MtGox อดีตศูนย์แลกเปลี่ยนเงินคริปโตอันดับหนึ่งของโลกแต่ต้องปิดตัวลงไปอย่างกระทันหันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 เนื่องจากถูกแฮกเงินคริปโตออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ผู้จัดการทรัพย์สินของ MtGox ก็ออกมาประกาศว่าพร้อมคืนเงินที่เหลืออยู่ให้กับลูกค้าของ MtGox แล้ว
ผลจากการรวบรวมเงินคริปโตที่เหลืออยู่ใน MtGox รวมเกือบ 200,000 BTC ซึ่งก็รวมถึงเงินคริปโตอื่นๆ ที่แตกสายออกมาจาก Bitcoin เช่น Bitcoin Cash และเคยขายออกมาบางส่วนเมื่อปี 2018 เทียบกับช่วงสูงสุดที่เคยมี Bitcoin หมุนเวียนในตลาดเกือบล้าน BTC
หลังจาก MtGox ล้มละลายไปตั้งแต่ปี 2014 ตอนนี้ทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทก็อยู่ในความควบคุมของผู้จัดการทรัพย์สินบริษัท รายงานการจัดการทรัพย์สินรอบล่าสุดระบุว่าได้ขาย Bitcoin และ Bitcoin Cash ออกไปบางส่วน ได้เงินรวมประมาณ 43,000 ล้านเยน หรือประมาณ 12,500 ล้านบาท
เงินที่ขายไปได้แก่ 35,841.00701BTC และ 34,008.00701BCC ตอนนี้กองทุนยังเหลือเงินคริปโตอยู่ 166,344.35827254BTC และ 168,177.35927254BCC
กระบวนการขายเงินคริปโตเหล่านี้แบ่งออกเป็นหลายครั้ง ในช่วงธันวาคม 2017 ถึงกุมภาพันธ์ 2018
ที่มา - TrustNodes
WizSec บริษัทที่เป็นผู้เข้าสอบสวนคดี MtGox อดีตบริษัทแลกเปลี่ยนเงินบิตคอยน์อันดับหนึ่งที่ล้มละลายไปตั้งแต่ปี 2014 และเคยเปิดเผยรายงานเบื้องต้น ออกมาเปิดเผยรายงานอย่างละเอียดขึ้น หลังจากตำรวจกรีซจับกุม Alexander Vinnik ชาวรัสเซียได้ โดย WizSec ระบุว่า Vinnik คือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในคดี MtGox และหลังจากจับกุมเขาได้แล้วจึงถึงเวลาเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น
Mark Karpeles อดีตซีอีโอของ MtGox ถูกตำรวจญี่ปุ่นตั้งข้อหาฉ้อโกง (embezzlement) อย่างเป็นทางการ หลังถูกจับกุมในเดือนที่แล้ว ตามกฎหมายญี่ปุ่นอนุญาตให้ตำรวจควบคุมตัวได้ 6 สัปดาห์ก่อนตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการ
MtGox เคยเป็นบริการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเงินกลับค่อยๆ สูญหายไปจากระบบจนกระทั่งไม่มีเงินจ่ายให้กับผู้ฝากและต้องยื่นล้มละลายในปีที่แล้ว มีผู้เสียหายนับแสนคน
MtGox บริษัทรับแลกเงิน Bitcoin ที่ระบุว่าระบบของบริษัทถูกแฮกและล้มละลายไป บริษัทก็ถูกสอบสวนและตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็พบความผิดปกติในบัญชี โดยพบ Bitcoin ที่ไม่มีอยู่จริงถูกเติมเข้ามาในระบบมูลค่าหนึ่งล้านดอลลาร์
Mark Karpeles ถูกจับหลังเจ้าหน้าที่ตั้งข้อสงสัยนี้ เขายอมรับว่ามีการเพิ่มเงินลงไปในฐานข้อมูลจริง แต่ทำเพื่อการทดสอบระบบเท่านั้น และมูลค่าที่เพิ่มเข้าไปก็อยู่ในระดับแสนเยน
นอกจากเงินที่เพิ่มเข้ามาในฐานข้อมูลแล้ว เจ้าหน้าที่ยังตั้งข้อสงสัยว่ามีการโอนเงินที่ลูกค้าฝากไปเข้าบัญชีส่วนตัว หรือบัญชีของบริษัทอื่นๆ มูลค่า 8.9 ล้านดอลลาร์
นับตั้งแต่ MtGox ล้มละลายไปก็ดูเหมือนจะมีแต่ข่าวแย่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายงานล่าสุดที่ชี้ว่า Bitcoin ในระบบของ MtGox นั้นเริ่มหายไปตั้งแต่กลางปี 2011 ล่าสุดมีข่าวดีสำหรับเหยื่อที่สูญเงินไปจากเหตุการณ์ครั้งนี้บ้างแล้ว
ข่าวดีที่ว่าคือทาง MtGox เริ่มเปิดให้ผู้ใช้สามารถลงทะเบียนเข้าไปที่ claims.mtgox.comเพื่อกรอกข้อมูลยืนยันตัวตน ก่อนจะโอนไปยังระบบแลกเปลี่ยน Bitcoin สัญชาติเกาหลีใต้ Kraken สำหรับถอนเงิน ซึ่งจะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ 483 เหรียญต่อ 1 BTC โดยจะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 6 ต่อปี
MtGox ที่ล้มละลายไป ตอนนี้ทางเจ้าหนี้ก็เข้ามาตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัท โดยทีมงาน WizSec จากญี่ปุ่นเข้ามาตรวจสอบบัญชีและพบว่าเงินหายไปจากบัญชี MtGox อย่างต่อเนื่องมานานนับปี
คดี Silk Road ที่ FBI จับ Ross Ulbricht เริ่มเข้าสู่ชั้นศาลตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานหลักฐาน (cross-examination) ข้อมูลที่ออกมากลับกลายเป็นว่าผู้ต้องสงสัยคนแรกของทางการสหรัฐฯ ว่าน่าจะเป็น Dead Pirate Roberts (DPR) คือ Mark Karpeles ซีอีโอของ MtGox ที่ล้มละลายไป
ทาง Department of Homeland Security (DHS) เคยขอหมายศาลเพื่อค้นอีเมลของ Karpeles สาเหตุที่สงสัยเพราะ Karpeles มีบิตคอยน์อยู่จำนวนมาก หากบิตคอยน์ได้รับความนิยมสูง (เพราะจะใช้จ่ายสินค้าผิดกฎหมาย) มูลค่าของมันก็จะสูงขึ้นอย่างมาก ตัว Karpeles เองเป็นเจ้าของโดเมน silkroadmarket.org อีกด้วย
สำนักข่าว Yomiuri Shimbun อ้างแหล่งข่าวไม่เปิดเผยตัวตนในกรมตำรวจโตเกียว ระบุว่าเงินบิทคอยน์ที่หายไปจาก MtGox ผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนที่เคยเป็นรายใหญ่ที่สุดในโลกแต่ยื่นล้มละลายไปเมื่อปีที่แล้ว เป็นการโอนออกโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนมาก
ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่าเงินทั้งหมดที่หายไปจาก MtGox เป็นการใช้ช่องโหว่ transaction malleability ที่ทำให้ลูกค้าที่มุ่งร้ายขอโอนเงินซ้ำได้โดยเงินไม่ตัดออกจากบัญชี แต่รายงานใหม่ระบุว่ามีลูกค้าใช้ช่องโหว่นี้ได้เงินไปเพียง 7,000 BTC เท่านั้น หรือประมาณ 1% ของบิทคอยน์ที่หายไปทั้งหมดประมาณ 650,000 BTC
Mt.Gox กลับมาออนไลน์อีกครั้งเพื่อเปิดให้ผู้ใช้งานได้ตรวจสอบยอดคงเหลือของบัญชี โดยที่หน้าเว็บไซต์ยังมีข้อความชี้แจงว่ายอดคงเหลือนี้ยังไม่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นยอดที่บริษัทจะต้องจ่ายคืนให้กับผู้ใช้งาน
สำหรับในเรื่องการชำระยอดคงเหลือให้กับลูกค้านั้น จะต้องมีการสืบสวนและเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายล้มละลายและฟื้นฟูกิจการซึ่งจะมีการประกาศความคืบหน้าเป็นระยะต่อไป
ที่มา - MtGox
ปัญหา MtGox ถูกแฮกจนต้องปิดกิจการล้มละลายไปยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดที่แน่นอนว่าสาเหตุเกิดจากอะไร แต่ล่าสุดก็มีซอร์สโค้ดภาษา PHP ยาว 1,719 บรรทัดแสดงกระบวนการจัดการบัญชีผู้ใช้ของ MtGox หลุดออกมา
แฮกเกอร์ที่ออกมาประกาศความรับผิดชอบคือแฮกเกอร์รัสเซียที่ใช้ชื่อ nanashi___ นอกจากซอร์สโค้ดที่โพสมาแล้วยังมีข้อมูลลูกค้าขนาด 20 กิกะไบต์และภาพพาสปอร์ตของพนักงาน
nanashi___ ระบุว่า MtGox ใช้เซิร์ฟเวอร์ Gentoo แต่ไม่ยอมอัพเดตเซิร์ฟเวอร์ทำให้ถูกโจมตีได้ง่าย และในเครื่องก็มี rootkit อยู่
MtGox ปิดบริการมาหลายวันตอนนี้มีรายงานว่าบริษัทยื่นล้มละลายกับศาลโตเกียวแล้ว
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีรายงานออกมาระบุว่า MtGox ถูกแฮกอย่างต่อเนื่องทำให้เหลือทรัพย์สินไม่พอจ่ายคืนลูกค้า โดยมีทรัพย์สินตอนนี้เพียง 32.4 ล้านดอลลาร์ ขณะที่มีเงินค้างจ่ายลูกค้ารวมกว่า 119.1 ล้านดอลลาร์
MtGox หละหลวมในการทำบัญชีอย่างมาก โดยบัญชีบริษัทเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมายังคาดว่าบริษัทยังมีกำไรกว่าสองล้านดอลลาร์ จากรายได้สิบเอ็ดล้านดอลลาร์ และเตรียมเติบโตขึ้นกว่าสามเท่าในปีนี้
สำนักข่าว Reuters รายงานว่า MtGox ตลาดซื้อขาย Bitcoin รายใหญ่ที่สุดในโลกได้ยื่นเอกสารต่อศาลในโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเพื่อขอล้มละลาย และพิทักษ์ทรัพย์เรียบร้อยแล้ว
MtGox ได้สร้างความไม่มั่นใจในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่การออฟไลน์ ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือว่า MtGox ถูกแฮกจนบัญชีมีหนี้ค้างจ่ายจำนวนมหาศาล
เพิ่มเติม: Mark Karpeles ผู้บริหาร MtGox ได้จัดการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยยอมรับว่าเรื่องวุ่นวายนี้เกิดจากจุดอ่อนในระบบซื้อขาย และ Bitcoin ของลูกค้าทั้งหมดน่าจะสูญหาย โดยลงบันทึกเป็นหนี้สินทั้งหมด 63.67 ล้านดอลลาร์ มีผู้เสียหายราว 127,000 คน โดยเป็นคนญี่ปุ่นประมาณ 1,000 คน
หลัง MtGox ปิดตัวลงก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ก็มีเอกสารรายงาน "กลยุทธ์ในภาวะวิกฤติ" ของ MtGox หลุดออกมา โดยซีอีโอของ MtGox ระบุว่ามีข้อเสนอมากมายต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ อย่างไรก็ดีตัวเอกสารนั้นไม่ได้ออกโดยทาง MtGox เอง
หลังจากที่ออฟไลน์เว็บลงไปเฉยๆ ตอนนี้ MtGox ก็ออกแถลงสั้นๆ บนหน้าเว็บ ระบุว่า จากข่าวที่มีมาก่อนหน้านี้และผลกระทบจากการดำเนินงานของ MtGox ที่อาจกระทบต่อตลาด ทำให้ทีมงานตัดสินใจปิดบริการทุกประเภทในระหว่างนี้ "เพื่อปกป้องเว็บไซต์และผู้ใช้" โดยทางทีมงานจะเฝ้าดูสถานการณ์และตอบสนองต่อสถานการณ์ต่อไป
สิ่งที่ผู้ใช้ทั้งหมดอยากรู้ในตอนนี้คงเหลือว่า จะสามารถเข้าไปถอนเงินทั้งสกุลอื่นและ Bitcoin กันได้เมื่อไหร่ แต่แถลงครั้งนี้ก็ไม่ได้ตอบคำถามนี้
ที่มา - MtGox, Business Insider
จากรายงานล่าสุดที่ผ่านมานี้ เว็บไซต์ Mt.Gox ศูนย์แลกเปลี่ยน Bitcoin รายใหญ่ได้ได้ออฟไลน์ลง (แต่ยังเข้าเว็บได้อยู่ เป็นหน้าเปล่า) หลังจากลบข้อความบน Twitter, ลาออกจาก Bitcoin Foundation และการหยุดการแลกเปลี่ยนภายใน Mt.Gox เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ในรายงานล่าสุด พบว่ามีจำนวน Bitcoin เหลืออยู่ใน Mt.Gox อยู่ 744,408 BTC หรือประมาณ 6% ของ Bitcoin ที่มีอยู่ทั้งโลกเลยทีเดียว
ปัญหาของ MtGox ดูจะรุนแรงกว่าที่คาดไว้ โดยเมื่อวานนี้ MtGox ยื่นจดหมายขอลาออกจากบอร์ดของ Bitcoin Foundation โดยบอร์ดนี้จะเลือกมาจากสมาชิกที่เป็นบริษัทเอกชนสามที่นั่ง
พร้อมๆ กับการยื่นจดหมายลาออก ตอนนี้ทวิตเตอร์ของ MtGox เองก็ถูกลบออกทั้งหมด
จนถึงตอนนี้ลูกค้าของ MtGox ยังไม่สามารถถอน Bitcoin ออกจากบัญชีได้ และราคาซื้อขาย Bitcoin ที่ MtGox ก็ถูกกว่าตลาดอื่นๆ มาก
ที่มา - TechCrunch, Bitcoin Foundation
ปัญหาเทคนิคที่ทำให้ MtGox ต้องปิดให้ถอนเงินออก ส่งผลให้ค่าเงิน Bitcoin ตกลงทั่วโลก ตอนนี้บริษัทก็ออกมาประกาศแล้วว่าปัญหานี้ได้แก้ไปแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ทันที เพราะต้องสร้างอินเด็กซ์ของฐานข้อมูลใหม่ทั้งหมด 32 ล้านรายการ และต้องทดสอบระบบการถอนเงินใหม่ โดยจะประกาศอีกครั้งว่าระบบจะพร้อมเมื่อไรภายในวันพฤหัสนี้
MtGox อาศัยโอกาสนี้เปิดใช้งาน 2-step authorization มาพร้อมกัน
แม้ว่าจะมีปัญหามากมายจนกระทั่งราคา Bitcoin ใน MtGox ต่างจากตลาดอื่นๆ เป็นเท่าตัว แต่ปริมาณการซื้อขายใน MtGox ช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาก็ยังสูงสุดเกือบ 60,000 BTC
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสัปดาห์ที่ค่าเงิน Bitcoin ปั่นป่วนอีกครั้ง เมื่อทาง MtGox ตลาดแลกเปลี่ยนค่าเงินที่ใหญ่อันดับต้นๆ ประกาศหยุดให้ถอนเงินเนื่องจาก "บั๊ก" ในซอฟต์แวร์ Bitcoin ทำให้การโอนเงินเหมือนจะหายไป ทั้งที่ข้อความแสดงการโอนเงินได้กระจายออกไปในเครือข่ายแล้ว ทำให้ทาง MtGox ตัดสินใจหยุดให้บริการถอนเงินออกจากเว็บทันทีจนกว่าจะแก้ปัญหาได้ การประกาศครั้งนี้ทำให้ค่าเงิน Bitcoin ตกลงอย่างหนัก ราคาล่าสุดอยู่ที่ 600 ดอลลาร์ต่อ BTC
ผู้ใช้ของ Mt.Gox ที่ชื่อว่า bitbully รายงานว่ามีเว็บระบุตัวเองว่าเป็นบริการแชตเพื่อเชื่อมต่อกับ Mt.Gox เขาจึงลองเข้าเว็บดูแต่ปรากฎว่าหน้าเว็บมีเพียง applet ที่โหลดไม่ขึ้น แต่หลังจากนั้นมีรายงานจาก Mt.Gox ว่าเขาสั่งโอนเงินจำนวน 34 BTC ออกจากบัญชี ในเวลาเดียวกับที่เขาเข้าเว็บนั้น จึงรู้ว่าถูกขโมยเงินไปเสียแล้ว
แม้จะเสียเงินไปแล้ว แต่ bitbully ยังเข้าเว็บเดิมเพื่อไปดาวน์โหลด applet ในเว็บกลับออกมา แล้วนำไปให้เพื่อนจาวาโปรแกรมเมอร์ตรวจ พบว่ามี applet ที่อาศัยบั๊กความปลอดภัยของจาวาเพื่อทำ Cross Site Injection แล้วสั่งโอนเงินโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย