ไม่นานมานี้ Starbucks ตั้ง Brian Niccol เป็นซีอีโอคนใหม่ บริษัทให้เขาทำงานจากแคลิฟอร์เนียได้ และไม่บังคับให้เขาย้ายมาอยู่ในซีแอทเทิลซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ โดยยังอนุญาตให้ใช้เครื่องบินส่วนตัวของบริษัทเพื่อเดินทางอีกด้วย
Victoria Secret ก็ทำคล้าย ๆ กัน โดยให้ซีอีโอคนใหม่ที่เพิ่งแต่งตั้งทำงานจากนิวยอร์กแม้สำนักงานใหญ่จะอยู่ในโอไฮโอก็ตาม
แม้คนระดับซีอีโอจะทำงานได้อิสระขึ้น แต่ Starbucks ก็เจอกระแสลบเพราะเมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทสั่งให้พนักงานนั่งโต๊ะกลับมาเข้าออฟฟิศอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
Samsung เปิดสำนักงาน co-working space ในเกาหลีใต้ 6 แห่ง กระจายหลายเมืองทั่วเกาหลีใต้ และปรับเปลี่ยนนโยบายการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น อนุญาตให้พนักงานทำงานจากข้างนอกได้
พื้นที่ทำงานเปิดใหม่นี้มี 4 แห่งตั้งอยู่ในอาคารสำนักงานของ Samsung ในเมือง Suwon, Gumi, Gwangju และ Seoul และมีอีก 2 แห่งใน Seoul และ Daehu ที่ตั้งอยู่นอกสำนักงานเดิม โดย Samsung เรียกพื้นที่ทำงานที่เปิดใหม่เหล่านี้ว่า "D'light"
Elon Musk อีเมลหาผู้บริหาร Tesla ว่าทุกคนต้องเข้าออฟฟิศอย่างน้อยสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง และหากจำเป็นต้องทำงานนอกสำนักงานต้องขออนุญาตจากเขาเองโดยตรงเป็นรายกรณีไปเท่านั้น นอกจากการบังคับเข้าออฟฟิศแล้ว คำสั่งยังระบุว่าต้องเข้าออฟฟิศที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงาน ไม่ใช่ไปนั่งสาขาอื่นตามสะดวกอีกด้วย
ท่าทีเช่นนี้นับว่าต่างจากบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่พยายามให้ทางเลือกพนักงานทำงานจากที่บ้านได้มากขึ้น โดยเฉพาะทวิตเตอร์ที่ Musk กำลังเข้าซื้อนั้นประกาศแนวทางไม่ต้องกลับมาทำงานในสำนักงานตลอดไป ตั้งแต่ปี 2020 Musk เองก็ยอมรับว่าบริษัทอื่นๆ ให้อิสระมากกว่า แต่เขาก็ตั้งคำถามว่าบริษัทเหล่านั้นออกสินค้าเจ๋งๆ เหมือน Tesla ได้หรือไม่
ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงการทำงานครั้งยิ่งใหญ่ แนวโน้มหลายองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงการทำงาน มีแนวโน้มให้พนักงานทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working) มากขึ้นเรื่อยๆ สู่การทำงานได้จากทุกที่หรือ Work from Anywhere ซึ่งเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งระบบไอทีควรมีความพร้อมสนับสนุนองค์กรใน
การขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างราบรื่น เพื่อให้องค์กรสามารถใช้งาน Cloud และขับเคลื่อนธุรกิจองค์กรในการทำดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชันได้อย่างสมบูรณ์ ระบบเครือข่ายและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยจึงสำคัญ