Edi Rama นายกรัฐมนตรีของแอลเบเนียบอกว่าหลังการหารือกับกลุ่มผู้ปกครองและครูทั่วประเทศ รัฐบาลจึงออกคำสั่งแบนแอป TikTok ไม่สามารถใช้งานได้ในประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มมีผลตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า โดยคำสั่งนี้มีผลกับผู้ใช้งานทุกคนในประเทศแอลเบเนีย
การหารือจนนำมาสู่คำสั่งดังกล่าวเริ่มต้นจากเหตุการณ์ นักเรียนอายุ 14 ปี ถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียนแทงจนเสียชีวิตเมื่อเดือนพฤศจิกายน ซึ่งนายกรัฐมนตรี Rama กล่าวโทษว่า TikTok มีส่วนในการส่งเสริมความรุนแรงของเด็กเยาวชนในโรงเรียน นอกจากนี้ Rama ยังบอกว่าทางการจะดูผลลัพธ์หลังการแบนแอปเป็นเวลา 1 ปี ว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งประเทศต่าง ๆ มีมุมมองอย่างไรต่อคำสั่งนี้
ตัวแทนของ TikTok ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นในคำสั่งนี้
ศาลสูงสุดสหรัฐตกลงรับคำอุทธรณ์ของ TikTok เพื่อพิจารณาว่ากฎหมายแบนแอปในสหรัฐอเมริกา ละเมิดรัฐธรรมนูญเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกหรือไม่ ตามที่ TikTok ประกาศว่าจะยื่นต่อศาลสูงสุด หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเห็นด้วยกับกฎหมายนี้
กฎหมายแบนแอป TikTok จะมีผลในวันที่ 19 มกราคมปีหน้า โดยศาลสูงสุดสหรัฐได้นัดพิจารณาคดีในวันที่ 10 มกราคม จึงเป็นการไต่สวนก่อนที่กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งคำร้องเรียนนี้มาจากทั้ง TikTok และกลุ่มผู้ใช้งาน TikTok ในอเมริกา
รายงานจาก Coefficient Capital ร่วมกับ The New Consumer เผยว่า ล่าสุด ยอดใช้จ่ายรายเดือนบน TikTok Shop เติบโตแซงหน้า Shein และ Sephora แล้วในสหรัฐอเมริกา โดยโตมากถึง 156% จากปีก่อนหน้า
ตั้งแต่เปิดตัวในเดือนกันยายน ปี 2023 TikTok Shop ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว สะท้อนจากรายงานที่พบว่า 80% ของชาวอเมริกันใช้ TikTok Shop อย่างน้อยเดือนละครั้ง
ความคืบหน้าของคำสั่งแบนแอป TikTok ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีผลในวันที่ 19 มกราคม หลังจากที่ศาลอุทธรณ์สหรัฐปฏิเสธคำขอคุ้มครองฉุกเฉินของ TikTok ทำให้ TikTok ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีการัฐบาลกลางสหรัฐแล้ว เพื่อต่อสู้คดีนี้ในศาลสูงสุด รวมทั้งขอให้คุ้มครองฉุกเฉินเพื่อเลื่อนการบังคับใช้คำสั่งนี้ออกไปด้วย
มีรายงานว่าในวันเดียวกับที่ TikTok ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา Shou Zi Chew ซีอีโอ TikTok ก็เข้าพบว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ Donald Trump ที่บ้านพักตากอากาศ Mar-a-Lago ด้วย
ความคืบหน้าล่าสุดของคำสั่งแบน TikTok ในสหรัฐอเมริกา หลังจาก TikTok ยื่นคำร้องต่อศาลสหรัฐเพื่อขอให้ออกคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน เพื่อไม่ให้แอปถูกแบนตามกำหนดเวลา 19 มกราคม ปีหน้า ซึ่งอาจไม่ทันการพิจารณาคดีของฎีกา ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาดนั่นคือศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางปฏิเสธคำขอนี้
ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางลงมติเป็นเอกฉันท์ปฏิเสธคำขอนี้ โดยให้เหตุผลว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องให้การคุ้มครองฉุกเฉิน ทำให้ TikTok ต้องเดินหน้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ซึ่งอาจใช้เวลาพิจารณาคดีอีกระยะหนึ่ง และไม่ทันวันที่ 19 มกราคมนี้ ทำให้แอปถูกแบนก่อน
TikTok สำนักงานแคนาดายื่นคำร้องต่อศาลรัฐบาลกลาง เพื่อขอให้ออกคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ตามที่รัฐบาลแคนาดาออกคำสั่งปิดสำนักงานในประเทศเมื่อเดือนที่แล้ว
TikTok บอกว่าคำสั่งนี้สร้างผลกระทบต่อพนักงานและชุมชนที่เกี่ยวข้องจำนวนหลายร้อยคน ซึ่งพวกเขามีหน้าสนับสนุนชุมชนผู้ใช้งาน TikTok ในแคนาดาที่มีมากกว่า 14 ล้านคน โดยเชื่อว่ารัฐบาลแคนาดาสามารถหาทางออกในประเด็นที่กังวลได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อพนักงานในประเทศ
TikTok ยื่นคำร้องต่อศาลสหรัฐเพื่อขอให้ออกคำสั่งฉุกเฉิน ไม่ให้แอปถูกแบนในสหรัฐอเมริกาที่จะมีผลบังคับใช้เดือนหน้า ซึ่งคำร้องนี้ออกมาหลังจากศาลอุทธรณ์รับรองคำสั่งแบนนี้ ทำให้ TikTok ต้องอุทธรณ์ต่อที่ศาลฎีกาสูงสุด แต่การพิจารณาอาจไม่ทันกำหนดเวลาในวันที่ 19 มกราคมนี้
TikTok บอกว่าแพลตฟอร์มมีผู้ใช้งานชาวอเมริกามากกว่า 170 ล้านคน และประเมินผลกระทบจากการสั่งแบน ว่าธุรกิจขนาดเล็กที่ทำการตลาดบนแพลตฟอร์ม จะมีผลกระทบรายได้ถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ส่วนครีเอเตอร์สูญเสียรายได้ภายในเดือนเดียวถึง 300 ล้านดอลลาร์ โดยอ้างอิงจากตัวเลขรายได้โฆษณาบนแพลตฟอร์ม
ศาลอุทธรณ์แห่งรัฐบาลกลางสหรัฐออกคำสั่งรับรอง ว่าการสั่งแบน TikTok โดยรัฐสภาฯ นั้นชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ขัดกับหลักรัฐธรรมนูญตามที่ TikTok ฟ้องกลับ ทำให้กำหนดเวลาที่ TikTok ต้องขายกิจการในอเมริกา ยังคงเป็น 19 มกราคม 2025 เหมือนเดิม มิฉะนั้นแพลตฟอร์มจะถูกแบนในประเทศสหรัฐอเมริกา
ผู้พิพากษา Douglas Ginsburg อธิบายว่ารัฐธรรมนูญนั้นปกป้องสิทธีเสรีภาพการแสดงในสหรัฐอเมริกา คำสั่งของรัฐบาลสหรัฐที่ออกมานั้น ก็เพื่อปกป้องเสรีภาพจากการรุกรานของต่างชาติ และเพื่อจำกัดการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนในประเทศ
บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ออกแถลงการณ์หลังจากรัฐบาลออสเตรเลียอนุมัติกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้งานโซเชียลมีเดียในทุกกรณี ซึ่งเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายนี้ และอาจเป็นต้นแบบให้ประเทศอื่นศึกษาดูแนวทางตาม
Meta บริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram บอกว่าบริษัทเคารพและพร้อมปฏิบัติตามกฎหมายของออสเตรเลีย แต่แสดงความกังวลว่ากฎหมายนี้ถูกเร่งรัดออกมา โดยยังไม่มีข้อมูลหลักฐานสนับสนุนชัดเจน ขณะที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างพัฒนาระบบแสดงเนื้อหา ให้เหมาะสมกับอายุผู้ใช้งาน รวมทั้งมีระบบให้ผู้ปกครองติดตามอยู่แล้ว
รัฐสภาของออสเตรเลียลงมติรับรองกฎหมายจำกัดการใช้งานโซเชียลมีเดียของเยาวชนแล้ว ตามที่มีข้อเสนอออกมาก่อนหน้านี้ โดยมีผลให้เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ไม่สามารถใช้งานโซเชียลมีเดียได้ทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็น TikTok, Instagram, Snapchat หรือ Facebook
กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เพื่อให้โซเชียลมีเดียปรับปรุงระบบตรวจสอบอายุผู้ใช้งาน กำหนดบทลงโทษสำหรับฝั่งผู้ให้บริการ เป็นเงินค่าปรับสูงสุด 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 1,100 ล้านบาท) หากไม่สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนในการตรวจสอบอายุผู้ใช้งานได้ แต่ไม่มีบทลงโทษสำหรับเยาวชนกับผู้ปกครอง
TikTok เตรียมเพิ่มข้อจำกัดสำหรับผู้ใช้งานที่เป็นเยาวชนเพิ่มเติม หลังจากหน่วยงานกำกับดูแลในหลายประเทศแสดงความกังวลในหลายด้าน
การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือ TikTok จะห้ามผู้ใช้งานที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ใช้งานฟิลเตอร์ที่เป็นการเสริมความงาม เช่น ปรับสีผิว ทำให้ผิวเรียบเนียน ปรับขนาดริมฝีปาก หรือขยายขนาดดวงตา เป็นต้น ซึ่งเป็นประเด็นในกลุ่มเยาวชนที่ทำให้เกิดแรงกดดันกังวลใจเรื่องภาพลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม และอาจเจอปัญหาเมื่อพบว่าฟิลเตอร์ที่ระบุว่าเพิ่มความสวยงาม ได้ไปแก้ไขใบหน้าของพวกเขาไปมากเหมือนบอกว่าใบหน้าแท้จริงไม่สวยงาม
การจำกัดการเข้าถึงฟิลเตอร์สำหรับเยาวชนนี้ ไม่รวมฟิลเตอร์แนวการ์ตูน เช่น การเติมหูกระต่าย หรือฟิลเตอร์แนวแฟนซี
TikTok ประกาศเพิ่มเครื่องมือใหม่สำหรับผู้ลงโฆษณา Symphony Creative Studio สามารถสร้างภาพและวิดีโอจาก AI โดยรองรับการผสมข้อมูลทั้งรายละเอียดสินค้า ภาพสินค้า อวาตารในสต็อก ออกมาเป็นรูปแบบโฆษณาที่ต้องการในหลากหลายเวอร์ชัน รวมทั้งแปลงเนื้อหาเป็นเสียงพูดภาษาต่าง ๆ เบื้องต้นรองรับมากกว่า 30 ภาษา
TikTok ยังประกาศความร่วมมือกับ Getty Images เพื่อให้บริการรูปภาพและวิดีโอในสต็อกของ Getty มาใช้กับวิดีโอที่สร้างบน Symphony Creative Studio เพื่อรองรับความคิดสร้างสรรค์ด้วย ซึ่งทั้งหมดมีไลเซนส์รองรับสำหรับการใช้งานพาณิชย์
นอกจากนี้ TikTok บอกว่าจะเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อีกในอนาคตเช่น แก้ไขคลิปวิดีโอเดิมให้ทันสมัยเป็นปัจจุบัน หรือเครื่องมือสร้างบทพูดในวิดีโอให้เป็นวิธีเล่าสไตล์ TikTok เป็นต้น
Washington Post รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวจากคนใกล้ชิดกับ Donald Trump ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่าเขาเตรียมยกเลิกคำสั่งแบน TikTok ในอเมริกา ที่จะมีผลในปีหน้า เนื่องจากเป็นหนึ่งในนโยบายที่หาเสียงเอาไว้
เมื่อต้นปีประธานาธิบดี Joe Biden ได้ลงนามรับรองกฎหมายแบน TikTok ในสหรัฐ ซึ่งเป็นไปตามที่สภาผู้แทนฯ และวุฒิสภาฯ รับรองกฎหมายและเสนอขึ้นมา ซึ่ง TikTok มีเวลาถึงวันที่ 19 มกราคม 2025 ในการขายกิจการออกมา หรืออาจได้เวลาเพิ่มเติมถึงเดือนเมษายนหากมีการลงนามขยายเวลา จึงคาดว่า Trump จะสามารถออกคำสั่งยกเลิกได้ก่อนถึงกำหนดดังกล่าว
TikTok ประกาศเพิ่มปุ่ม "Share to TikTok" ให้แพลตฟอร์มฟังเพลงสตรีมมิ่ง เพื่อให้ผู้ใช้งาน Apple Music และ Spotify สามารถแชร์เพลงมาลง TikTok ได้ทันที เหมือนกับการแชร์ไปยังแพลตฟอร์มอื่นเช่น Instagram ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้
ปุ่ม Share to TikTok จะแสดงผลในปุ่มแชร์ของหน้าเพลงนั้น ๆ ที่ผู้ใช้งานเปิดอยู่ โดยสามารถเลือกโพสต์ลง TikTok ได้ทั้งแบบโพสต์ลงหน้าฟีด หรือโพสต์เป็นสตอรี เลือกแชร์ได้ทั้งหน้าปกอัลบั้ม, ปกเพลงนั้น หรือเป็นเพลย์ลิสต์ นอกจากนี้ยังรองรับการส่งเป็น DM หาเพื่อนใน TikTok ได้ด้วย
รัฐมนตรีกระทรวงนวัตกรรม, วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรมของแคนาดา ประกาศว่ารัฐบาลแคนาดาออกคำสั่งให้บริษัท TikTok Technology Canada หรือเป็นสำนักงานของ TikTok ในแคนาดา ยุติการดำเนินธุรกิจในประเทศ หลังจากรัฐบาลได้ประเมินในหลายขั้นตอน มีข้อสรุปว่าธุรกิจของ TikTok เป็นภัยต่อความมั่นคงของแคนาดา ซึ่งรัฐบาลอ้างว่ามีหลักฐานและข้อมูลสนับสนุน
อย่างไรก็ตามคำสั่งนี้เป็นการสั่งห้าม TikTok ดำเนินธุรกิจเปิดสำนักงานในประเทศเท่านั้น ไม่ใช่คำสั่งบล็อกการเข้าถึงแอป TikTok ในแคนาดา คนแคนาดาจึงยังสามารถใช้งาน TikTok ได้ตามปกติ ซึ่งรัฐบาลก็แนะนำให้ผู้ใช้งานดูแลความปลอดภัยของบัญชี และจัดการข้อมูลส่วนตัวในการใช้งาน ตามแนวทางใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียล
ข้อมูลการจัดอันดับมหาเศรษฐีของจีนโดย Hurun Research Institute รายงานว่า Zhang Yiming ผู้ก่อตั้ง ByteDance เป็นคนที่รวยที่สุดของจีนประจำปีนี้ มีมูลค่าความมั่งคั่ง 4.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 43% จากปี 2023
Zhang Yiming ก่อตั้ง ByteDance ในปี 2012 โดยมีแอปแชร์วิดีโอที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกคือ TikTok หรือ Douyin ในประเทศจีน เขาประกาศลาออกจากตำแหน่งซีอีโอในปี 2021 และถือหุ้นของ ByteDance ประมาณ 20% ซึ่งบริษัทยังมีสถานะเป็นสตาร์ทอัป ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า TikTok ได้ประกาศปลดพนักงานทั่วโลก โดยมีข้อมูลว่าสาขาที่มาเลเซีย ได้ปลดพนักงานจำนวนมากกว่า 700 ตำแหน่ง แต่ TikTok ยืนยันว่าจำนวนที่ได้รับผลกระทบมีน้อยกว่า 500 ตำแหน่ง
TikTok บอกว่าการปลดพนักงานรอบนี้จะเกิดขึ้นกับสาขาทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นฝ่ายดูแลตรวจสอบเนื้อหา ซึ่ง TikTok มีแผนใช้ AI มาทำหน้าที่นี้แทนมากขึ้น
ปัจจุบัน ByteDance ที่เป็นบริษัทแม่ของ TikTok มีพนักงานรวมมากกว่า 110,000 ตำแหน่ง ใน 200 เมืองทั่วโลก
ที่มา: Reuters
คณะอัยการจาก 13 รัฐในอเมริกา ยื่นฟ้อง TikTok โดยให้เหตุผลว่าแพลตฟอร์มมีฟีเจอร์ที่ทำให้ผู้ใช้งานเด็กเสพติด แม้แพลตฟอร์มจะยืนยันว่ามีการควบคุมจัดการส่วนนี้
บัญชี TikTok Policy ชี้แจงข้อกล่าวหานี้ โดยยืนยันว่าแพลตฟอร์มมีการปรับปรุงเพื่อปกป้องผู้ใช้งานเด็กอยู่ตลอด มีการลบบัญชีผู้ใช้งานที่ไม่เหมาะสม มีฟีเจอร์จำกัดเวลาใช้งาน มีฟีเจอร์ให้ครอบครัวจับคู่บัญชีเพื่อจัดการบัญชีเด็ก ที่ผ่านมาบริษัททำงานร่วมกับคณะอัยการมาตลอดสองปี การยื่นฟ้องจึงเป็นเรื่องที่น่าผิดหวัง
ในคำสั่งฟ้องของคณะอัยการนั้น ยังพูดถึงระบบเงินใน TikTok ที่ใช้ให้เป็นของขวัญในไลฟ์ ว่าเป็นช่องทางหนึ่งในการโอนเงินที่อาจผิดกฎหมายด้วย
TikTok เปิดตัวโซลูชันสำหรับบริการจัดการโฆษณาแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ลงโฆษณาสามารถสร้าง จัดการ และวัดผลแคมเปญได้ง่ายยิ่งขึ้น
โซลูชันแรกสำหรับการสร้างโฆษณาแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายอัตโนมัติ Smart+ โดยผู้ลงโฆษณากำหนดกลุ่มคนดู งบประมาณ และเป้าหมาย จากนั้น Smart+ จะสร้างโฆษณา แคมเปญ กำหนดแผนให้ โดยผู้ลงโฆษณาสามารถติดตามดูผลลัพธ์ได้ รองรับทั้งการทำโฆษณาเว็บไซต์ แอป สินค้า จนถึงการสร้างกลุ่มลูกค้า (Lead Generation)
เครื่องมืออีกตัวที่ GMV Max สำหรับสร้างแคมเปญของ TikTok Shop บนเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายสินค้า (GMV) ลดเวลาในการตั้งค่าแคมเปญ พร้อมกำหนดการแสดงผลในจุดต่าง ๆ ของแอป
คณะกรรมาธิการยุโรปส่งคำสั่งตามกฎหมาย Digital Services Act (DSA) ขอให้แพลตฟอร์มวิดีโอรายใหญ่ ได้แก่ YouTube, Snapchat, และ TikTok ส่งข้อมูลพารามิเตอร์ต่างๆ ในการแนะนำเนื้อหาให้กับผู้ใช้ เพื่อตรวจสอบว่ามีการป้องกันความเสี่ยงในประเด็นต่างๆ เช่น การโน้มน้าวผลการเลือกตั้ง, การทำให้แพลตฟอร์มเสพติด, หรือการป้องกันความเสี่ยงกับผู้เยาว์ว่าเพียงพอหรือไม่
ByteDance ประกาศว่าบริการฟังเพลงสตรีมมิ่ง TikTok Music จะปิดให้บริการในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2024 นี้ โดยลูกค้าที่สมัครใช้งานไว้จะถูกยกเลิกอัตโนมัติ และบัญชีจะถูกลบทั้งหมดหลังจากวันดังกล่าว สามารถโอนย้ายเพลย์ลิสต์ที่มีออกมาได้ภายในวันที่ 28 ตุลาคม
ผู้บริหารของ TikTok ชี้แจงเหตุผลของการปิดตัวแอปแยกสำหรับฟังเพลงนี้ ว่าเพื่อโฟกัสการพัฒนาประสบการณ์ฟังเพลงที่แอปหลัก TikTok ซึ่งยังคงบทบาทสำคัญต่อการอุตสาหกรรมเพลงในทุกส่วน
Pew Research พบว่าชาวอเมริกันสนับสนุนการแบน TikTok น้อยลงกว่าเมื่อ 18 เดือนที่แล้ว โดยเหลือเพียง 32% ลดลงจาก 38% ในช่วงปลายปี 2023 และ 50% (สอดคล้องกับตัวเลขของ Ipsos) ในเดือนมีนาคม 2023 โดยคนครึ่งหนึ่งคิดว่าการแบนไม่น่าจะเกิดขึ้น
มุมมองต่อ TikTok แบ่งไปตามพรรคการเมืองที่ผู้เข้าร่วมการสำรวจสนับสนุน โดยคนที่เชียร์รีพับลิกันมองว่า TikTok เป็นภัยต่อความมั่นคงและสนับสนุนการแบนเป็นสองเท่าของคนที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต
การแบ่งขั้วแยกข้างในสหรัฐฯ นับวันก็ยิ่งร้าวลึก ไม่ใช่แค่มีเรื่องให้เห็นต่างกันมากขึ้นระหว่างเดโมแครตและรีพับบลิกัน แต่ดีกรีความเห็นต่างในแต่ละเรื่องก็ทวีความเข้มข้น แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ 2 ขั้วเห็นพ้องต้องกัน นั่นคือประเด็นเรื่องจีน
ถ้าใครได้ตามข่าวต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ น่าจะผ่านตากันมาบ้างกับประเด็นที่สหรัฐฯ พยายามบีบให้ TikTok แยกกิจการจาก ByteDance (บริษัทแม่ในจีน) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเกิน 80% เห็นด้วยในเรื่องนี้ แม้สองพรรคใหญ่จะแบ่งเก้าอี้กันครึ่งต่อครึ่งในสภาทั้งสอง ย้ำชัดถึงความกลมเกลียวกับในเรื่องจีน
ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok รายงานกรณีทุจริตในองค์กรกว่า 125 กรณี ในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 ไล่พนักงานออกไปแล้ว 88 คน ส่วนอีก 17 คนโดนเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว
การกระทำผิดมีตั้งแต่การรับสินบนจากคู่ค้าและอินฟลูเอนเซอร์ หรือกระทั่งการยักยอกทรัพย์สินบริษัท โดย ByteDance ประกาศชัดว่า บริษัทยึดมั่นในการต่อต้านคอร์รัปชันและการติดสินบน
South China Morning Post มองว่าท่าทีดังกล่าวสะท้อนว่า ByteDance จริงจังกับการรักษาและดึงดูดคนทำงานระดับหัวกะทิ สอดคล้องกับที่บริษัทประกาศขึ้นโบนัสเมื่อต้นปีให้กับพนักงานที่ทำผลงานได้ดี แม้บริษัทยังต้องเผชิญวิกฤติกับสหรัฐฯ อยู่ก็ตาม
TikTok ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่สำหรับระบบส่งข้อความหากันระหว่างผู้ใช้งานหรือ Direct Messages (DM) ที่ช่วยในการแชร์คอนเทนต์ที่น่าสนใจ ซึ่ง TikTok บอกว่าฟีเจอร์เหล่านี้มีผู้ใช้งานร้องขอกันมาเป็นจำนวนมาก
ที่มา: TikTok