ปีนี้ ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Note 5 ซึ่งไม่มีอะไรผิดไปจากความคาดหมายนัก เจ้า Note 5 ใช้ดีไซน์และรูปลักษณ์ตามแบบของ Galaxy S6 (ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงดีไซน์ครั้งใหญ่ของซัมซุง) แต่เพิ่มปากกา S Pen ที่เป็นจุดเด่นของซีรีส์ Galaxy Note ตลอดมา
จากที่ผมคุยกับคนในแวดวงหลายๆ คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตลาดไทยนั้น "Galaxy Note ขายดีกว่า Galaxy S" ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนั้นผมเชื่อว่าหลายคนที่สนใจ Galaxy S6 อาจเลือกที่จะรอ Galaxy Note 5 แทน และตอนนี้เมื่อ Note 5 เปิดตัวแล้วก็ได้เวลารีวิวครับ (ภาพเยอะมากตามเคย)
เดิมทีนั้นมือถือตระกูล Galaxy Note ของซัมซุงถูกวางตัวไว้ในสถานะ "เรือธงครึ่งหลังของปี" คู่กับตระกูล Galaxy S ที่เป็นเรือธงประจำครึ่งแรกของทุกปี จุดต่างของ Note กับ S แบ่งออกได้ 3 ประการหลักคือ
มาถึงปี 2015 ซัมซุงเลือกใช้ยุทธศาสตร์ที่ต่างออกไปจากที่แล้วมา โดย Galaxy Note 5 ที่ออกตามหลัง Galaxy S6 ประมาณ 5 เดือน (ช่วงเวลาระหว่างรุ่นลดลงเล็กน้อย) กลับใช้ฮาร์ดแวร์เหมือนกับ S6 แทบจะทุกประการ ดังตารางด้านล่าง
จากตารางจะเห็นว่า สเปกของ Note 5 กับ S6 เหมือนกันแทบทุกประการ จุดต่างหลักๆ ในแง่สเปกคือ
ในแง่สเปกโดยรวมแล้ว พื้นฐานของ S6 กับ Note 5 แทบไม่ต่างกัน ฟีเจอร์ด้านฮาร์ดแวร์อย่างอื่น เช่น ตัวสแกนลายนิ้วมือ, ตัววัดอัตราการเต้นหัวใจ NFC, ที่รองรับ Samsung Pay มีเหมือนกันหมด รวมถึงประเด็นเรื่องฝาหลังถอดไม่ได้, เปลี่ยนแบตเองไม่ได้, เสียบ microSD ไม่ได้, ใช้นาโนซิมแบบถาด พวกนี้เหมือนกันทุกประการ
นอกจากมือถือสองตัวนี้แล้ว ปีนี้ซัมซุงยังมีมือถือที่ใช้พื้นฐานเดียวกันอีกสองรุ่นคือ S6 edge และ S6 edge+ ด้วย มือถือทั้งสี่ตัวมีความใกล้เคียงกันมากในระดับที่ผมขอเรียกว่า Galaxy S6 Family หรือ Galaxy S6 Platform
ความแตกต่างของสี่พี่น้องมีดังนี้
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ด้วยยุทธศาสตร์ของซัมซุงปี 2015 ทำให้พรมแดนความแตกต่างระหว่างซีรีส์ S กับ Note ที่แล้วๆ เริ่มจางหายไป จากเดิมที่ Note มีความแตกต่างจาก S อยู่สามประการคือปากกา หน้าจอ สเปก จึงลดลงมาเหลือแค่เรื่องปากกาเป็นหลักเพียงอย่างเดียว (ส่วนหน้าจอใหญ่ขึ้นจริง แต่ไม่ใช่ Note 5 รุ่นเดียวที่จอใหญ่ขึ้นจาก S6 ส่วนเรื่องการเลือกขายระหว่าง Note 5 กับ S6 edge+ ในแต่ละประเทศ อันนี้ก็ไม่เข้าใจซัมซุงเหมือนกัน)
เหตุผลหลักๆ ในการเลือกซื้อ Galaxy Note 5 แทนที่จะเป็นพี่น้องคนอื่นๆ ใน S6 Platform จึงเหลือแค่ปัจจัยว่า "ใช้ปากกาหรือไม่" ส่วนปัจจัยเรื่องสเปกคงมีความสำคัญน้อยลงไป
เมื่อต้นปี 2015 การเปลี่ยนแปลงดีไซน์ของ Galaxy S6 ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับฐานรากของซัมซุงก็ว่าได้ ดีไซน์ของ S6 ฉีกแนวจากมือถือรุ่นก่อนๆ ที่เคยมีมา ในภาพรวมแล้วมันหรูหราขึ้นมาก แต่ก็ต้องแลกด้วยฟีเจอร์บางอย่างที่หายไป เช่น แบตเตอรี่ถอดเปลี่ยนไม่ได้ และใส่ microSD เพิ่มไม่ได้
พอมาถึงรอบของ Note 5 ซัมซุงกลับไม่ได้เปลี่ยนแปลงดีไซน์ของตัวเครื่องให้ฉีกแนวไปจาก S6 มากนัก (ตามแนวคิดเรื่อง S6 Platform ที่อธิบายไปแล้วข้างต้น) ดีไซน์ภายนอกของ Note 5 แทบจะยกหน้าตาและวัสดุโลหะของ S6 มาทั้งหมด ถ้าหยิบเครื่องมาให้ดูแบบเผินๆ แล้วอาจแยกไม่ออกว่าต่างกันอย่างไรด้วยซ้ำ
ถ้าไม่นับเรื่องปากกาแล้ว จุดที่พอจะสังเกตความแตกต่างระหว่าง S6 กับ Note 5 คงเป็นขอบด้านหลังเครื่องที่โค้งมน แทนขอบแบนราบแบบ S6 ตรงนี้ช่วยให้จับได้กระชับมือมากขึ้นครับ
แนวทางการออกแบบของทั้ง S6 และ Note 5 เน้นความหรูหรา ใช้วัสดุโลหะมันวาว (this shiny object!) ซึ่งดูดีมีราคา แต่มันก็มีข้อเสียในมุมกลับคือเป็นรอยนิ้วมือง่ายมากๆ และการใช้งานอาจไม่สมบุกสมบันได้มากนัก จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรต้องหาเคสมาใส่กันรอย
Galaxy Note 5 มีให้เลือกทั้งหมด 4 สีคือ ดำ ขาว เงิน ทอง แต่รุ่นที่วางขายในเมืองไทยตอนนี้ยังมีเฉพาะเงินและทองครับ (สีดำเข้าเดือนตุลาคม สีขาวยังไม่มีแผน)
แนวทางการเลือกสีของซัมซุงปีนี้มีสีพื้นฐานคือ ดำ ขาว ทอง เหมือนกันในทุกรุ่นย่อยของ S6 Platform และแต่ละรุ่นจะมีสีพิเศษเฉพาะของรุ่นนั้น ได้แก่ น้ำเงิน (S6) เขียว (S6 edge) ส่วนกรณีของ Note 5 คือสีเงินนี่เอง
เพื่อให้เห็นพัฒนาการของ Note 5 เราลองมาดูรูปเปรียบเทียบกับรุ่นพี่ Note 4 กันบ้าง ถ้าเอามาวางเทียบกันแล้วจะเห็นว่า Note 5 มีขนาดผอมและเตี้ยกว่า Note 4 เล็กน้อย (ที่ขนาดหน้าจอ 5.7" ความละเอียด 2560x1440 เท่ากัน)
ความเตี้ยของเครื่องอาจต่างกันนิดเดียว แต่ความผอมของเครื่องเห็นความแตกต่างชัดเจน โดยรวมแล้ว Note 5 มีสัดส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องทั้งหมดเยอะกว่า Note 4 (จอเท่ากัน เครื่องเล็กลง) แต่ในการใช้งานจริงก็ไม่ใช่ประเด็นอะไรมากมายนัก
ปากกา S Pen ของ Note 5 จะยาวกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย เพราะตรงหัวปากกาสามารถกดแล้วเด้งได้เหมือนปากกาลูกลื่น ในขณะที่ปากกาของ Note 4 เป็นแท่งแข็งๆ ขยับอะไรไม่ได้เลย
พื้นฐานซอฟต์แวร์ของ Galaxy Note 5 ก็เหมือน Galaxy S6 แทบจะทุกประการครับ คงไม่ลงรายละเอียดมากนัก ย้อนไปอ่านได้ใน รีวิว Galaxy S6 และ S6 edge ในที่นี้จะเล่าเฉพาะจุดสำคัญเท่านั้น
หน้าโฮมของ Note 5 ค่าดีฟอลต์มีมาให้สองหน้าจอ (บวกอีกหนึ่งหน้าจอ Flipboard/My Magazine ที่ปิดได้) รูปแบบของไอคอนอาจต่างไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วสะอาดสะอ้าน ไม่รกรุงรัง
หน้าจอแอพก็มีเพียงแค่ 2 จอ แอพพื้นฐานมีให้ครบถ้วน แอพที่พรีโหลดมีของซัมซุงนิดหน่อย (พวก Galaxy Apps, Galaxy Gift, Galaxy Rewards) ส่วนแอพที่ไม่ใช่ของซัมซุงทำเองมี
ระบบปฏิบัติการเป็น Android 5.1.1 รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อม KNOX เวอร์ชัน 2.5
ลองเปิดแอพ Smart Manager พบว่าค่าดีฟอลต์ใช้พื้นที่ไปประมาณ 25% และกินแรมประมาณ 48% (อัตราการใช้แรมอาจแปรผันตามแอพที่เปิดอยู่ด้วย)
ฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์อื่นๆ เช่น การเปลี่ยนธีม, motion gesture, Easy Mode, การปลดล็อคด้วยลายนิ้วมือ เท่าที่ลองเล่นดูเหมือน S6 ทุกประการ คงไม่ต้องเขียนถึงซ้ำนะครับ
จุดขายสำคัญของ Galaxy Note คือปากกา S Pen ดังนั้นไม่กล่าวถึงคงจะไม่ได้ สำหรับ S Pen ของ Galaxy Note 5 มีจุดต่างไปจาก S Pen ของ Note 4 ไม่เยอะนัก
ฝั่งของฮาร์ดแวร์ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วคือกดแล้วมีสปริงเด้งได้ อันนี้แปลกดี ลองใช้แล้วพบว่าไม่ต่างอะไรกับ S Pen แบบเด้งไม่ได้สักเท่าไรนัก (คือมีหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็น)
หน้าจอ Air Command ที่จะโผล่ขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อดึงปากกา ถูกออกแบบให้สะอาดตาขึ้น เข้าถึงฟังก์ชันหลักได้ 4 อย่าง (เพิ่มช็อตคัตเองได้)
ฟีเจอร์เล็กๆ ที่เพิ่มเข้ามาคือเขียนหน้าจอได้ แม้ว่าเครื่องปลดล็อคอยู่ (ตัวเลือกนี้ไม่เปิดมาให้โดยดีฟอลต์) เราสามารถดึงปากกาออกมาแล้วเขียนลงหน้าจอได้เลย ตอนที่เขียนจะเป็นตัวหนังสือสีขาวพื้นสีดำ แต่เมื่อเขียนเสร็จแล้วเซฟ ปลดล็อคหน้าจอ มันจะไปอยู่ใน Action memo โดยกลับมาใช้สีพื้นตามปกติของแอพ
แอพ S Note ถูกออกแบบให้สะอาด แบนราบมากขึ้น ส่วนฟีเจอร์ Smart select เพิ่มความสามารถจับภาพหน้าจอทั้งหมด (ทั้งเว็บเพจตั้งแต่หัวจรดท้าย เหมือนกับแอพจับภาพหน้าจอบางตัว) โดยผู้ใช้ต้องกดปุ่ม Capture more ทีละหน้าจอไปเรื่อยๆ เมื่อได้ครบตามที่ต้องการแล้วกด Done
สรุปว่า S Pen เวอร์ชันใหม่ดีขึ้นกว่าเดิมในหลายจุด แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ในภาพรวมแล้วคงไม่ต่างจาก S Pen ของ Note 4 เท่าไรนัก
Samsung SideSync เป็นฟีเจอร์ที่มีมานานมาแล้วเช่นกัน เป้าหมายของมันคือเชื่อมต่อการทำงานระหว่างสมาร์ทโฟนกับพีซีให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น โอนถ่ายไฟล์ระหว่างกันสะดวกขึ้น รวมถึงแสดงการแจ้งเตือนต่างๆ ของสมาร์ทโฟนบนพีซีด้วย
Galaxy Note 5 มาพร้อมกับ SideSync 4.0 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ของใหม่คือรองรับ OS X, ปรับหน้าตาให้สะอาดขึ้น, ซิงก์อัตโนมัติผ่าน Wi-Fi, ปรับปรุงความเร็วของการโอนถ่ายไฟล์มากขึ้น
เท่าที่ลองใช้ดูก็พบว่าหน้าตาดูสวยขึ้น และดูไม่ค่อยขัดๆ ระหว่างการใช้งานเหมือนรุ่นก่อนๆ ครับ อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้อาจไม่ใช่ฟีเจอร์กระแสหลักที่ทุกคนต้องใช้งาน (มีไว้ก็ดี อาจได้ใช้บ้าง แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้งานมือถือตลอดเวลา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องเปิดค้างไว้)
ฟีเจอร์ใหม่อย่างหนึ่งของ Note 5 คือ Fast Wireless Charging ชาร์จไฟแบบไร้สายได้เร็วกว่าเดิม (ถึงแม้จะไม่เร็วเท่ากับ Fast Charging แบบมีสาย) ซึ่งต้องใช้คู่กับอุปกรณ์เสริมเป็นแท่นชาร์จรุ่นใหม่ที่ขายแยกต่างหาก
ตอนวางมือถือบนแท่นชาร์จก็จะมีแอนิเมชันให้รู้สึกว่า กำลังชาร์จพลัง ออร่าลุกโชน
แถมมีตัวเลขระยะเวลาบอกบนจอด้วยว่า ชาร์จแล้วอีกนานเท่าไรจะเต็ม (เนื่องจากเราไม่มีอุปกรณ์แท่นชาร์จไร้สายรุ่นก่อนมาชาร์จเทียบ เลยบอกไม่ได้ว่าเร็วขึ้นแค่ไหนนะครับ)
อุปกรณ์ในกล่อง มีสายชาร์จแบบ Fast Charge มาตรฐาน, หูฟังพร้อมกล่องใส่ (พัฒนาขึ้นจากเดิมตรงมีกล่องใส่) และอุปกรณ์ช่วยจิ้มถาดซิม
ส่วนอุปกรณ์เสริมที่หยิบยืมมาได้จากซัมซุงประเทศไทยคือ เคสแบบฝาพับ (Flip Case) มาตรฐาน เป็นเคสใสที่มีฝาปิดโปร่งแสง พับฝาแล้วขึ้นตัวเลขนาฬิกาบอกได้
เนื่องจากกล้องของ Note 5 แทบไม่ต่างอะไรจากกล้องของ S6 ตรงนี้คงไม่ขอรีวิวละเอียดเช่นกันครับ
ดูรูปเทียบระหว่างกล้องของ Note 4 (ซ้าย) และ Note 5 (ขวา) ได้ด้านล่าง ทั้งหมดถ่ายด้วยโหมด Auto คลิกเพื่อดูภาพความละเอียดเต็มได้
ฟีเจอร์ใหม่ด้านกล้องของ Note 5 ที่โชว์ในงานเปิดตัวคือการถ่ายวิดีโอแล้วสตรีมสดขึ้น YouTube Live Streaming ซึ่งซัมซุงไปทำดีลกับกูเกิลไว้
วิธีการใช้งานคือเข้าแอพกล้องแล้วเลือกโหมดเป็น Live Broadcast ที่แยกจากการถ่ายวิดีโอแบบปกติครับ การเปิดใช้ครั้งแรกจะยุ่งยากพอสมควร เพราะต้องล็อกอินบัญชี YouTube จากหน้ากล้องก่อน (ถ้าเปิด 2-step verification ไว้ก็ต้องใส่โค้ดด้วย), ตกลงตามเงื่อนไขการใช้งาน และถ้าบัญชี YouTube ของเราไม่เคยยืนยันตัวตนมาก่อน จะใช้โหมด Live ไม่ได้ ก็ต้องยืนยันตัวตนด้วยโค้ดจาก SMS อีกรอบ
เมื่อผ่านขั้นตอนยุ่งยากทั้งหลายมาแล้ว ที่เหลือเป็นเรื่องง่าย เราก็กดถ่ายวิดีโอแล้ว invite เพื่อนๆ เข้ามาดูในหน้า YouTube Live ได้เลย และเมื่อถ่ายเสร็จแล้วก็สามารถตั้งค่าให้อัพโหลดวิดีโอขึ้น YouTube อัตโนมัติได้ด้วย
ฟีเจอร์นี้ถือว่าเจ๋งไม่น้อย และเราน่าจะเห็นการถ่ายทอดสดงานอีเวนต์ต่างๆ ด้วยสมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นอีกมาก (ข้อดีที่เหนือกว่าแอพพวก Periscope หรือ Meerkat ก็คือมันผูกกับ YouTube โดยตรง สะดวกและคุ้นเคยกว่า) หวังว่าซัมซุงจะตามอัพเดตฟีเจอร์นี้ให้มือถือรุ่นอื่นๆ ด้วยนะครับ
ประเด็นที่ถกเถียงกันเยอะคือ Galaxy Note 5 ไม่สามารถถอดฝาหลัง-ถอดแบตเตอรี่เอง และเสียบ microSD ได้ ซึ่งทำให้กลุ่ม power user ที่ต้องการฟีเจอร์เหล่านี้ (ที่มีในซีรีส์ Note มาตลอด) ไม่พอใจการเปลี่ยนแนวทางของซัมซุงอย่างมาก
ช่วงนี้กำลังฮิตก็ขอเล่นสักหน่อยนะครับ
ประเด็นเรื่องฝาหลังถอดไม่ได้ ถอดแบตเองไม่ได้ รวมถึงเสียบการ์ดหน่วยความจำเองไม่ได้ เป็นสิ่งที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่ Galaxy S6 ว่าซัมซุงจะเลิกฟีเจอร์เหล่านี้ และหันไปทำตามแอปเปิลทำไมกัน พอมาถึงซีรีส์ Note ที่ผู้ใช้กลุ่มโปรใช้กันเยอะ เรื่องนี้เลยยิ่งกลายเป็นประเด็นเข้าไปอีก
ตรงนี้ต้องแยกว่า เรากำลังมีกลุ่มผู้ใช้ที่แยกจากกันชัดเจน คือกลุ่มที่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย และกลุ่มที่มองว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เลือกมือถือของซัมซุง ซึ่งความต้องการของผู้ใช้ทั้งสองกลุ่มสวนทางกันอย่างชัดเจน
ผู้ใช้อย่างเราๆ ไม่รู้สถิติหรือตัวเลขการใช้งานเชิงลึกแบบเดียวกับซัมซุง คงไม่มีใครอธิบายเหตุผลแทนซัมซุงได้ สิ่งที่สามารถบอกได้คงมีเพียงแค่ว่า ซัมซุงเลือกจะเดินหน้าหาผู้ใช้กลุ่มแรก (ที่ไม่สนใจเรื่องถอดแบต-เสียบการ์ด) และทอดทิ้งผู้ใช้กลุ่มหลัง สุดท้ายแล้วยอดขายคงจะบอกเองว่าซัมซุงคิดถูกหรือไม่
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าการถอดฝาหลัง-ถอดแบต-เสียบการ์ด (รวมถึงการที่ซิมการ์ดเป็นแบบเสียบ ไม่ใช่แบบถาด) เป็นฟีเจอร์ที่ "มีก็ดีนะ" แต่ไม่ถึงขั้น "ไม่มีไม่ได้" ดังนั้นการที่ S6 และ Note 5 เลือกเดินแนวทางนี้คงไม่ใช่ปัญหากับผมมากนัก อย่างไรก็ตาม Blognone เคยมีคอมเมนต์ถกเถียงกันเรื่องนี้หลายครั้ง (ตอนที่ 1, ตอนที่ 2) อันนี้ก็เข้าใจผู้ใช้กลุ่มโปรที่ต้องการฟีเจอร์เหล่านี้อย่างยิ่งยวดเช่นกันนะครับ เพียงแต่ดูท่าทีของซัมซุงแล้ว คงไม่ยกเลิกการตัดสินใจ กลับมาทำแบบเดิมในอนาคตอันใกล้นี้
ทางออกที่เป็นไปได้มากที่สุดของผู้ใช้ Galaxy Note ที่ต้องการฟีเจอร์ถอดแบต-เสียบการ์ด คงเป็น Galaxy Note 4 ซึ่งเป็นมือถือที่ดีมากๆ ตัวหนึ่ง และเวลาที่ผ่านไปหนึ่งปี ราคาลดลงจากเดิม ยิ่งทำให้มันเป็นมือถือที่คุ้มค่าคุ้มราคาขึ้นอีกมาก
อย่างที่เขียนไปในตอนต้นๆ ว่า Galaxy Note 5 คือ Galaxy S6 เวอร์ชันเพิ่มปากกา แต่จิตวิญญาณของมันยังคงความเป็น Galaxy S6 แทบทุกประการ
Galaxy S6 เป็นมือถือที่ค่อนข้างสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว (ถ้าไม่รวมประเด็นขัดแย้งเรื่องถอดแบต-ใส่การ์ด) การเพิ่มปากกา S Pen ที่พัฒนาต่อเนื่องกันมาหลายปี ทำให้ภาพรวมของ Note 5 เป็นมือถือที่ดีมากๆ ตัวหนึ่ง และหาข้อติได้ยากมาก
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากระยะเวลาที่ทิ้งห่างจาก S6 เกือบครึ่งปี การเปลี่ยนแปลงที่ไม่เยอะเท่าไรนักของ Note 5 อาจดูน่าผิดหวังอยู่บ้าง โดยเฉพาะถ้านำไปเทียบกับรุ่นพี่ตระกูล Galaxy Note ที่มีความแตกต่างจาก Galaxy S ที่ออกในปีเดียวกันเสมอ
ในภาพรวมแล้ว พัฒนาการของ Note 5 เป็นการปรับปรุงในจุดเล็กจุดน้อยมากมาย ที่ช่วยให้ Note 5 สมบูรณ์ขึ้นกว่าทั้ง S6 (ในแง่สเปก-ดีไซน์-ความสามารถ) และ Note 4 (ในแง่ปากกา) และเป็นมือถือซัมซุงที่ดีที่สุดในปัจจุบันได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ในมุมกลับแล้ว Note 5 กลับขาดจุดขายที่โดดเด่น เปรียบดัง "หมัดน็อค" ปัจจัยชี้ขาดที่จูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหามาใช้งาน
สุดท้ายแล้ว กลุ่มลูกค้าของ Note 5 คงขึ้นกับว่าผู้ใช้คนนั้นต้องการอะไร
จุดเด่น
จุดด้อย
Comments
ผมเลือก Note 4 อย่างไม่ลังเล เพราะไลฟ์สไตล์ผม ต้องมี 2 พาทิชั่น คือเก็บไฟล์แยกไว้อีกไดรฟ์ อีกไดรฟ์ก็ลงแอปใช้งานไป หาก OS มีปัญหา ก็เหมือนกับ PC ที่ไดรฟ์ C: เจ๊ง อย่างน้อยๆ ไฟล์ในไดรฟ์ D: ก็ยังอยู่ครบ ไม่ต่างกับ micro SD ที่การ์ดที่เป็นอีกพาทิชั่น ตัว OS มีปัญหา ไฟล์ในการ์ดอย่างรูปถ่ายที่เราถ่ายมาทั้งหมดก็ยังอยู่ครบ แถมย้ายไปเครื่องอื่นก็ได้ นอกจากว่า Samsung จะทำให้สามารถแบ่งพาทิชันตัว Internal Storage เป็น 2 ไดรฟ์ได้ ผมถึงจะมอง
เรื่องแบตก็เหมือนกัน การที่ถอดไม่ได้ก็เป็นสัญญาณอันตราย เพราะเครื่อง Note II อายุ 2 ปีของผมนี้ มีปัญหาเรื่องแบตมา 2 ครั้งแล้ว คือแบตบวมและรวนหนักมาก การจ่ายไฟไม่นิ่ง แต่ยังดีที่มันถอดฝาหลังได้ ก็เลยถอดแบตมาพักเอาไว้ และไม่ใช้งาน Note II เลย แล้วก็ไปสั่งแบตศูนย์มาเปลี่ยนใส่เอง และล่าสุดหลังจากใช้ได้ 6 เดือน แบตศูนย์บวม แต่ยังไม่มีอาการรวนเหมือนก้อนแรก อยากลองของใหม่ก็เลยไปซ์้อ COMMY มาเปลี่ยนลองใช้ยาวๆ ดูซะเลย (อาการแบตบวมอาจจะสรุปได้ว่า เกินจากไว้ในกางเกงนั่นแหละ แล้วไปออกกำลังกาย ทำให้ความร้อนในตัวแผ่ออกมาที่กระเป๋ากางเกงด้วย ทำให้สะสมความร้อนนาน จนทำให้บวมเริ่มบวมในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ไม่เสมอไป บางก้อนอยู่ได้เป็นปีๆ เลยทั้งๆ ที่อยู่ในที่ร้อน)
แล้วก็เรื่องดีไซน์ปากกาของ Note 5 มันคือการเอาดีไซน์ของ Note II กลับมาใช้ชัดๆ เลย คือลักษณะจะเหมือกับหัวปากกาลูกลื่น ที่ตรงปลายปากกาจะค่อยๆ เหลาจนแหลม ซึ่งอันที่จริงผมก็คิดนะว่าปากกาของ Note II ดีไซน์ก็สวยดีอยู่แล้ว แต่ไหง Note 3 กับ Note 4 ถึงได้ออกแบบมาไม่เหมือนปากกาซะอย่างงั้น คือปลายปากกาทู่ๆกลมๆ แล้วมีไส้ปากกาโผล่ออกมาตรงปลาย มันดูไม่สวยเอาซะเลย
แล้วก็หน้า Launcher จะเอากรอบ Glass ออกไปทำไมก็ไม่รู้ เอกลักษณ์เดิมที่เวลาปัดแล้วมีกรอบ Glass และมีเอฟเฟ็กต์แบบพลิกหน้า 3D ก็ถูกตัดออกไปใน S6 หมด แถมการสร้างโฟลเดอร์ก็ไม่สะดวกเหมือนก่อน คือจะสร้างโฟลเดอร์เปล่าๆ แล้วแตะ + เพื่อเลือกไอคอนแอปก็ไม่ได้ ต้องลากให้ไอคอน 2 ตัวมาชนกันแล้วจึงจะมีโฟลเดอร์โผล่ขึ้นมาอีก ยุ่งยากในการใช้งานจริงๆ
ฯลฯ มีเรื่องให้พูดเยอะ แต่ผมพิมพ์บ่อนได้ไม่หมดอ่ะ
สร้างตามความคุ้นเคยของคนใช้ iOS ไงครับ อาจจะเป็น killer feature สำหรับคนที่ร่วมโครงการ "ถือ iPhone ได้ลอง Note5 ฟรี" ก็ได้
NOTE 3 ผมใช้ปีเดียวแบตก็ไปแล้ว เดินไปซื้อก้อนใหม่ที่ Samsung Customer Service เปลี่ยนชื้บ อึดขึ้นทันตาเห็น 555
ชอบสุดตรงที่แทบจะไม่มี Bloatware นี่แหละ
เป็นคนนึงที่รอ Note 5 พร้อมกำตังค์ไว้รออยู่แล้ว เพราะติดใจความเจ๋งของ S6 มาก ติดที่มันใส่ MicroSD ไม่ได้ คิดว่าตอน Note 5 ออกก็คงจะมีช่องใส่การ์ดในฐานะรุ่นโปร เลยตัดสินใจรอรุ่นนี้แหละ
สุดท้าย ได้ซื้อ Note 4 มาใช้ซะงั้น แถมประหยัดเงินไปได้อีกเยอะเลย คุ้มจริงๆ
อย่างน้อยผมคนนึงนี่แหละที่สะท้อนความต้องการของลูกค้าให้ซัมซุงได้เห็นผ่านการซื้อของ ถ้าคนคิดเหมือนกันเยอะๆ มาซื้อ Note 4 จนหมดตลาด ก็หวังว่าซัมซุงจะเก็บเอาไปคิดเหมือนกันเรื่องถอดแบตกับ MicroSD
ยิ่งผมเป็นคนซื้อมือถือมาใช้งาน เน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์ ไม่ได้มีมือถือไว้โชว์ ดังนั้นผมไม่ติดใจอยู่แล้วว่าจะเป็นรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า คือใช้ได้หมดถ้ามันตอบโจทย์ อีกอย่างยอมรับว่า Note 5 สวยจริง แต่ไม่มีความหมายสำหรับผม เพราะซื้อมาผมก็จับมาใส่เคส Otterbox หุ้มมิดทั้งเครื่องอยู่ดี
(ทุกครั้งที่ผมเจอมือถือรุ่นไหนสวยๆ วัสดุพรีเมียม แวววาวระยิบระยับ ผมจะคิดออกมาโดยอัตโนมัติว่า "ซื้อมาก็ใส่เคสป่ะ?")
ถ้า Note 5 คือมือถือที่ "ดีที่สุด" ของซัมซุง ผมก็ขอเสริมว่า Note 4 ก็คือมือถือที่ "สมบูรณ์แบบ" ที่สุดรุ่นนึงของซัมซุงครับ เท่าที่ใช่มาก็ไม่ผิดหวังเลย เป็นมือถือที่ดีมากตัวนึง ถ้าไม่ติดว่าต้องเป็นรุ่นใหม่เท่านั้น ผมว่าตัวนี้ก็ตอบโจทย์การใช้งานทุกอย่างแล้ว แม้แต่กล้องก็อยู่ในระดับแนวหน้า ไม่ได้ขี้เหร่เลย
ประเด็นอีกอันนึงที่ไม่ได้ใส่ลงในรีวิว แต่ผมไม่ค่อยชอบเป็นส่วนตัวคือ ช่องใส่ซิมแบบถาดครับ คือมันต้องพกอุปกรณ์ช่วยจิ้มต่างหาก เทียบกับช่องเสียบซิมแบบเปิดฝาหลัง ที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเลย
อย่างน้อยก็ยังดีกว่าแบบดึงออกมาแบบ Xperia นะครับ ดึงยากไม่พอใช้ๆไปเปื่อยอีก
ผมใช้ Xperia ไม่ได้รู้สึกว่ามันดึงยากขนาดนั้นนะ
คงแล้วแต่คนด้วย นิ้วเล็ก/ใหญ่ เล็บสั้น/ยาว
ปกติผมไม่ชอบเล็บยาวอยู่แล้ว (ตอนที่เทสก็เพิ่งตัดมาได้ 1 สัปดาห์ พอมีขาวๆ บ้าง แต่ยังสั้น)
เรื่องเปื่อย
ผมไม่ได้ถอดๆ ใส่ๆ ซิม/SD Card บ่อยขนาดนั้น
นานมากเปิดทีนึง แล้วมันก็แข็งแรงพอสมควร
ปรกติแล้วผมไม่ใส่เคสและติดฟิล์มแต่รอบนี้ต้องจำใจใส่เพราะกล้องมันนูน แต่ก็ไม่ติดฟิล์ม
Note5 สวยงามดูดีทั้งซอฟแวร์ และฮาร์ดแวร์ เรื่องใส่การ์ดไม่ได้ ถอดแบตไม่ ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นอุปสรรค์หรือเปล่า เพราะ หน่วยความจำที่ให้มา 32 และ 64 GB ก็ถือว่าเยอะมากแล้ว ส่วนเรื่องแบ็ตถ้าบวมขึ้นมาเราก็น่าเอาไปเปลี่ยนที่ศูนย์บริการได้ (ผมเองก็ยังไม่เคยใช้บริการศูนย์ Samsung เลย ใครเคยใช้บริการก็ช่วยมายื่นยันให้หน่อยนะครับ) บอกตรงๆนะครับ หลายคนก็รู้ว่า iPhone เพิ่มการ์ด ถอดแบตไม่ได้ก็ยังซื้อ แล้ว Samsung ละ อะไหลแท้เต็มบ้าน ศูนย์เต็มเมือง พนักงานเต็มร้าน มีปัญหาอะไรก็เอาเข้าศูนย์ได้ง่ายกว่ามือถือยี่ห้ออื่นๆนะครับ
ปล. ส่วนตัวใช่ iPhone และ Lumia ครับ แต่คนรอบตัวก็ใช้ Samsung อยู่มากนะครับ
ที่บ้านใช้ Note 3 3 เครื่องผ่านมา 2 ปีเปลี่ยน Batt ไปแล้ว 4 ก้อน บ้านผมใช้งานกันหนักจริง ๆ ครับ Batt มันเลยเสื่อมเร็ว หลายครั้งที่ใช้งานจน Batt เหลือ 0%
อันที่จริงแอบไปดูการเปลี่ยน Batt ของ S6 ใน iFixit มามันก็ไม่ได้ยากนะ สามารถแกะได้เองครับ แต่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ(จุกสุญญากาศหาดี ๆ หน่อย Homepro มีขาย) ถ้าซื้ออะไหล่มาก็น่าจะเปลี่ยนเองได้
แล้ว Samsung พร้อมแล้วหรอ?? กับการต้องดูแลเปลี่ยน Batt ให้ลูกค้าในอนาคต เพราะขนาดแค่ผมสั่ง Batt ที่ ศูนย์ฯ มาเปลี่ยนเองยังรอ 3 week กว่าจะได้ของ ด้วยรูปแบบบริการเดิม ๆ ถ้าเข้าศูนย์ฯ ต้องทิ้งเครืองไว้ เคยถามว่าสั่งอะไหล่แล้วเข้ามาเปลี่ยนมันก็ไม่ได้อีก(เปลี่ยนส่วนอื่น) :3
เรื่องแบตเสื่อมไวนี่จริงเลยครับ Samsung ของพี่สาวก็แบตเสื่อมเมื่อพ้นปีแรกพอดีเลย แม่นยังกับตั้งเวลาไว้ เขาก็ไปซื้อใหม่จากร้านเอามาใส่เอง แต่ถ้าแกะเปลี่ยนเองไม่ได้แบบนี้ คนต่างจังหวัดแบบผมลำบากแน่ๆ เพราะศูนย์ Samsung ที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปเกือบ 100กม.
ตอนนั้นผมไปเปลี่ยนแบตโน้ต 8.0 ผมไม่ต้องทิ้งเครื่องไว้นะครับ เอามาเช็คอาการ แล้วเอาเครื่องกลับบ้านระหว่างรออะไหล่ได้ พออะไหล่มาก็เอาไปเปลี่ยน ไปรอบละชั่วโมงที่ศูนย์สีลม
Did you notice? We waved goodbye to the IR blaster of the Note series
แม้ว่าเครื่องปลดล็อคอยู่ ?
เข้ามายืนยันคำเดิม ว่าเลิกซื้อซัมซุง ตั้งแต่หลอกกันเรื่อง Note 8 แล้วครับ
จบแล้วจบเลย เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือ...อะไร?
โน๊ต 8 ทำไมเหรอครับ ?
ผมโดนไป 2 ทีครับ
Note 2 กับ Note 8
ตอนซื้อ สัญญาว่าจะอัพเดทให้เป็น Android รุ่นใหม่ล่าสุด (ณ เวลานั้น)
พอเอาเข้าจริง รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ นั่งมอง ซัมซุง รุ่นใหม่ๆตาปริบๆ
สุดท้ายไม่ได้อัพเดท หรืออัพได้แต่ทำรอมออกมาแบบไม่ค่อยตั้งใจทำ ประมาณว่ากลับไปใช้รอมเก่าดีกว่า
เลยซึ้งเลยว่า เจ้านี้เค้าเน้นขาย ไม่เน้นดูแลลูกค้าเก่า
ปล. ผมซื้อซัมซุงตามนี้ (เอาที่จำได้คร่าวๆนะครับ)
- Galaxy S
- Galaxy S4
- Note 2
- Note 8
- Tab S 10
หลังจากเจ็บช้ำกันมาตลอดกับยี่ห้อนี้ ปัจจุบันที่บ้านไม่มีของยี่ห้อนี้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ประมาณว่าเพิ่งซื้อจอ 21:9 LG34" มา http://www.lg.com/th/computer-monitor/lg-34UC97
ทั้งๆที่ยอมรับว่าของ ซัมซุง ภาพสวยกว่า และปรับสูง-ต่ำได้ แต่พูดจริงๆว่า ไม่ซื้อเพราะแปะโลโก้ซัมซุงนี้แหล่ะ เจ็บช้ำน้ำใจมาเยอะ (แอร์ก็เสีย ทีวีก็เสีย - ช่วงนั้นที่บ้านซื้อซัมซุงทั้งบ้าน เพราะมันมีโปรโมชั่นซื้อครบแสนกว่าๆหรือไงนี้แหล่ะ แล้วได้ส่วนลด)
ผมไปลองมาแล้ว พบว่าปากกาวาดรูปแล้วเส้นนิ่งขึ้น การลงน้ำหนักและ feeling เวลาวาดดีกว่า note4
อยากทราบนิดนึงคือ การจับสัญญาณมือถือมันดีขึ้นมั้ยครับ
ผมเทียบ note4 ก็ LG G4 ในที่ทำงาน G4 สัญญาณเต็มตลอดเลยครับ ของ note4 ขึ้นๆ ลงๆ บางครั้งก็มีสัญญาณแต่ใช้ไม่ได้ ต้องกดเปิดปิด airplane mode
เรื่องดีไซน์ของฮาร์ดแวร์ผมมองว่าเป็น Trade Off นะครับ อยากได้ถอดแบตได้เปลี่ยนการ์ดได้ก็ต้องแลกกับความสวยและน้ำหนัก แต่สำหรับ Note 5 ที่ออกมานี่รู้สึกว่ายังไม่ค่อยคุ้มกับ Trade off ทั้งๆที่ตัดเรื่องฝาหลังไปแล้ว แต่ยังต้องลดขนาดแบต เบาลงเล็กลงแค่เล็กน้อย และสเป้คอื่นๆ ไม่ได้เหนือกว่า Galaxy S (ปกติต้องแรงกว่า) ทำให้ดูกร่อยๆ ไปนะครับ
เรื่องความแรงนี่ผมคิดว่ามันอาจเป็นสัญญาณว่า cycle ของสเปกมือถือมันเริ่มตัน (แบบจริงๆ จังๆ) ด้วยครับ คือได้แรงกว่านี้ไปก็เริ่มไม่มีประโยชน์แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะ Qualcomm แป๊กเองด้วย ปีนี้เลยไม่มีใครไปกดดันซัมซุง
ยังอยากให้เร็วกว่านี้อีกนะครับ :P คนเดียวที่จะกดดันได้คงเป็น iPhone 6s ละครับ
ชอบรีวิวชิ้นนี้ของ MK และเห็นด้วยกับทุกๆ ประเด็นในนี้ครับ จุดแตกต่างจากรุ่นก่อนๆ มีไม่เยอะนัก คนที่ใช้ Note 4 ถ้ามาใช้ Note 5 คงไม่เห็นความต่างมากนัก เพราะ Note 4 ทำได้ค่อนข้างดี ผมก็เชียร์หลายคนลองซื้อ Note 4 ในราคาที่ดีหน่อยตอนนี้นะครับ
แต่! ถ้าต้องการมือถือใหม่ล่าสุดที่ดีที่สุดในตลาดเวลานี้ Note 5 น่าจะตอบโจทย์ ถ้าไม่ชอบปากกาก็ไป S6, S6 edge, S6 edge+ สิ มีให้เลือกทุกขนาด :)
พึ่งตัดสินใจถอย iPhone 6plus note 5 สวยแต่ไปจับๆแล้วไม่ชอบ เบาแปลกๆ 555
เดี๋ยวๆๆ
ไอ้ "ขอบชีส" นี่มันอารายยย
โล่งใจ คิดว่าจะไม่มีคนทักซะแล้ว
Samsung Note ดูเป็นตัวเดียวที่หน้าสนใจเพราะเจ้าอื่นไม่มีปากกากัน
ส่วน S มองว่าก็งั้นๆๆ sony มี HTC มี พวกนี้ดูน่าใช้กว่า samsung อยู่แล้ว