอะครับความจำผมนึกไม่หมดแน่
ถ้าเอาฝั่งตำรวจกดกฏหมายนี้เยอะกว่าอย่างเห็นได้ชัด
- % คนขาวตำรวจเรียกตรวจรถน้อยกว่า
- % คนดำอยู่ในคุกมากกว่า
- ในอดีต ศาลเตีย ของคนขาวตำรวจรู้เห็นปลอยให้คนดำตายเพียบแบบที่คนขาวไม่ต้องมีใครรับผิดชอบด้วยครับ
- มีงานที่ไม่ให้คนดำทำ (เริ่มน้อยลงแต่ยังมีอยู่)
- มีร้านอาหารที่ไม่ให้คนดำเข้า (มักจะอ้างว่าแต่งตัวไม่เรียบร้อย)
- % โอกาสเลื่อนเงินเดือน % เงินเดือนที่ขึ้น %โบนัส
- ถ้าเด็กๆไปถามครูว่าทำไมเพื่อนหนูคนนี้ผิวสีถึงดำ คุณครูจะบอกเด็กตัวเล็กๆว่าเพื่อนหนูคนนี้เป็นคนบาป
ทั้งหมดนี้ไม่ได้ไปหาข้อมูลที่ไหนแค่จากความจำผมคนเดียวที่นึกขึ้นมาได้ระหว่างพิมย์ไปนึกไปเท่านั้นก็คือทุกด้านที่นึกได้นั้นและครับ ที่คนขาวจะสิทธิ์เยอะกว่า
เรื่องอาชญากรรมนี่เป็นเรื่องสถิติอ่ะครับ พูดกันยาก อย่างเรื่องคนดำถูกเรียกเยอะกว่าก็ไม่ใช่ white priviledge อ่ะนะ เพราะคนเอเซีย คนละติน ก็ถูกเรียกตรวจน้อยกว่า
ส่วนอันอื่นๆ เห็นด้วยครับ ขอบคุณครับ
อันนั้นต้องมองอีกแง่นะ ถ้าคุณเป็นคนดำ เช่นถ้าคุณวิ่งหนีโดยไม่มีอาวุธคุณอาจจะโดนยิงอัดจากด้านหลังตาย ถ้าคุณยอมให้ใส่กุญแจมือ ก็อาจจะโดนกดตาย(หลายทีแล้ว นี่ไม่ใช่รอบแรก) ถ้าคุณต่อสู้อาจจะรอด ถ้าคุณนอนอยู่บ้านหลับอยู่ก็อาจจะโดนยิงตายคาเตียงแล้วตำรวจไปแก้ในรายงานว่าคุณลุกขึ้นสู้ ถ้าคุณขับรถกลับบ้านเปิดประตูเข้าบ้าน อาจจะมีตำรวจขับตามมาถามว่าคุณเข้าบ้านใครขอดูหลักฐานหน่อยว่าเป็นเจ้าของบ้าน สารพัดล่ะอยากให้ไปดูวิดีโอของ Lastweek tonight with John Oliver ตอน Sheriffs จะได้เห็นอะไรอีกเยอะที่ไม่น่าเชื่อว่ามันมี
แน่นอนล่ะ ถ้าเอะอะตำรวจจะไฝว์กับคุณตลอดเวลาคุณย่อมมีเปอร์เซนต์มีชื่อเข้าอยู่ในรายงานเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมได้มากขึ้นอยู่แล้ว แล้วก็ยิ่งกลายเป็นวังวนลูปเพิ่มไปเรื่อยๆ เช่นรอบหน้าเห็นตำรวจคุณก็หนีสิจะยืนเฉยๆ ให้ตำรวจล่อทำไม ถึงแม้จะไม่ได้ทำอะไรผิดก็เถอะ พอหนีกลายเป็นตำรวจวิ่งไล่ กลายเป็นหนีเจ้าหน้าที่อีก ยืนก็โดนอัด หนีก็กลายเป็นทำผิด ไม่รู้จะทำไง ถ้าแบบยกมือมอบตัวแล้วชีวิตปลอดภัยแน่นอน มันคงไม่เป็นแบบนี้หรอก
บางทีไม่ใช่เจ้าหน้าที่ด้วย เป็นคนชาวบ้านแก่ ๆ อ้วน ๆ พกปืนเดินลาดตระเวณด้วยจิตใจอาสาระวังภัยกันเอง เห็นเด็กตัวดำๆ ปีนรั้ว อายุสิบกว่า ยิงแม่มเลย ตาย
น่าจะมีเปอร์เซ็นที่ก่ออาชญกรรมสูงกว่าเพื่อนมากกว่านะแบบเอเซียก็โดนเหยียด แต่เพราะไม่ก่อเรื่องอะไรเท่าไหร่เลยไม่โดนอติขนาดนั้น
และล่าสุดแบบวิดีโอเวลาปล้นร้าน ขโมยของจากรถส่งของ หรือรถไฟ มากกว่า 90% คนดำทั้งนั้นเลย
เอาเบสิกเลย อย่างที่เจฟ เบซอสบอกว่า "ไม่ต้องคอยวิตกว่าวันหนึ่งลูกเขาจะโดนตำรวจทำรุนแรงจนตาย ในขณะที่สำหรับแม่คนดำส่วนใหญ่คงไม่สามารถพูดแบบนี้ได้"
สมัยเรียนเพื่อนผมคนดำไม่กล้าถือปืนของเล่นจุกสีส้ม บนถนนกลางซานฟราน ทั้งๆ ที่เป็นเมืองที่ไม่เหยียดคนดำที่สุดในประเทศเมืองหนึ่ง
ชีวิตเกิดมาดำคือเป็นพลเมืองชั้นสองประมาณนึง ได้รับการปฏิบัติต่างจากคนขาว ทั้งๆ ที่กฎหมายไม่อนุญาต คือจะโดนมองแง่ลบไว้ก่อนว่าอาจจะมาไม่ดี ไว้ใจไม่ได้ ฯลฯ
ประเด็นที่ถกเถียงกันในเมนท์นี้ อยากเทียบเมืองไทยเมื่อสมัยก่อน หม่อมเจ้าพูนพิศมัยเป็นลูกสาวของกรมพระยาดำรงฯ เคยบ่นในหนังสือที่ทรงนิพนธ์ทำนองว่าคนที่ไม่ใช่เจ้าน่ะ ความสามารถ ความรู้ไม่มี บริหารประเทศไม่เก่ง ประมาณว่าอยากบริหารประเทศให้ไปเรียนมาให้เก่งกว่าพวกเจ้าก่อน ซึ่งเราก็ต้องย้อนกลับมาว่า แล้วมีใครไหมสมัยนั้นที่ช่วยทำให้คนทั่วไปนอกจากเจ้าให้ไปเรียนเมืองนอก หรือว่าไม่ช่วย แต่พอเขาอยากทำงานบ้างก็บอกว่าฉลาดไม่เท่า หรือว่าอยู่แบบพลเมืองสองชั้นต่อไปดี สังคมก็คงต้องเลือกเอาแล้วแหละ
ถ้าคนเอเชียถือปืนของเล่นก็เสี่ยงน้อยกว่า เช่นกันกับคนขาวนะครับ ผมไม่คิดว่าแบบนี้เรียกว่า white privilledge นะ อันนี้เป็นการเลือกปฏิบัติต่อคนดำมากกว่า ซึ่งมีที่มาจากสถิติ
ผมไม่ได้บอกว่าอิงสถิติ หรือเลือกปฏิบัติมันถูกต้องนะ แค่จะบอกว่าจากสถิติ คนดำมีประชากรประมาณ 13% ใน USA แต่อาชญากรรม 40% เกิดจากคนดำ คนขาว 39% Hispanic 19% กับเอเชียและอื่นๆ
ไม่แปลกที่หลายคนจะเลือกปฏิบัติต่อคนดำ และกลัวคนดำ นี่คือส่วนนึงที่ทำให้ตำรวจ overreact กับคนดำครับ สิ่งที่คนเรียกร้องกันคือพยายามให้มองข้ามจุดนี้ และให้ปฏิบัติคนเป็นปัจเจก ไม่ใช่เอาสถิติมาทำให้เกิด stereotype ที่เลือกปฏิบัติต่อคนดำ
ถ้าถามผมนะ มีชาวต่างชาติยืนอยู่ 3 คน คนนึงคนจีน คนนึงคนญี่ปุ่น อีกคนเป็นคนสิงค์โปร์ ถ้ามีคนให้ผมทายเล่นๆ ว่า คนไหนที่ทิ้งขยะ คนไหนที่เก็บขยะ และคนไหนที่สนับสนุนให้มีกฎหมายจัดการคนทิ้งขยะในที่สาธารณะ ผมก็จะตอบว่า คนทิ้งคือคนจีน คนเก็บคือคนญี่ปุ่น คนสนับสนุนกฎหมายคือคนสิงคโปร์
ซึ่งจริงๆ แล้วผมอาจตอบผิดหมดเลยก็ได้ครับ
" แต่อาชญากรรม 40% เกิดจากคนดำ ไม่แปลกที่หลายคนจะเลือกปฏิบัติต่อคนดำ และกลัวคนดำ "
ตรงนี้ผมว่าตีความผิดนะครับ "ในความเป็นจริงคือ" คนดำโดน "ยัดข้อหา" ทำให้%คนดำมันสูงกว่า
ผมใช้คำว่า ในความเป็นจริง เพราะเราควรให้ความยุติธรรม แต่การให้ความ ยุติธรรม มันก็ต้องหา "ความไม่ยุติธรรมก่อน" เข้าใจใช้ไหมครับที่คนดำออกมาเรียกร้องนี้คือเค้า "ไม่ได้รับความยุติธรรม" มันต่างจาก "คิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรม" บางคนมันบอกว่ามันวัดความยุติธรรมยากต้องเป็น % ไม่ใช้หลอกครับ % นิดหน่อยมันไม่มีผลอะไรแต่ในเรื่องนี้คือ คุณผิดเพราะคุณเป็นคนดำ มันให้เหตุผลกันแบบนี้เลยนะครับ
ผมมี source ของข้อมูล เชื่อถือได้มั้ยอีกเรื่องนึง คุณมี source ของข้อมูลที่ว่าคนดำถูกยัดข้อหาเยอะกว่า ทำให้ % สูงกว่ามั้ยครับ
มีครับ source ของคุณเองเลย
คนดำมีประชากรประมาณ 13% ใน USA แต่อาชญากรรม 40%
"แปลว่า คนดำเป็นคนเลว คนชั่ว สมควรแล้วที่จะถูกจับมาเป็นทาส เป็นชนชั้นล่างของสังคม อาชญากรรมวิทยา/สถิติ/วิทยาศาตร์พิสูจน์แล้ว"
ใช้ไหมครับ ตอบผมแค่ "ใช้" หรือ "ไม่" ก็พอครับ
ไม่ตอบอ่ะครับ คุณตอบแบบฟาดงวงฟาดงา ไม่มี fact แถมชวนทะเลาะ ผมไม่ได้เม้นเพื่อชวนใครทะเลาะ และเพื่อ boost ego ของตัวเองครับ
ผมแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนอื่น ตรงไหนมี source ผมบอกมี source ตรงไหนเป็นความเห็น ผมบอกว่าเป็นความเห็น ถ้าคุณมีพฤติกรรมดัดแปลงคำพูดคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ในการโต้เถียง ผมไม่รู้จะคุยกับคุณไปทำไมอ่ะนะ
ผมขอโทษ ที่ทำให้คิดว่าชวนทะเลาะ
คำตอบสำหรับผมคือไม่ใช่ครับ สิ่งที่ผมจะสื่อคือ การที่คนดำที่เป็นประชากร 16% ของ USA มีส่วน contribute ในอาชญากรรมถึง 40% ทำให้เกิดภาพจำต่อคนทั่วไปว่าคนดำเป็นปัญหาของสังคม เหมือนที่ผมบอกว่าคนจีนที่ผมเจอส่วนมาก มีแต่พวกไร้วินัย
ในความเป็นจริงคือไม่ใช่คนจีนทุกคนที่จะเป็นแบบนั้น แต่ภาพจำของผมมันเป็นแบบนั้นครับ
ซึ่งมันเป็นเหตุการณ์แบบเดียวกับที่เกิดใน USA ตอนนี้ แต่ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่คนอเมริกันทุกคนจะมีภาพจำแบบเดียวกัน แต่พวกที่ก่อปัญหา racism หรือ discrimination มักมีปัญหากับภาพจำนี่แหละครับ
ผมถึงบอกว่ามันพูดยาก เพราะภาพจำของตำรวจส่วนนึง และคนส่วนนึงในอเมริกันมันเป็นแบบนั้นไปแล้ว เนื่องมากจากสถิติแบบที่บอกครับ
ความเท่าเทียมมันพูดยากนะ มาตรฐานแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แล้วให้มันออกมาเป็นรูปธรรมจริงๆยังไง?
สมมุติยกอัตราค่าเฉลี่ย salary per year ใน u.s.a. เป็นตัววัดแบบรูปธรรมละกัน ตอนนี้เข้าใจว่าคุณขาวได้ค่าเฉลี่ยมากกว่าคนดำ แต่จุดไหนถึงเรียกว่าเท่าเทียมละ ต้องเท่ากันเป๊ะๆห้ามต่างกันสัก % เดียว? หรือคนขาวต้องได้มากกว่าไม่เกิน 10%? คนดำต้องได้มากกว่า 20% เป็นทุนเผื่อไว้สำหรับโดน racism? อันไหนเรียกว่าเท่าเทียมกันแล้วมันก็แล้วแต่มาตรฐานละคนอีก แล้วมันไม่ได้วัดกันที่ performance รายบุคคลกันด้วยเหรอ
รูปธรรมจริงง่ายมากครับคือการที่บอกว่า
"คุณผิดเพราะคุณเป็นคนดำ"
"คุณทำงานนี้ไม่ได้เพราะคุณเป็นคนดำ"
"คุณจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์เพราะคุณเป็นคนดำ"
เป็นไงครับแรงไหมครับทะลุ 100% ไปไกลแล้วครับ
มาตรฐานแต่ละคนร่วมอยู่ในพวกนี้ด้วยไหมครับ
ไม่เห็นเป็นรูปธรรมตรงไหนเลยครับ
ที่เป็นรูปธรรมคือการที่มีตัวชี้วัดที่สามารถประเมินค่าได้จริง เช่น ยอดขายดี คือ การขายที่เติบโต 5% ต่อปีไม่ใช่แค่มาบอกว่า ปีนี้ยอดขายดีนะ หรือ ควบคุมโรคCovidได้ คือการมีผู้ติดเชื้อในประเทศ 0 คน ติดต่อกัน 14 วัน
ไม่ใช่แค่ยกคำพูดมาแล้วบอกทะลุ 100% ครับ
ฝรั่งมีคนดำ
เป็นนักบาสที่เก่งที่สุดในโลกและรวย (มวย กอล์ฟ ฟุตบอล เทนนิส ญ ฯลฯ)
เป็นนักร้องระดับตำนาน
สร้างสรรค์ให้แนวเพลงต่างๆจนปัจจุบัน เช่น แรปเปอร์
เป็นพิธีกรที่รวยที่สุดในอเมริกา
เป็นอดีตผู้นำที่ทรงอิทธิพลสุดของโลก
เป็นต้น
พวกนี้เขาต้องรอให้คนขาวมอบพื้นที่ให้ไหม หรือใช้ฝีมือคว้าเอาเอง
เปลี่ยนหัวข้อจากคนดำเป็นคนผิวสีดีไหมครับ
เราไม่ชอบคำว่าผิวสี หรือคนดำไม่ชอบคำว่าผิวสีครับ คำว่าผิวสีมันไม่สุภาพ หรือเราคิดว่ามันไม่สุภาพครับ
ประเด็นนี้ถกกันไปหลายยกแล้วครับ (ถกกันที่อื่นนะไม่ใช่ที่นี่) สรุปว่าเรียกคนดำนั่นแหละคือให้เกียรติแล้ว การเรียกผิวสีกลายเป็นการเหยียดคนดำกลายๆ ทำนองว่าผิวดำมันไม่ดีเลยไม่เรียกเหมือนเป็นการปฏิเสธอัตลักษณ์
อันนี้ถามเป็นความรู้นะครับ
ภาษาอังกฤษ เราควรเรียกว่า black ใช่มั้ยครับ
ไม่ใช่ color
ตอนนี้คำที่ยอมรับกันในคนดำ "ที่อเมริกา" ส่วนมากคือ black ครับ บอกว่าผิวสีแล้วไม่แน่ใจว่าสีอะไร เหลือง ดำ แดง และเค้าต้องการแสดงออกว่าภูมิใจที่เป็นคนดำด้วยครับ เลยแนะนำใช้คำนี้กัน หรือจะเรียกว่า African-American ก็ได้
แต่ "ในอเมริกา" ก็จะมีคนอีกหลายกลุ่มแย้งว่าไม่เหมาะ เพราะคนโซน Oceania ในหลายๆ เกาะก็ Negroid เหมือนกับชาวแอฟริกันส่วนมาก
อย่างบ้านเราคนมานิ หรือซาไกก็เป็น Negroid เช่นกัน คนอินเดียที่ผิวเข้มมากๆ จนหลายคนคิดว่าเป็นคนดำก็ไม่ได้มาจากแอฟริกันเช่นกัน อะบอริจินก็ผิวดำเช่นกันครับ
ก็เลยมาจบที่ black นี่แหละครับ
Colored นี่น่าจะเลิกใช้กันแล้วครับ คำมันเกิดมาในยุคแบ่งแยกชนชั้น เป็น white (ชนชั้นสูง) กับ colored (ชนชั้นต่ำ) จะทำอะไรก็ต้องแยกกัน ไม่เว้นแม้ห้องน้ำก็เข้าได้เฉพาะที่ for colored people
ส่วนคำไทยเราก็แปลมาตั้งแต่สมัยนั้นเป็น "คนผิวสี" ซึ่งความหมายของไทยก็ไม่ได้จะเหยียดอะไรหรอก แค่แปลมาตรงๆแล้วมันฟังดูสุภาพกว่า "คนดำ" ทุกวันนี้ก็ยังเรียกแบบนี้กันอยู่ แต่ในบริบทจริงๆคนดำเค้าก็ยินดีให้เรียกว่า black people นี่แหละครับ ชัดเจนในอัตลักษณ์ที่สุดแล้ว ส่วน nigga นี่คนดำใช้เรียกกันเองได้ แต่พอคนอื่นใช้กลายเป็นเหยียดเฉย
เป็นประเด็นที่ผมเคยหยิบยกตอนเรื่อง Google แล้วครั้งหนึ่งแต่ครั้งนั้นเป็นประเด็นเรื่องตำแหน่งงานผู้หญิง/ผู้ชาย
บางครั้งไม่ใช่ว่ากีดกัน แต่ด้วยอุปนิสัย/ความชอบต่างๆทำให้ผู้ชายและผู้หญิงมีความถนัดต่างกันไปโดยปริยายอยู่แล้ว แค่ทำให้เห็นว่าเปิดกว้างสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ก็เพียงพอแล้ว แบบนี้สิถึงจะเปิดกว้างที่แท้จริงแล้วประกาศออกไปว่าสเปคตำแหน่งนี้ รับทุกแบบไม่มีกำหนดก็เพียงพอแล้ว การล็อกสเปคแล้วบอกว่าผลักดันประเด็นมันยิ่งเป็นการสร้างความต่างให้เห็นชัดเข้าไปใหญ่
ยกตัวอย่างเช่น คุณจะรับช่างแต่งหน้า เพื่อความเท่าเทียมทางเพศคุณประกาศรับไม่เอาผู้หญิงหรือเพศที่สามสำหรับตำแหน่งนี้เอาเฉพาะผู้ชายเท่านั้นถามว่ามีไหม มี แต่คุณก็หาผู้ชายมาทำยากไหมล่ะ เพราะสัดส่วนโดยการเลือกอาชีพ เพศนั้นๆก็สนใจงานนั้นๆต่างกันไป หรือยกตัวอย่างคนผิวดำ นักกรีฑาหรือนักมารธอนไม่ได้จำกัดเชื้อชาติสีผิวแต่นักวิ่งผิวดำหรือนักวิ่งแอฟริกันก็ได้รับชัยชนะเสมอเพราะธรรมชาติด้านร่างกายเป็นต้น
เรื่องตำแหน่งงาน แค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ล็อกสเปคอะไรเลยจะดีกว่า คนเราต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรม ต่างเพศ ต่างวัย ก็มีความสนใจ/ความถนัดต่างกัน
ถ้าอยากให้มี CEO ผิวสีจริง ไปผลักดันเรื่องการพัฒนาความสามารถ พัฒนาการศึกษาให้เท่าเทียมก็พอ จากนั้นก็เปิดกว้างสเปคตำแหน่งไว้รับทุกชาติทุกเพศ เดี๊ยวผลตรงนั้นมันจะสร้าง CEO ผิวดำ สุดยอดนักธุรกิจผิวดำ ประธานาธิบดีผิวดำขึ้นมาเอง
การที่น้ำหนักมันเอียงข้างนึงมาก ไม่ใช่ว่าเราจะแก้โดยการเอาน้ำหนักไปใส่อีกข้างนึงมากๆให้มันยิ่งหนักเท่ากันเสมอไป แบบนั้นตาชั่งมันยิ่งรับน้ำหนักรวมเยอะและสะสมความตึงเครียด เราแก้โดยการเอาน้ำหนักข้างที่เอียงมากออกให้มันเบาเสมอกัน มันจะได้ไม่มีน้ำหนักเลยทั้งสองฝั่ง ไม่มีความตึงเครียดสะสม แบบนั้นไม่ดีกว่าหรือ
ต่อไปจะต้องมีโควต้าคนเอเชียด้วยหรือเปล่า
ได้โดยอัตโนมัติครับ :asianmeme:
อย่านะขอร้อง