เมื่อตอนต้นปี Sony เปิดตัวอุปกรณ์ไอทีแบบสวมใส่เพื่อสุขภาพภายใต้แนวคิด SmartWear Experience (ข่าวเก่า) โดยในงานได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ซึ่งก็คือ SmartBand และเพิ่งจะวางจำหน่ายไปพร้อมกับ Xperia Z2 เมื่อเร็วๆ นี้ โดยผมได้ซื้อมาใช้งานทดแทน Jawbone UP ที่จากไปอย่างสงบ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ
อันที่จริง SmartBand เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น เพราะที่จริงแล้วผลิตภัณฑ์ที่ Sony เปิดตัวเมื่อครั้งงาน CES 2014 คือสิ่งที่ถูกอธิบายว่าเป็น "ประสบการณ์" สำหรับอุปกรณ์พกพาแบบสวมใส่เหล่านี้ โดยประกอบไปด้วย The Core ที่เป็นตัวตรวจจับ/เซนเซอร์ (ในบทความนี้อาจจะใช้สลับกัน), สายที่เรียกว่า SmartBand (เอาไว้ใส่ The Core) และแอพที่ใช้ร่วมกัน ที่เรียกว่า Lifelog
แต่ว่าเวลาขายจริง Sony กลับไม่พูดถึง The Core ในการขายเลย ทว่ากลับพูดถึง SmartBand เพียงอย่างเดียวในฐานะผลิตภัณฑ์ที่ใช้คู่กับ Lifelog เท่านั้น ดังนั้นแล้วเวลาไปซื้อจริง อาจประสบกับความสับสนอยู่บ้าง
ราคาจำหน่ายจริงอยู่ที่ 3,490 บาท (อาจได้ถูกกว่านี้ถ้าต่อรองได้) โดยสามารถใช้ได้กับโทรศัพท์มือถือ Android ทุกรุ่นที่เป็น KitKat ขึ้นไป และรองรับ Bluetooth (ผมเข้าใจว่าจะต้องเป็น 4.0 LE ขึ้นไป และจะได้เปรียบถ้ามี NFC เพราะจะทำให้การเชื่อมต่อง่ายขึ้น)
กล่องของ SmartBand ให้ความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์ของ Sony กับกลุ่มสินค้าที่เป็นอุปกรณ์เสริม คือเน้นให้เห็นสินค้าจากด้านหน้าของกล่อง ด้านข้างไม่มีอะไรมาก แต่ส่วนด้านหลังใส่รายละเอียดมาเต็มที่ (ด้านหลังชวนนึกถึงคลิปวิดีโอนี้)
ภายในกล่องมีสองชั้น เมื่อแกะออกมาแล้ว จะมีอุปกรณ์เท่าที่เห็น คือ The Core (วางอยู่ตรงกลาง ขาวๆ ชั้นแรก), สาย SmartBand เส้นใหญ่ (ที่อยู่ชั้นแรก) และเส้นเล็ก (วางอยู่ชั้นล่างของกล่อง), สาย USB สั้นไว้สำหรับชาร์จ (วางอยู่ชั้นล่างของกล่อง) และคู่มือ
ตัวสาย SmartBand นั้นมีสองขนาดให้เลือก ที่แถมมาคือสีดำ ตอนไปซื้อผมสอบถามทางพนักงานว่าหากต้องการเปลี่ยนเป็นสีอื่นก็มีเช่นกัน เพียงแต่ในประเทศไทยนำเข้ามาเพียงเฉพาะขนาดใหญ่ (L) เท่านั้น (แสดงความเสียใจกับคนที่มีข้อมือเล็กมา ณ ที่นี้) โดยจะขายเป็นชุด 3 สี (ขาว, ม่วง, เหลืองเลมอน) ในราคา 790 บาท
สิ่งที่อาจจะต้องถูกพูดถึงเป็นพิเศษคือสิ่งที่เรียกว่า The Core หรือเซ็นเซอร์ ที่เป็นหัวใจหลักของ SmartBand ทั้งหมด โดยตัว The Core นี้สามารถถอดออกมาได้จาก SmartBand (แนวคิดเดียวกับ Fitbit Flex) ซึ่งผลที่ได้คือทำให้ Sony สามารถทำงานร่วมกับผู้ผลิตรายอื่นๆ ในการผลิตสายเพื่อ The Core แล้วขายแยกต่างหากได้ในภายหลัง (และก็เริ่มมีบางเจ้าแล้วที่ทำสายเพื่อ The Core)
ตัวของ The Core มีน้ำหนักที่เบามาก ส่วนขนาด ในแง่ความบางถือว่าพอสมควร แต่ในมิติหน้ากว้างก็ถือว่าปกติทั่วไปครับ ด้านบนของ The Core ไม่มีปุ่มอะไรเลย นอกจากข้อความว่าได้รับอนุมัติจากหน่วยงานควบคุม (Regulators) ที่ไหนมาบ้าง และเลขโมเดลของรุ่น (SWR10) เท่านั้น
พอร์ต Micro USB สำหรับชาร์จไฟ แบบเปิดเปลือย ซึ่ง Sony บอกว่ามันสามารถกันน้ำได้ (ภายใต้มาตรฐาน IP58) แม้ว่าจะรับรองกันมาถึงระดับนี้ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยจะไว้ใจอยู่ดี ทางที่ดีคือควรเอาออกมาทำให้แห้งเมื่อใช้ในแต่ละวันครับ (ก่อนนอนก็ดี)
ด้านข้างมีปุ่มไว้สำหรับสลับโหมดเป็น Day Mode กับ Night Mode (นอนกับไม่นอน) และไฟ LED 3 ดวงเพื่อแสดงสถานะการทำงาน
Sony ไม่เปิดเผยอย่างเป็นทางการว่า The Core ทำงานอย่างไรบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องของการนับก้าวและจับความเร็วในการเดิน/วิ่ง ผมคาดเดาเอาเองว่า อย่างน้อยจะต้องมีตัวตรวจจับความเร็ว (accelerometer) และตัวนับก้าวเดิน (pedometer) อยู่ภายในแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่สุดของ SmartBand ที่จะทำงานได้คือการต้องใช้งานคู่กับแอพที่มีชื่อว่า Lifelog ซึ่งจะเก็บสถิติและกิจกรรมที่ทำเกือบจะทั้งหมด โดยเมื่อเชื่อมต่อครั้งแรก ถ้าเครื่องยังไม่มี Sony Smart Connect (แอพกลางของ Sony สำหรับอุปกรณ์เสริมต่างๆ ทั้งหมด ซึ่งปกติจะติดมาพร้อมกับ Xperia ทุกรุ่น) เครื่องจะพาเราไป Play Store เพื่อดาวน์โหลดแอพลงมาก่อน จากนั้นจึงตามด้วยแอพเฉพาะทาง SmartBand อีกที (แบบเดียวกับ SmartWatch 2)
หลังจากดาวน์โหลดมาแล้ว ในชั้นนี้ก็จะแก้ไขค่าของอุปกรณ์บางส่วนได้ อย่างเช่น กำหนดให้เข้าโหมดกลางคืน (นอนหลับ) อัตโนมัติ, ปลุกอัตโนมัติ, หรือส่งการแจ้งเตือน (notification) ต่างๆ มายัง SmartBand ได้ (คุณ Zatang บอกว่าเลือกว่าเอาการแจ้งเตือนอันไหนได้บ้างด้วยนะครับ ส่วนตัวผมตอนแรกเลือกไม่ได้ เลยไม่ได้ลอง), สั่นเมื่อ SmartBand อยู่นอกระยะทำการของมือถือ และแจ้งเตือนสายเรียกเข้า ส่วนถ้ามีแอพอื่นที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับ SmartBand เพิ่มเติม ก็เข้าไปตั้งค่าได้ในหมวด Applications ครับ
แต่เรื่องยังไม่หมดแค่นั้น เพราะจะต้องดาวน์โหลดแอพ Lifelog อีกทีหนึ่ง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญมากๆ เพราะ Lifelog จะเป็น "ศูนย์กลาง" ของประสบการณ์ทั้งหมดสำหรับ SmartBand โดยเมื่อดาวน์โหลดแล้ว ก็จะบังคับให้เราเข้าใช้งานผ่าน Google Account (แปลว่าถ้าเปลี่ยนเครื่อง การตั้งค่าทั้งหมดก็จะตามไปด้วย) โดยจะกำหนดให้เราใส่ส่วนสูง น้ำหนัก วันเกิด เพื่อนำไปคำนวณข้อมูลที่เกี่ยวข้องด้วย
Lifelog ถือเป็นแอพที่ติดตามไม่ใช่แต่เพียงสุขภาพของเราอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงทุกๆ กิจกรรมโดยแสดงให้เป็นช่วงเวลาอย่างชัดเจนในแต่ละวัน และลงถึงกิจกรรมต่างๆ อย่างละเอียดมาก (ละเอียดถึงขนาดแสดงแผนที่ว่าวันนี้เราเดินทางไปไหนมาไหนบ้าง!) ผมเรียกมันสั้นๆ ว่า เป็น "Stalker App" ซึ่งหากคิดในมิติด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวแล้ว ถ้าสมมติข้อมูลเหล่านี้รั่วออกไปด้านนอกได้ ถือว่าน่ากลัวมาก เพราะ Lifelog บันทึกข้อมูลอย่างละเอียดยิบ จนบันทึกข้อมูลทุกประเภทเท่าที่จะนึกออกได้ ตั้งแต่การเข้าเว็บ ฟังเพลง เล่นเกม ถ่ายรูป การติดต่อสื่อสาร ไปจนถึงการนอน การเดิน และการวิ่ง
อย่างไรก็ตาม Lifelog ยังขาดมิติของการแชร์และแบ่งปันสถิติของตัวเอง ซึ่งผิดกับ Jawbone UP ที่เราสามารถมีเพื่อนและแข่งกันในเชิงสถิติได้
ในแง่ของการใช้งานจริง ผมพบว่าตัว The Core ทำงานตรวจจับในเรื่องของการเดินและการวิ่งได้ค่อนข้างแม่นพอสมควร การตรวจจับการนอนก็ทำได้ดีไม่แพ้ Jawbone UP ที่ผมใช้มาก่อน
เวลาจะเปลี่ยนโหมดใช้งาน ก็เหมือนกับ Jawbone UP คือกดที่ปุ่มค้างไว้ 2 วินาที เท่านี้ก็จะเปลี่ยนโหมดการทำงานเรียบร้อยแล้ว ส่วนการสร้างที่คั่น (bookmark) ไว้ใน Timeline ของ Lifelog ผมไม่ได้ใช้ (และหาสาเหตุที่จะต้องใช้ไม่ค่อยได้)
อย่างไรก็ตาม ความใช้ง่ายของมันก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย เพราะนอกจากจะบอกไม่ได้ว่าเราเดินหรือเผาผลาญไปถึงเป้าหมายที่เรากำหนดไว้แล้ว ถ้าในกรณีที่เรานั่งทำงานนานๆ (เช่น อ่านหนังสือ หรือทำงานที่สำนักงาน) เครื่องจะไม่แจ้งและไม่สั่นเตือน (ซึ่ง Jawbone UP มี)
นอกจากนั้นแล้ว อายุของแบตเตอรี่ก็เป็นปัญหาสำคัญ กล่าวคือ ผมใช้ Jawbone UP ระยะเวลาที่ต้องชาร์จคือทุกๆ 10 วัน ส่วน Fitbit Flex อยู่ที่ประมาณอาทิตย์ละครั้ง (อ้างจากรีวิวเก่า) แต่กับ SmartBand ผมต้องชาร์จทุกๆ 5 วัน (และถ้าเอาจริงๆ ก็ประมาณสี่วันเศษๆ) ดังนั้นถือว่าอายุของแบตเตอรี่ค่อนข้างสั้นเกินไปสักหน่อย
อีกจุดหนึ่งที่เป็นข้อด้อยของ SmartBand คือการที่สัญญาณเชื่อมระหว่างโทรศัพท์กับ SmartBand ติดๆ หลุดๆ ซึ่งผิดกับ SmartWatch 2 ที่เชื่อมต่อตลอดเวลาได้ ประเด็นนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการทำงานในเชิงฮาร์ดแวร์ในแต่ละเครื่องด้วยส่วนหนึ่ง และอยู่ที่ SmartBand ด้วย
นอกจากปัญหาทั้งหมดข้างต้นแล้ว อีกปัญหาหนึ่ง (ที่ Fitbit Flex ก็เจอ) ก็คืออาการน้ำเข้าไปค้างอยู่ในช่องว่างระหว่างตัว The Core กับตัวสายของ SmartBand ซึ่งทำให้น้ำส่วนเกินที่ไปติดตามซอกเหล่านั้นค่อยๆ ซึมออกมาเวลาใช้งานไป หรือถ้าออกมาก็ออกมาได้ไม่หมด ต้องถอดเช็ดทุกวัน ดังนั้นอาจจะเป็นปัญหากวนใจอยู่บ้าง
ด้านแอพ Lifelog ผมเองได้เขียนเล่าไปแล้วว่ามันบันทึกทุกอย่างจริงๆ และร้องขอการเข้าถึงอย่าง GPS ตลอดเวลา ดังนั้นแล้วความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล ก็เป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างกังวลอยู่ อย่างไรก็ตาม ตัวแอพถือว่าทำงานได้และแสดงข้อมูลพื้นฐานได้ตามที่ควรจะเป็น
ในท้องตลาดบ้านเรา อุปกรณ์เพื่อสุขภาพเหล่านี้ออกมาสู่ตลาดเยอะมากในช่วงหลัง Sony SmartBand อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ที่อาจจะชื่นชอบแนวทางของ Sony ที่ทำให้อุปกรณ์เสริมของตัวเองทำงานกับโทรศัพท์ได้มากรุ่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนั้นแล้วอย่างน้อยก็มั่นใจในเรื่องการรับประกันว่ามีประกันแน่ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ที่ซื้อมาจากต่างประเทศ แล้วต้องมาลุ้นกันว่าจะมีประกันหรือไม่
อย่างไรก็ตาม Sony เหมือนยังคงดึงพลังของ SmartBand ออกมาได้ไม่สุด และคุณสมบัติของ Lifelog ที่ยังทั้งขาด (ในการแชร์กิจกรรมกับเพื่อน) หรือเกิน (เช่น ตามไปถึงว่าวันนี้ไปไหนมาบ้างด้วยระบบ GPS) ทำให้ผมรู้สึกว่า Sony อาจจะต้องปรับอะไรหลายอย่างอีกเยอะ แต่สำคัญที่สุดคือต้องมีนโยบายอย่างชัดเจนว่าข้อมูลพวกนี้ จะถูกจัดเก็บอย่างไร และมีการปกป้องข้อมูลอย่างไรบ้าง เพราะแอพเจ้าอื่นเท่าที่เคยลองใช้ ไม่เคยมีถึงขั้นติดตามไปถึง GPS ขนาดนี้
แต่ถ้าถามว่าด้วยราคาขนาดนี้ และคุณสมบัติที่สามารถทำงานตอบสนองเรื่องพื้นฐาน (ไม่นับว่ามันฉลาดจนเกินไปที่ติดตามทุกกิจกรรมของชีวิต) ผมก็คิดว่าคุ้มค่าสำหรับผมที่ซื้อมา แต่สำหรับท่านอื่นอาจจะต้องคิดอีกที
ข้อดี
ข้อเสีย
Comments
การแจ้งเตือน (notification) ต่างๆ มายัง SmartBand ได้ (เลือกไม่ได้ว่าจะเอาการแจ้งเตือนอันไหนบ้างนะครับ) <- เลือกได้นะครับว่าจะเอาแอพไหนบ้าง กดเข้าไปจะมีให้เลือกปิดเปิดรายแอพเลยครับ
เห็นด้วยเรื่องแบตน้อยไป อย่างน้อยควรจะเกินสัปดาห์ กับเรื่องเก็บรายละเอียดเดินทาง เปิดมาดูตอนแรกตกใจเลย เก็บอะไรขนาดน้าน
ปล. ถ้าใครชอบนั่งรถตู้ไม่แนะนำนะครับ เคยนั่งครั้งนึง 1 ชั่วโมงขึ้นมาหลายร้อยก้าวเลย เขย่าเกิน แต่ถ้าขับรถเองถนนดีๆ จำนวนก้าวแทบไม่ขึ้น
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ขอบพระคุณครับ เดี๋ยวจะลองดูอีกที
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
แถมรูปครับ ถ้าเปิดแล้วกดเข้าไปจะเป็นแบบนี้
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ร้องของ => ร้องขอ
เท่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ => ที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผมงงประโยคสุดท้ายอ่ะครับ
แก้หมดเรียบร้อยครับ ทั้งสองท่าน
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ถ้ารองรับ iOS กับเข้าดูข้อมูลผ่านเว็บได้ แบตเพิ่มให้ถึงสัปดาห์จะดีมากเลย
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
เหมาะให้คุณสาวๆซื้อให้คุณแฟนใส่มาก //ขอบคุณสำหรับ preview นะครับ
ควบคุมการนอนได้แบบ Jawbone UP มั้ยครับ
แบบ สั่นปลุกในช่วงเวลาที่เราจะไม่งัวเงีย แล้วก็ โหมดงีบกลางวันมีมั้ยครับ
ปลุกมันจะตั้งเป็นช่วงเวลา เช่น 6:30 - 7:00 มันจะปลุกในเวลาที่เหมาะสมที่สุดตาม sleep cycle ระหว่าง 6:30 - 7:00 ส่วนงีบผมไม่เห็นนะ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ทำไมอ่านๆ ไปก็นึกขึ้นว่าอุปกรณ์พวกนี้มันคล้ายๆ กับอุปกรณ์ที่เค้าเอาไว้ track พวกสัตว์ป่าเลยแฮะ อย่างที่เห็นในสารคดีกัน
สักวันอาจจะโดยคุณเมียบังคับให้ใส่
ท่านครับ เว็บนี้มีผู้หญิงอ่าน อย่าชี้โพรงสิครับ
เป็นรุ่น...ปลอกคอ
เป็นแอพที่โหดมาก ยิ่งกว่า Find my iPhone หรือแอพดูตำแหน่งมือถืออีก เพราะดูย้อนได้หมดเลยว่าเวลาไหนอยู่ที่ไหน
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ตอนนี้ผมใช้เจ้าตัวนี้อยู่ เหมาะสำหรับคนที่อยากบันทึกกิจกรรมชีวิตประจำวัน
เห็นด้วยที่แบตน้อยจริงๆ อยากให้อยู่ได้สัก 8 วันก็ยังดี
ในความคิดผมที่ว่ายังแย่มากอย่างหนึ่งคือ มันจับเวลาหลับไม่ได้ มันเช็คได้แค่ตอนเราตั้งตอน Auto Sleep Mode เท่านั้น
เวลางีบกลางวันที เก็บข้อมูลนอนไม่ได้เลย
อิจฉาแอพ ดูดีกว่าน่าใช้เข้าใจง่ายกว่า garmin connect ที่ใช้กับ vivofit เยอะ รอการ์มินปรับปรุงต่อไป เครื่องมันเฟอร์เฟคแล้ว
ผมว่าคงยากหน่อย ก็คงได้ประมาณนั้นแหละครับ เพราะ connect มันถูกออกแบบให้กับ หลายๆอุปกรณ์ จะออกแบบให้เฉพาะเจาะจงแบบ Sony คงยาก ก็คงต้องใช้เป็นช่องๆแบบนั้นไปอีกนาน
ผมก็เห็นด้วยครบั H/W ผมว่าเจ๋งที่สุดในพวกของ Activity แล้วครับ คือ คนที่ออกแบบเข้าใจคำว่า Activity จริงๆ แต่ทุกวันนี้ผมแทบไม่เคยมองมันเลยใส่ๆไปเพราะชิน แล้วก็ไม่ต้องชาร์ตเรียกว่าใส่ลืมไปเลยครับ
ผมว่าดีแล้วล่ะครับที่มันไม่ เก็บข้อมูลไว้บน Net เหมือนกับพวก อุปกรณ์ Activity อื่นๆ ลองนึกดูว่ามัน Up ข้อมูลไว้ใน Net แล้วแฟน รู้ User/Password ด้วยแล้วจะยุ่งกันใหญ่ :D
รอให้พวกนี้มันอยู่ได้สักเดือนก่อนถึงจะชื้อมาใช้
vivofit อยู่ได้ 1 ปีครับจัดได้เลย
UP24 โฆษณาไว้อยู่ที่ 7 วันครับ แต่ใช้จริงๆแล้วอยู่ที่ประมาณ 5-6 วันเต็มที่ครับ น้อยกว่า UP ที่อยู่ที่โฆษณาไว้ว่า 10 วัน
แบตทนสุดคงต้องยกให้ Garmin เพราะไม่ต้องชาร์จ เปลี่ยนอย่างเดียว
อยู่ได้ปีนึง แต่แลกกับการไม่มีเสียง ไม่มีสั่น
ฉันเล็ก ฉันเบา ฉันจด ฉันจึงอยากได้เคียงกาย
ฉันหวัง เก็บสตางค์ ไปมากมาย สุดท้าย sony ให้แพเรือนเดียว
และแล้วก็มีคนเข้าใจพาดหัว //ซาบซึ้ง
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ชื่อเพลง เพลงเถื่อนแห่ง sony :3