MicroStrategy รายงานการซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติมอีกในระหว่างวันที่ 11-17 พฤศจิกายน 2024 จำนวน 51,780 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.6 พันล้านดอลลาร์ เฉลี่ยที่ 88,627 ดอลลาร์ต่อ BTC รวมค่าธรรมเนียมแล้ว
MicroStrategy เพิ่งรายงานการซื้อบิตคอยน์ที่เฉลี่ย 74,463 ดอลลาร์ เมื่อช่วง 31 ตุลาคมถึง 10 พฤศจิกายน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รายงานในรอบนี้เป็นการซื้อด้วยจำนวนที่มากขึ้น และต้นทุนเฉลี่ยก็แพงขึ้นด้วย
จำนวนบิตคอยน์ที่ MicroStrategy ถือครอง ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2024 มีประมาณ 331,200 BTC ต้นทุนรวม 16.5 พันล้านดอลลาร์ เฉลี่ย 49,874 ดอลลาร์ต่อ BTC
ราคาบิตคอยน์ล่าสุดทะลุ 90,000 ดอลลาร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้อมูลล่าสุดจาก Coinmarketcap ตอนนี้อยู่ที่ 90,300 ดอลลาร์
ราคาบิตคอยน์รวมทั้งเงินคริปโตอื่นปรับเพิ่มขึ้นสูงในช่วงที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสำคัญหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ Donald Trump ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งนโยบายหนึ่งของ Trump คือการสนับสนุนเงินคริปโต
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ร่วมกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บุกค้นบ้าน 9 แห่งในพื้นที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากพบว่าบ้านเหล่านี้น่าสงสัยเนื่องจากไม่มีคนอยู่ในบ้านแต่กลับมีการติดกล้องวงจรปิดจำนวนมากจนมีการแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่
บ้านดังกล่าวมีนายณัฐพงษ์ฯ อายุ 30 ปีเป็นผู้เช่า เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินของนายณัฐพงษ์ก็พบว่ามีเงินหมุนเวียนกว่า 40 ล้านบาททำให้เชื่อว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย แต่เมื่อประสานงานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) พบว่าพื้นที่บ้านที่สงสัยมีอัตราการใช้ไฟฟ้าสูงไม่สอดคล้องกับมิเตอร์ค่าไฟ จึงกลายเป็นคดีขโมยไฟฟ้า
MicroStrategy รายงานการซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติมช่วง 31 ตุลาคมถึง 10 พฤศจิกายน 2024 เพิ่มอีกประมาณ 27,200 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.03 พันล้านดอลลาร์ เฉลี่ย 74,463 ดอลลาร์ต่อ BTC รวมค่าธรรมเนียมแล้ว
การซื้อบิตคอยน์เพิ่มรอบล่าสุดนี้ทำให้ MicroStrategy มีบิตคอยน์ที่ถือครองรวมประมาณ 279,420 BTC มูลค่าต้นทุนรวมประมาณ 11.9 พันล้านดอลลาร์ เฉลี่ย 42,692 ดอลลาร์ต่อ BTC
MicroStrategy บอกว่าการลงทุนในบิตคอยน์ในช่วงที่ผ่านมานี้ ทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (Bitcoin Yield) ในไตรมาสที่ผ่านมา 7.4% และ 26% หากนับตั้งแต่เมื่อต้นปี
ข่าวสั้นรับวันหยุด ราคาบิตคอยน์ที่ซื้อขายกันล่าสุดทะลุด่านสำคัญ 80,000 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC เป็นที่เรียบร้อย หลังจากราคาบิตคอยน์ทำสถิติสูงสุดใหม่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
ราคาบิตคอยน์ล่าสุดใน Coinmarketcap อยู่ที่ 80,047 ดอลลาร์ ส่วนราคาในไทยอยู่ที่ประมาณ 2.717 ล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาบิตคอยน์ยังคงเป็นผลจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ Donald Trump ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งช่วงหาเสียงที่ผ่านมา Trump มีนโยบายสนับสนุนสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจลดเงื่อนไขการกำกับดูแลด้วย
ราคาบิตคอยน์ทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงเช้าวันนี้ โดยราคาขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 75,005.08 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC สูงกว่าสถิติเดิม 73,797.98 ดอลลาร์ เมื่อเดือนมีนาคม
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาบิตคอยน์คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าหาก Donald Trump จากพรรค Republican ชนะ จะมีนโยบายหลายอย่างทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ทางเลือก ซึ่งส่งผลดีต่อความต้องการสินทรัพย์ดิจิทัลนั่นเอง
ก่อนหน้านี้ Trump เองก็ประกาศแนวทางสนับสนุนบิตคอยน์ตลอดจนเงินคริปโตต่าง ๆ
ไมโครซอฟท์เตรียมจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ซึ่งผู้ถือหุ้นสามารถยื่นข้อเสนอเพื่อขอมติจากที่ประชุมได้ โดยมีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือเรื่องบิตคอยน์
กลุ่มนักลงทุนได้ยื่นข้อเสนอ ให้ไมโครซอฟท์นำเงินของบริษัทบางส่วน กระจายความเสี่ยงไปลงทุนในบิตคอยน์ หรือเงินคริปโตอื่น โดยให้เหตุผลว่าที่ผ่านมาไมโครซอฟท์มักนำเงินสดไปลงทุนในตราสารหนี้หรือหุ้นกู้เอกชน ซึ่งให้ผลตอบแทนน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ ถึงแม้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนี้จะมีความเสี่ยงสูง และมีความผันผวนในระยะสั้น แต่จะช่วยให้สินทรัพย์ของไมโครซอฟท์เอาชนะเงินเฟ้อได้ ข้อเสนอคือให้ลงทุนไม่เกิน 1% ของเงินสดบริษัท
James Howells ชายผู้เผลอทิ้งฮาร์ดดิสก์ที่มีกุญแจลับของบัญชี 8,000BTC ไปตั้งแต่ปี 2013 (ข่าวเวลานั้นระบุว่า 7,500BTC) ประกาศฟ้องเทศบาลเมือง Newport คิดเป็นค่าเสียหายประมาณ 500 ล้านปอนด์ เพราะเทศบาลเมืองไม่ยอมให้เขาขุดกองขยะกลับขึ้นมา
Howells ระบุว่าเขาไม่ได้อยากเรียกค่าเสียหายจากเทศบาลเมืองจริงๆ แต่ต้องการกดดันให้เทศบาลอนุญาตให้เขาขุดกองขยะขึ้นมาเท่านั้น โดยหากได้รับอนุญาตเขาและทีมงานจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง พร้อมกับจะให้ส่วนแบ่ง 10% กับเทศบาลเมืองหากพบฮาร์ดดิสก์จริงๆ
ผู้ใช้เว็บบอร์ด Bitcoin Talk ชื่อบัญชี zhengxingshui123 ระบุว่าเขาเป็นผู้แก้ปัญหา BTC Puzzle ข้อ 66 เงินรางวัล 6.6BTC ได้สำเร็จ แต่ระหว่างการโอนเงินรางวัลออกมา กลับถูกบอตสั่งโอนตัดหน้าไปจนเงินหมดบัญชี
BTC Puzzle เป็นโจทย์บิตคอยน์ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ปี 2015 โดยอาศัยการสร้างบัญชีบิตคอยน์ที่กุญแจลับขึ้นต้นด้วย 0 จำนวนมาก และเหลือจำนวนบิตที่ต้องคาดเดาเป็นจำนวนจำกัด ในกรณีของข้อ 66 นี้มีจำนวนบิตที่ต้องคาดเดา 66 บิต มูลค่ารางวัลประมาณ 12 ล้านบาท
MicroStrategy รายงานการซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีก 18,300 BTC คิดเป็นมูลค่า 1,110 ล้านดอลลาร์ เฉลี่ยที่ 60,408 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC ทำให้ตอนนี้บริษัทถือบิตคอยน์รวม 244,800 BTC มูลค่ารวมถึง 14,600 ล้านดอลลาร์ ต้นทุนเฉลี่ยที่ 38,585 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC
Michael Saylor ผู้ก่อตั้งและประธาน MicroStrategy บอกว่าตัวชี้วัดผลตอบแทนการลงทุนบิตคอยน์ของบริษัทซึ่งเรียกว่า BTC Yield ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 17%
เมื่อเดือนมีนาคม MicroStrategy ผ่านหลักไมล์สำคัญของการซื้อบิตคอยน์เพราะมีจำนวนที่ถือครองมากกว่า 1% ของบิตคอยน์ที่มีทั้งหมด
MtGox อดีตศูนย์แลกเปลี่ยนเงินคริปโตอันดับหนึ่งของโลกแต่ต้องปิดตัวลงไปอย่างกระทันหันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 เนื่องจากถูกแฮกเงินคริปโตออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ผู้จัดการทรัพย์สินของ MtGox ก็ออกมาประกาศว่าพร้อมคืนเงินที่เหลืออยู่ให้กับลูกค้าของ MtGox แล้ว
ผลจากการรวบรวมเงินคริปโตที่เหลืออยู่ใน MtGox รวมเกือบ 200,000 BTC ซึ่งก็รวมถึงเงินคริปโตอื่นๆ ที่แตกสายออกมาจาก Bitcoin เช่น Bitcoin Cash และเคยขายออกมาบางส่วนเมื่อปี 2018 เทียบกับช่วงสูงสุดที่เคยมี Bitcoin หมุนเวียนในตลาดเกือบล้าน BTC
DMM Bitcoin บริษัทให้บริการกระดานซื้อขายเงินคริปโตของญี่ปุ่น เปิดเผยว่าระบบได้ถูกเจาะและบิตคอยน์ถูกนำออกไปจำนวน 4,502.9 BTC คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.8 หมื่นล้านเยน หรือกว่า 11,000 ล้านบาท
ข้อมูลการโอนบิตคอยน์ออกจาก Blocksec พบว่าคนร้ายได้กระจายบิตคอยน์ชุดนี้ออกไปยัง 10 กระเป๋าเงิน คราวละ 500 BTC
DMM Bitcoin บอกว่าลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ บริษัทจะชดเชยค่าเสียหายทั้งหมดด้วยมูลค่า BTC ที่เท่ากัน โดยตอนนี้บริษัทได้เพิ่มมาตรการเพื่อป้องกันปัญหาเกิดขึ้นอีกในอนาคต ส่วนตอนนี้ได้จำกัดการซื้อขาย Spot รวมทั้งการถอนเงินเยนออกจากแพลตฟอร์มอาจล่าช้ากว่าปกติ
Block แพลตฟอร์มจ่ายเงินหรือชื่อเดิม Square รายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 1 ปี 2024 รายได้รวม 5,957 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน มีกำไรสุทธิ 472 ล้านดอลลาร์ ส่วนกำไรขั้นต้น (Gross profit) เพิ่มขึ้น 22% เป็น 2,094 ล้านดอลลาร์
เฉพาะส่วนธุรกิจ Cash App ที่เป็นรายได้หลักบริษัท มีกำไรขั้นต้น 1,260 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 25% จำวนผู้ใช้งาน Cash App Card เพิ่มขึ้นเป็น 24 ล้านคนในไตรมาสที่ผ่านมา
Jack Dorsey ซีอีโอ Block บริษัทฟินเทค (ชื่อเดิม Square) เปิดเผยว่าบริษัทจะเพิ่มความสำคัญกับธุรกิจขุดบิตคอยน์มากขึ้น โดยมีการออกแบบชิปสำหรับระบบขุดที่พัฒนาขึ้นมาเอง
โดยความก้าวหน้าล่าสุด บริษัทได้พัฒนาชิปขุดบิตคอยน์เทคโนโลยี 3 นาโนเมตร และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบร่วมกับบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ผลิตชิปชั้นนำของโลกแห่งหนึ่ง
ชิปที่ออกแบบเองเป็นแค่จุดเริ่มต้นของเป้าหมาย เพราะ Block ต้องการพัฒนาระบบขุดบิตคอยน์แบบกระจายศูนย์ ที่ผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ทั้งการนำชิปไปติดตั้งระบบเอง หรือเข้ามาใช้งานระบบทั้งหมดที่ Block มีให้บริการ ก่อนหน้านี้ Dorsey มีความเห็นว่าระบบขุดบิตคอยน์ควรเข้าถึงได้ง่าย ระดับเสียบปลั๊กใช้งานได้เลย
บิตคอยน์เสร็จสิ้นการเข้าสู่รอบลดอัตราค่าขุดครั้งที่ 4 หรือ Halving เป็นที่เรียบร้อย หลังผ่านการขุดบล็อคที่ 840,000 ทำให้จากนี้อัตราค่าขุดอยู่ที่ 3.125 BTC ต่อบล็อค ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ 6.25 BTC
การออกแบบบิตคอยน์นั้นกำหนดให้จำนวนบิตคอยน์มีจำกัดที่ 21 ล้าน BTC และใช้การปรับอัตราคืนค่าขุดบิตคอยน์ให้ลดลงครึ่งหนึ่ง ทุกการขุด 210,000 บล็อค เรียกว่า Halving ซึ่งเหตุการณ์ Halving ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยครั้งแรกเกิดขึ้นปี 2012, ครั้งที่สองปี 2016 และครั้งที่สามในปี 2020
Google Search เพิ่มเครื่องมือใหม่ คราวนี้เป็นวอลเลตเงินคริปโต โดยผู้ใช้งานสามารถเสิร์ชด้วยเลขที่อยู่ (Address) ของกระเป๋าบิตคอยน์ และกูเกิลจะแสดงผลลัพธ์เป็น Card ระบุจำนวนบิตคอยน์ที่มีในกระเป๋านั้น
ข้อมูลการเคลื่อนไหวของบิตคอยน์ทั้งหมดเป็นสาธารณะบนบล็อกเชน จึงสามารถตรวจสอบได้ แต่ไม่สามารถระบุเจ้าของได้
นอกจากบิตคอยน์แล้ว Google Search ยังสามารถค้นหาข้อมูลของบล็อกเชนที่ทำงานบน Ethereum ด้วย ซึ่งเชนที่รองรับตอนนี้ได้แก่ Arbitrum, Avalanche, Fantom, Optimism และ Polygon
ที่มา: 9to5Google
MicroStrategy รายงานการซื้อบิตคอยน์เพิ่มเติมในช่วงวันที่ 11-18 มีนาคม 2024 อีก 9,245 BTC ด้วยเงินรวมประมาณ 623.0 ล้านดอลลาร์ ต้นทุนเฉลี่ยที่ 67,382 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC
การซื้อบิตคอยน์เพิ่มนี้ทำให้ MicroStrategy มีบิตคอยน์รวม 214,246 BTC ที่ต้นทุนเฉลี่ย 35,160 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC คิดเป็นต้นทุนรวมประมาณ 7.53 พันล้านดอลลาร์ และเป็นจำนวนที่มากกว่า 1% ของจำนวนบิตคอยน์รวมทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 21 ล้าน BTC โดยตอนนี้มีการขุดออกมาแล้ว 19.6 ล้าน BTC
ราคาซื้อขายบิตคอยน์เมื่อคืนได้ผ่านหลักสำคัญอีกครั้ง โดยราคาปรับเพิ่มสูงกว่า 70,000 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC เป็นครั้งแรก ซึ่งคาดว่าสาเหตุมาจากการรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่มีอัตราว่างงานปรับเพิ่มสูง จึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ราคาบิตคอยน์ปรับเพิ่มสูงสุดที่ 70,184 ดอลลาร์ ก่อนจะปรับลดลงมา โดยราคาล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 68,000 ดอลลาร์
ที่มา: Coin Telegraph
ราคาซื้อขายบิตคอยน์เมื่อคืนทำสถิติสูงสุดใหม่ (All-time high) โดยราคาปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 69,325 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC สูงกว่าสถิติเดิมที่ 69,045 ดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน 2021 หลังจากราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
ส่วนราคาซื้อขายบิตคอยน์ในไทยที่แปลงเป็นสกุลเงินบาท ทำสถิติใหม่สูงสุดไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน โดยราคาสูงกว่า 2.3 ล้านบาทต่อ 1 BTC และทำสถิติสูงสุดที่ 2,458,000 บาทต่อ 1 BTC
อย่างไรก็ตามหลังจากราคาบิตคอยน์ทำสถิติใหม่ได้ไม่นาน ก็มีการขายออกมาจนทำราคาลดลงถึงเกือบ 10% ราคาล่าสุดตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 64,000 ดอลลาร์
ราคาซื้อขายล่าสุดของบิตคอยน์ ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 60,000 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC แล้ว หลังจากราคาเพิ่มขึ้นมาสูงกว่า 50,000 ดอลลาร์ เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งครั้งสุดท้ายที่บิตคอยน์มีราคาสูงกว่า 60,000 ดอลลาร์ คือเดือนพฤศจิกายน 2021 ราคาล่าสุด ณ ขณะเขียนข่าวนี้ ราคาบิตคอยน์อยู่ที่ 60,442 ดอลลาร์
ทั้งนี้สำหรับนักลงทุนในบิตคอยน์ที่ซื้อขายใน exchange ของไทยสกุลเงินบาท ราคาบิตคอยน์ก็ผ่านหลักสำคัญคือมากกว่า 2 ล้านบาท ไปตั้งแต่วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
คาดว่าสาเหตุหลักที่ทำให้บิตคอยน์ราคาเพิ่มสูงในสัปดาห์นี้ มาจากคำสั่งซื้อที่มาจากกองทุน ETF ที่อิงราคาบิตคอยน์
ราคาบิตคอยน์ล่าสุดซื้อขายกันสูงกว่า 50,000 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC อีกครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้ายที่บิตคอยน์มีราคามากกว่า 50,000 อีกช่วงปลายปี 2021 ก่อนจะปรับลดลงมาในตอนนั้น
ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าการออกกองทุน ETF ที่อ้างอิงสินทรัพย์บิตคอยน์ อาจส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ปรับเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงที่ผ่านมาบิตคอยน์ราคากลับปรับลดลงต่ำสุดถึง 38,500 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC
บิตคอยน์เคยมีราคาซื้อขายสูงสุดที่ประมาณ 69,000 ดอลลาร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 จากนั้นราคาก็ปรับลดลงมาต่อเนื่อง และเริ่มกลับมาฟื้นตัวในปี 2023 ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าราคาบิตคอยน์จะกลับไปทำนิวไฮได้อีกครั้งหรือไม่
มีประเด็นเล็ก ๆ จากการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล Super Bowl ล่าสุด โดย Jack Dorsey อดีตผู้ร่วมก่อตั้งและอดีตซีอีโอ Twitter ซึ่งไม่ปรากฏตัวในสื่อมานานมากแล้ว ได้เข้าร่วมชมการแข่งขันครั้งนี้ในสนามด้วย โดยนั่งอยู่ในบริเวณเดียวกับ Beyonce และ Jay-Z พร้อมกับใส่เสื้อยืดที่สกรีนคำว่า Satoshi ที่น่าจะหมายถึง Satoshi Nakamoto ผู้สร้างบิตคอยน์ที่ยังคงเป็นบุคคลปริศนาถึงตอนนี้
เหตุผลที่เขาไปนั่งอยู่ตรงนั้นเป็นเพราะ Block บริษัทการเงินที่เขาเป็นซีอีโออยู่ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Tidal แพลตฟอร์มฟังเพลงสตรีมมิ่ง (ตอนนั้นยังเป็น Square) ที่ก่อตั้งโดย Jay-Z นั่นเอง
MicroStrategy บริษัทของ Michael Saylor ที่มีธุรกิจหลักคือการพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่เป็นที่รู้จักดีในกลุ่มผู้ลงทุนคริปโตว่าเป็นบริษัทที่ทยอยสะสมบิตคอยน์มาต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 4 ปี 2023 ระบุว่าได้ซื้อบิตคอยน์เพิ่ม 31,755 BTC เป็นมูลค่ารวม 1.25 พันล้านดอลลาร์ ต้นทุนเฉลี่ย 39,411 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC
นอกจากนี้ MicroStrategy บอกว่าจำนวนบิตคอยน์ที่บริษัทถือครอง ณ วันที่ 5 กุมภาพันธ์ มีจำนวนรวม 190,000 BTC ที่ต้นทุนเฉลี่ย 31,224 ดอลลาร์ต่อ 1 BTC โดย Saylor บอกว่าในเดือนมกราคม บริษัทซื้อเพิ่มอีก 850 BTC
สำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐฯ (U.S. Energy Information Administration - EIA) รายงานถึงผลสำรววจการใช้พลังงานไฟฟ้าไปเพื่อการขุดบิตคอยน์ว่าตอนนี้น่าจะกินพลังงานอยู่ในช่วง 0.6-2.3% ของพลังงานที่ใช้งานทั้งประเทศแล้ว ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานเอง และโหลดของโครงสร้างกริดที่เพิ่มขึ้น
กระบวนการขุดบิตคอยน์นั้นอาศัยการคำนวณค่าแฮชเพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และยิ่งมีคนแฮชได้เร็วเงื่อนไขก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้มีการใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ แนวทางนี้ต่างจาก Ethereum ที่หันไปใช้กระบวนการ Proof-of-Stake ที่กินพลังงานเพียง 0.005% ของบิตคอยน์เท่านั้น
คณะกรรมการของ SEC หรือ ก.ล.ต. สหรัฐ ได้ลงมติเมื่อคืนที่ผ่านมา อนุมัติให้นักลงทุนสามารถซื้อขายสินทรัพย์แลกเปลี่ยนที่อ้างอิงราคา Bitcoin ได้บนกระดานซื้อขายสินทรัพย์ทั่วไปแล้ว ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ลงทุน Bitcoin รอคอยผลกันมาหลายสัปดาห์
ตอนนี้มีกองทุนที่ยื่นขอรอจัดตั้ง ETF ที่อ้างอิงราคา Bitcoin แล้ว 11 ราย ซึ่งมีทั้งกองทุนของ BlackRock, Fidelity Investments, ARK Investment, Invesco, WisdomTree และ Grayscale โดยทั้งหมดน่าจะเริ่มซื้อขายกองทุนผ่านกระดานซื้อขายหลักได้เร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้