จากมติ กสท. เรื่องการกำหนดช่องของทีวีดิจิทัล ซึ่งนำเข้าสู่ที่ประชุมของคณะกรรมการของ กสทช. เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ผ่านมา ล่าสุด กสทช. มีมติเห็นชอบตามข้อกำหนดของ กสท. เตรียมนำสู่กระบวนการรับฟังความเห็นจากประชาชนต่อไป
พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศ กสทช. ที่เกี่ยวข้องกับทีวีดิจิทัลอีก 4 ฉบับ เตรียมนำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ซึ่งประกอบไปด้วย
ที่มา - แนวหน้า
Comments
อยากให้เจรจาหา set top box ราคาถูกเพื่อผลักดันทีวีดิจิตัลให้ได้ทั้งประเทศ (เอามาแจกฟรี) คุณสมบัติเอาแค่ พอดูได้ก็พอ พวกรวยๆ อยากได้แบบหรูๆ มี hidef ภาพสุดคม ออกตังซื้อเอง
วางแผนระยะยาว เพื่อยกเลิก อนาล็อคไปเลย ภายใน 5 หรือ 10 ปีก็ว่าไป
เอาคลื่นอนาล็อคคืนมาได้ มันเอาไปซอยเป็นคลื่นดิจิตัลได้มาก
เอาข้าวไปแลกก็ได้
สิ่งที่อยากเขียน
ช่องไม่ต้องเยอะ ขนาด 60 ช่อง ลดจำนวนช่อง แล้วจัด HD ทุกช่องเถอะ
ผมกลับมองว่าเน้นจำนวนช่องเพื่อให้ content หลากหลาย ดีกว่าเป็น HD ที่ไม่ค่อยมีช่องให้เลือกครับ เพราะ HD ก็มีประโยชน์กับแค่คนที่มีปัญญาซื้อทีวีจอยักษ์ซึ่งมีศักยภาพติดเคเบิ้ลทีวีอยู่แล้ว
ขอให้คนในพื้นที่ห่างไกลได้ content ที่หลากหลายเถอะครับ
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
ก็คงต้องไปทั้งสองทางแหละครับ ผมว่านะ คือ ในระยะหลังมานี่ทีวี HD เองก็ราคาถูกมากแล้ว (ถ้าไม่จำเป็นต้องใข้ Full HD นะ อันนั้นเองก็ยังเกินหมื่นอยู่) หรือถ้ากะว่าจะใช้กับ Digital Tuner ซึ่งทีวีที่มีเจ้านี่มาด้วยอาจจะแพงหรือมีขนาดใหญเกินไป ก็ใช้ tuner ต่อกับ LCD Monitor ก็ยังได้ (ผมใช้วิธีนี้อยู่แหละ 55) ลดราคาไปเยอะเพราะว่าไม่มี Analog Tuner ไง
แต่จำนวนช่องก็สำคัญ ... แต่ที่สำคัญกว่าก็คือก็ต้องมีคนลงมาทำ content ที่หลากหลายด้วย ถ้ามีแต่ reality หรือมีแต่ละครน้ำเน่าหกสิบช่องก็ไร้ประโยชน์
ที่จริง 60 ช่องนี่โคตรเยอะแล้วนะ 55
+384
มาขำตรง
"แต่ที่สำคัญกว่าก็คือก็ต้องมีคนลงมาทำ content ที่หลากหลายด้วย ถ้ามีแต่ reality หรือมีแต่ละครน้ำเน่าหกสิบช่องก็ไร้ประโยชน์"
โดนมากๆครับทุกวันนี้รู็สึกเหมือนมีทีวีก็แทบจะไม่มีประโยชน์ =w= ข่าวก็ด้านเดียว ละครกะเกมโชว์ก็ซ้ำซาก
รีโมททีวีมีครับ เลือกเอาว่าจะดูช่องไหน
ส่วนละครน้ำเน่าที่กำลังมันส์คืนนี้คือ แรงเงา อยากดูฉากตบแย่งสามีแบบ HD จัง
ถ้ามี 60 ช่อง แล้วไม่สามารถมีช่องไหนหลุดไปจากละคร (ที่เราเรียกกันเองว่าน้ำเน่า) ได้เลย แสดงว่าสังคมมันเป็นแบบนั้นครับ ไม่มีตลาดสำหรับทีวีคุณภาพ (แบบที่เราคิดกันเองว่าคุณภาพ) อยู่จริง
ถ้าช่องจำนวนมากพอ และต้นทุนการทำช่องสักช่องถูกพอ ในทางทฤษฎี แค่ช่องมีฐานลูกค้าแค่ 1/60 ของตลาดรวมก็สามารถมีที่ในช่องทีวีได้แล้ว
การเอาทรัพยากรจำนวนมหาศาล ไปทุ่มใส่รายการประเภทที่เราจะพยายามจัดว่าเป็นคุณภาพแล้วเอาเข้าจริงไม่มีใครดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระมากในสังคมไทย เราทุ่มไปกับช่องที่ถูกใจคนจำนวนหนึ่งของ ThaiPBS แต่จนทุกวันนี้ยอดคนดูฟ้องอะไรหลายอย่างว่ารายการแบบนี้มันอาจจะไม่มียืน หรืออาจจะมีหากทรัพยากรเรามีเหลือเฟือพอ
lewcpe.com, @wasonliw
ThaiPBS คนดูน้อยเหรอครับ?
ผมแทบไม่ได้ดูโทรทัศน์มาหลายปีแล้วเพิ่งมีโอกาสดูช่อง ThaiPBSเมื่อไม่นานมานี้รู้สึกชอบการนำเสนอแนวนี้นะ
ผมก็ชอบ ลุงผมก็ชอบ ที่บ้านผมก็ชอบครับ แต่ยอดคนดูคงสักเสี้ยวนึงของละครช่องนึง แล้วไม่ได้เสี้ยวของละครทุกช่องรวมกัน
ผมคิดว่า ทุกวันนี้เราไม่ได้มีแต่ mainstream ในเมืองไทยก็ยังมี niche market อยู่ เราอาจจะมีหนึ่งช่องสำหรับการวิเคราะห์หุ้น (ซึ่งชนชั้นกลางโดยเฉพาะพวกพนักงานบริษัทให้ความสนใจเยอะมาก) หรือช่องสำหรับผู้บริหาร รายการพวกนี้ไม่จำเป็นต้องมี timeslot 24 ชม.ก็ได้ (พวกช่องน้ำเน่าก็ไม่มีได้รันเยอะขนาดนั้น)
คือ ผมเห็นด้วยที่มีช่องอย่าง ThaiPBS สักช่องหนึ่ง ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่สามารถสร้างรายได้อะไรเข้ารัฐได้มากมาย แต่ก็เป็นอีกช่องทางนึงเพื่อให้ผู้ผลิตหน้าใหม่ ๆ กับเนื้อหาที่ไม่มีในรายการทั่วไป ถ้ารายการไหนที่ผู้ชมน้อยเขาก็ถูกถอดออกไปเอง (อย่างรายการดนตรีของ อ.ปราชญ์ก็ถูกถอดออกไป อาจจะเพราะเนื้อหาลึกเกินไปมั้ง ?) ผมไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับสื่อหลักอย่างยักษ์สี่ช่องแล้วยอดผู้ชมมันต่ำกว่ามากแค่ไหน แต่ถ้าทำกำไรได้มันก็ยังถือว่าโอเคไม่ใช่หรือ (niche market มันก็เป็นเรื่องการทำกำไรลักษณะนี้อยู่แล้ว เน้นตลาดเล็กแต่คู่แข่งน้อย)
หรือจริง ๆ มันอาจจะเกิดจากทีวีรุ่นเก่า ๆ รับสัญญาณ UHF ไม่ได้ก็ได้มั้ง (ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะว่าตอนนี้ช่องอื่น ๆ ก็เริ่มขยับมา UHF กันบ้างแล้ว)
ถ้าเชื่อแบบนั้นจริง ต้องสนับสนุนให้มีช่องความละเอียดต่ำเลยครับ
ซอยไปเลย 5 ช่อง HD 10 ช่อง SD 100 ช่อง LD ให้ต้นทุนน้อยๆ
ThaiPBS ไม่เพียงแต่ไม่กำไรครับ ต้องใช้เงินภาษีเลี้่ยงปีละ 2000 ล้านทุกปี
lewcpe.com, @wasonliw
ลูกคนเล็กชอบดูการ์ตูนพ่อแม่ก็ว่าไร้สาระ ลูกคนกลางชอบดูเกาหลีพ่อแม่ก็ว่าไร้สาระ ลูกคนโตเล่นคอมพิวเตอร์พ่อแม่ก็ว่าไร้สาระ ภรรยาชอบดูละครน้ำเน่าสามีก็ว่าไร้สาระ สามีที่ชอบดูบอลภรรยาก็ว่าไรสาระ อะไรคือสาระของแต่ละคนล่ะครับ เพราะทุกคนก็อ้างว่าของตัวเองสอดแทรกสาระอยู่ทั้งนั้น
+1 บันเทิงก็คือบันเทิงครับ ข่าวก็ข่าว
จริงๆ บางทีผมว่าบางคนนั่งดูรายการข่าวทั้งวันก็ไร้สาระเหมือนกันครับ
บางทีข่าวมันก็ซ้ำไปซ้ำมา หรือก็แค่รายการเล่าข่าว
น่าคิดนะครับ ประเด็นว่าอะไรคือสาระ เพราะบันเทิงมันก็มีสาระแทรกอยู่ไม่มากก็น้อย
สาระคือข้อมูลที่เปิดหูเปิดตาทางความคิดหรือเปล่าครับ
ในฐานะคนทำ Content ทั้งทีวี ทั้งหนัง ทั้งรายการ ทั้งแบบสาระและไม่สาระครับ
วงการสื่อนั้นมีคนที่ได้เงินเยอะ และคนที่ได้เงินน้อยครับ คนที่ได้เงินเยอะจะพยายามทำให้ตัวเองได้เงินเยอะกว่า ... เช่น "ช่างกล้องทีวีที่มีฝีมือจะได้เต็มที่ก็ 5000 บาทต่อวัน ทำงานอย่างหนักจะได้เดือนละ 150,000 (เป็นตัวเลขที่ไม่เป็นความจริงหรอกครับเพราะช่างภาพจริงๆไม่ได้ทำงานถึง 30 วันต่อสัปดาห์เพราะ 1 วันจะทำงาน 6 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม ไม่นับเวลาเดินทางไปกลับและตื่นครับ ... อันนี้เป็นเวลาทำงานของละครนะครับ) ระหว่างที่ เอ ศุภชัย หรือนักแสดงหลายท่านจะได้เฉลี่ยเืดือนละ 100,000 ถึง 500,000 บาท ดังนั้น Gap ความแตกต่างจะมีกว้างมากครับ แล้วความกว้างตรงนี้จะกดให้คนทำงานระดับล่างใช้กำลังมากกว่าสมอง ส่วนระัดับบน (เช่นผู้บริหารช่อง ผู้จัดละคร ผู้จัดรายการ) หาช่องทางใช้กำลังราคาถูกในการได้มากซึ่งเรตติ้งที่ดีกว่า (นำมาซึ่งเม็ดเงินมากกว่า และก็นำมาซึ่งความนิยมมากกว่า) ดังนั้นตัวคุณภาพมาตรฐานจะไม่ถูกยกขึ้นครับ
ถ้าจะยกมาตรฐานขึ้น ก็จะต้องเป็นเงินภาษีของประชาชนแทน ซึ่งตรงนี้ภาครัฐก็ไม่ได้ว่าอะไร ... แต่ก็ไม่ทำให้คนดูดูได้ (เพราะคนดูไม่ดูสาระ คนดูอยากดูความบันเทิงฟรีๆ มากกว่าสาระฟรีๆ แต่ถ้าความบันเทิงจ่าย กับสาระจ่าย ... คนคงเลือกไม่ดูทั้งคู่แทน) แต่แน่นอนว่ากระบวนการคัดสรรของรัฐก็จะมีคนที่รู้ช่องโหว่และหากินกับมันได้ไม่สิ้น (คนที่อยู่ในข่ายของ TPBS จริงมีไม่มากครับ ถ้ารู้ตื้นลึกหนาบางก็จะเข้าใจอะไรแบบนี้ครับ) ซึ่งบางครั้งก็เป็นคนเดียวกับที่อยู่ในข่ายบันเทิงนั่นแหล่ะครับ
ถ้าต้องมีช่อง 60 ช่อง ... ช่องที่จะเกิดส่วนใหญ่จะเป็นละครกับรายการทีวีครับ สารคดีขายได้น้อย สัดส่วนทางการตลาดเล็กมาก ละครเองก็ต้องมีดาราใหญ่มาชูโรงครับ จะน้ำเน่าไม่น้ำเน่าไม่ใช่ประเด็นครับ แต่หนังหน้าจะต้องขายได้ก่อนครับ ส่วนรายการนั้นส่วนใหญ่จะมีแค่ Talk Show คนดัง รายการอาหาร รายการท่องเที่ยว เพราะมีสปอนเซอร์ต่อเนื่องได้ดี Tied-In สินค้าได้ง่ายครับ Reality เองก็จะเป็น Reality ร้องเพลง แข่งร้อง แข่งแสดง ไม่ต้องเสียค่าผลิตมาก ใช้พื้นที่น้อย ไม่ต้องเสียค่าแขกรับเชิญ ได้เด็กมาไว้ในสังกัดเพิ่ม ... ได้มูลค่าแทบทุกทาง ถ้าหากทำสารคดีจะไม่ได้อะไรมาต่อยอดแบบนี้ได้เลยครับ ทำเสร็จก็จบ ลุ้นว่าจะขายได้ไม่ได้เท่านั้นครับ
HD หรือ SD ไม่ใช่ประเด็นของทางฝั่งผลิตนักหรอกครับ .... จะอยู่ว่าผู้บริโภคทั้งประเทศต้องแบกรับภาระการเปลี่ยนระบบของบ้านตัวเองมากน้อยแค่ไหนครับ ถ้าคนพร้อมเปลี่ยน ... Hardware ทั้งหมดผลิตมาเพื่อ HD Broadcast แล้ว .... มันคงจะง่ายขึ้นเยอะครับ (เหมือนมือถือที่สมัยก่อนราคาเป็นแสน เดี๋ยวนี้ 690 ก็ซื้อใช้ได้แบบนั้นน่ะครับ)
ตอนนี้รายการในประเทศไทยหลากหลายมากๆครับ แต่ว่าคุณภาพในการผลิตต่ำติดดินเลย (รายการผี รายการหุ้น รายการเกมโชว์ รายการเด็ก รายการเซ็กส์ รายการบอล รายการหวย รายการขายตรง รายการข่าว รายการเรียลลิตี้ รายการอาหาร แต่ส่วนใหญ่รายการที่ยิ่งเน้นออกนอกกระแสความนิยมยิ่งลดต้นทุนมากขึ้น บางรายการ Variable Cost ต่ำขนาด 200-500 บาทต่อเทปหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำครับ (Fixed Cost ประมาณ 100-300 บาทต่อชั่วโมงก็มีนะครับ) แบบว่ารายการเทปนึงอาจจะใช้แบงค์ห้าร้อยใบเดียวลงทุนผลิต 1 ชั่วโมงได้ แต่เราจะเห็นรายการที่ลงทุนหลัก 1 ชั่วโมง 500,000 - 1,000,000 บาทแทบจะนับได้ไม่เกิน 1 มือเลยครับ (ละคร 1 ชั่วโมง 1-2 ล้านบาทครับ รายการทีวีต่ำกว่านั้นมากครับ)
วงการนี้มี Barrier เยอะมากครับ การเข้ามาเป็นผู้เล่นตัวเล็กนั้นง่ายครับ แต่จะไต่ขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับกลางหรือใหญ่นั้นมีกำแพงเยอะครับ เช่นช่อง 3 มีผู้จัดละครอยู่จำนวนมากอยู่แล้วครับ ผู้จัดรายการก็เป็นทาง BEC ทำเองเสียส่วนใหญ่ ไม่ก็ผู้จัดละครขอเวลาทำ ช่อง 5 ก็ผูกขาดอยู่เพียงไม่กี่ที่ ช่องเจ็ดก็ผูกขาดอยู่ไม่กี่ที่ ช่อง 9 ก็จะมีสายตามเส้นใครเส้นมัน TPBS ก็จะเป็นเสือกระดาษ/NGO หรือกลุ่มที่มี Connection ที่ดีในทางการเข้าถึง (แบบที่จะได้ทุนจาก สสส. ด้วยน่ะครับ) ดังนั้น Barrier จะสูงมาก ... การสร้างอะไรให้เปลี่ยนโลกได้ต้องทลาย Oligopoly นี้ลงก่อนถึงจะสร้างทางเลือกได้ครับ แต่การจะทุบตรงนี้ลงต้องใช้เงินมหาศาล (มหาศาลคือหลักเกือบๆหมื่นล้านต่อปี) + กำลังและสมองที่ดีมากๆครับ .... ซึ่งถ้าทำแล้วเราก็จะไม่ได้อะไรที่คุ้มค่าจริงๆกลับมาครับ ... คนถึงเลือกที่จะยังเสพสิ่งเดิมๆ อยู่กับรายการแบบเดิมๆ ข่าวตีหัวแบบเดิมๆ เพราะมันเป็นวิถีของมันครับ
ถ้ามี 60 ช่องนี่น่าจะสนุกครับ แต่ผมเชื่อว่าโลกเราควรจะมี Infrastructure ที่เราจะเข้าถึง Content ทั้งโลกผ่านอินเตอร์เน็ตได้แล้วครับ การ Broadcast แบบนี้เป็นเรื่องเก่าครับ คนดูควรจะดูแบบ On Demand มากกว่า Stream เรื่องราว 24 ชั่วโมง .... ต้องจำกัดช่อง จำกัดสิทธิ์ สร้างกำแพงให้มีแค่นั้นแค่นี้ ต้องมีการควบคุมบริเวณออกอากาศ ... แทนที่จะมีช่องไม่จำกัด คุณภาพอะไรก็ได้ ... อยู่ที่คนดู/ผู้ผลิตที่จะดันตัวเองแบบที่ Free Market จริงๆควรจะทำกัน แบบนั้นน่าจะให้ประโยชน์แก่ทุกคนมากกว่าครับ
ปล.ผมเองทำทั้งช่อง 3 ช่อง 9 ช่อง Sat TV ไม่รู้เท่าไหร่ แล้ว .... ยังไงก็ยังคิดว่าอยู่บน Internet หรืออยู่บน Service ในเน็ตที่ไหนซักที่ดูเป็นช่องทางที่ดีกว่าอยู่เลยครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ข้อมูลน่าสนใจครับ
สุดยอด อ่านแล้วรู้สึกว่ารู้จักวงการนี้มากขึ้นอีกเยอะเลย
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ขอบคุณครับ
ผมก็ว่า 60 ช่องมันเยอะเกินไป เอาเป็น HD กับ SD อย่างละครึ่งก็ยังดี
เห็นด้วยครับ อยากให้มีช่อง HD เยอะๆหน่อย มาแบบ HD 4 ช่อง SD เพียบ ผมว่าไม่โอเท่าไร - -
คลื่นไม่พอครับ ต้องรอให้เจ้าของคลื่นเดิมเมตตาคืนคลื่นมาก่อน คาดว่าคงต้องตบตีกันอีกนานทีเดียว
โอ้ว นึกว่าจะได้ดู low-def ไปอีกแสนนานซะอีก น้ำตาจะไหล (เรื่องทีวีจะมีองค์กรไหนมาเตะถ่วงอีกไหม?)
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ต้องช่วยกันเขียน น่ะครับ ไม่งั้นเจอ HD 4 ช่อง
ใครที่จ้องจะฟ้องช่วยมาตอนเค้ารับฟังความคิดเห็นจะดีมาก เวลาเค้าให้มาก็ไม่ค่อยอยากจะมากัน
ช่วยออกมาตอนนี้เถอะ อย่ามาเนียนฟ้องแล้วอ้างชาติบ้านเมือง
Blognone = 138.1 news/w เยอะมากๆ
พอเป็น Digital แล้วก็แชร์เสากันเลยครับ แล้วก็แบ่งช่องย่อยให้ท้องถิ่นด้วย แต่ไม่เอาท้องถิ่นแบบน้ำหมักป้าเชงนะ
เอาแบบท้องถิ่นข่าวจากราชการ หรือข่าวในจังหวัด
และอีกอย่าง คลื่นเดิม ให้ทำแบบเมกา ประชาชนใช้ได้เลยโดยอุปกรณ์ของประชาชนต้องหลบหลีกคลื่นที่ใช้อยู่ได้
คาดว่าจะเจอท้องถิ่นแบบจานบินแทน 55
จะมี DVB-T แล้ว (อีกกี่ปีฟะ) ดีใจ T_T
\me ว่าแต่ชาวบ้านเค้าไป 4K กันแล้วนี่
We need to learn to forgive but not forget...
ในความคิดผม จริงๆ ตอนนี้เราเริ่มไปกันได้ดีแล้วนะครับ
มีขั้นตอนไปช้าหน่อย ผิดๆ ถูกๆ ฮั้วๆ บ้างก็ยังดี
แต่ไอ้ที่ออกมาฟ้องล้มแย่งพื้นที่สื่อกันตลอดนี่มัน......
ใครไป 4K ครับ?
ยังไงดีล่ะ คือกสทช. ต้องเป็นฝ่ายควบคุม content ในระดับบน
ถ้าเราปล่อยให้แค่กลไกลการตลาดเข้ามาควบคุมทิศทางตลาด ก็คงไม่ต่างจากปัจุบันนี้เท่าไหร่หรอก
..: เรื่อยไป