By: mk 
on 26 August 2019 - 11:27
Tags:
การเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างหนึ่งของ Galaxy Note 10 คือตัดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม. ออกไป ซึ่งซัมซุงก็เลือกวิธีตอบสนองลูกค้าด้วยการแถมหูฟัง USB Type-C ของ AKG มาให้ในกล่อง แต่กลับไม่ได้แถมหัวแปลง USB Type-C เป็น 3.5 มม. มาให้ด้วย นั่นแปลว่าลูกค้าที่มีหูฟังเดิมอยู่แล้วจำเป็นต้องซื้อหัวแปลงเพิ่มเอง
ตัวแทนของซัมซุงชี้แจงเรื่องนี้กับ Business Insider ว่าซัมซุงตั้งใจแถมหูฟัง AKG ที่มีคุณภาพสูงและมีราคาแพงกว่า (มูลค่าประมาณ 100 ดอลลาร์) ให้ลูกค้าเลย แทนที่จะให้เป็นตัวแปลงที่มีราคาขายราว 15 ดอลลาร์ เพื่อให้กับหูฟังเดิมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของซัมซุงไม่ได้อธิบายว่าทำไมถึงไม่แถมอุปกรณ์เสริมมาทั้ง 2 อย่าง
ที่มา - Business Insider, ภาพจาก Samsung
Get latest news from Blognone
Follow @twitterapi
Blognone Jobs Premium
Cloudnone
- สรุปสาระสำคัญและของใหม่จาก Microsoft Ignite 2023 | Cloudnone Special EP
- สรุปของใหม่และสาระสำคัญจาก AWS re:Invent 2023 | Cloudnone Special EP
- สงคราม AI 2024: OpenAI ชิงปาดหน้า Google วันเดียว | Cloudnone EP.17
- Microsoft, Amazon, Google ประกาศตั้ง Data Center ในไทย แล้วไงต่อ | Cloudnone EP 16
- สงคราม GenAI บนคลาวด์ในปี 2024 ไปถึงไหนกันแล้ว | Cloudnone x AWS
Comments
คือตอนแรกชูนโยบายว่า ยังไงช่องเสียบหูฟัง 3.5 มม.ก็ยังจำเป็นและแซะคนอื่นในเรื่องที่ตัดช่องนี้ออก
แต่ตอนหลังกลับลำมาตัดช่อง 3.5 ออกเหมือนกัน พร้อมอ้างว่า ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นแล้ว
ทีนี้ถ้ายังแถมหัวแปลง 3.5 มาอีก ก็เหมือนเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองว่ามันยังสำคัญอยู่
เมื่อไปแล้วก็ต้องไปให้สุด ต้องพยายามตัดมันออกจากชีวิตผู้ใช้ให้ได้
ถ้ายังเก็บมันไว้มีแต่ข้อเสีย เช่น ผู้ใช้ที่มีหูฟัง 3.5 ใช้อยู่แล้วถ้ามีตัวแปลง อาจจะมีความคิดที่ว่า "นี่ไง 3.5 มันก็ยังใช้ได้ เสียงก็ดีกว่า พอตัดออก ต้องมาใช้ตัวแปลงเพิ่มอีก ยุ่งยากจัง" ซึ่งไม่ดีต่อภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ตัวเองแน่
แกะมาตอนแรก นึกว่าได้บลูธูท แต่ก็โอเค ??
my blog
ต่อไปตัดหมดก็ดีฮะ ชาร์จไร้สาย หูฟังไร้สายให้หมดเลย
แต่แถมอุปกรณ์มาด้วยนะ
เครื่อง brick มีร้องจ๊าก
คือเสียงมันก็ดีนะแต่ $100 เนี่ยผมว่าเว่อร์ไป ตอนแรกนึกว่าระดับ $29 ก็หรูแล้ว
มีความเป็นไปได้อยู่บ้างครับ LG ยังเคยแถม B&O เลยครับ ฮ่าๆๆ
$100 น่าจะเป็นมูลค่าราคาขายของรุุ่นนั้น แต่ต้นทุนอาจจะ $29 ก็ได้
AKG = flat tuned หน่ะครับ ซึ่งทำยากกว่า colour tuned มันเลยแพงกว่าเจ้าอื่นในระดับเดียวกัน อย่างตัว
แต่เรื่องเสียงนี่ก็คงแล้วแต่คนชอบอีกทีครับ สำหรับผมที่ชินเสียงแนว flat นี่ก็คงชอบมั้ง(ยังไม่ได้ไปลองฟังตัวนี้เหมือนกันครับ เคยฟังแต่ตัวแถม 3.5)
Edit: ค้นเจอคลิปนี้มาครับ เป็นของ 3.5 นะ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
หูแถม Note8/S9 ที่แปะ AKG มานี่ไม่ flat tuned แน่ๆ ครับ
เคยใช้ in ear AKG แท้ๆ ราคาพันกว่าบาทเสียงดีกว่าหูแถมนี่เยอะเลย
ตัว usb c ยังไม่เคยฟังนะ แต่คงจูนเสียงมาแนวเดิม
ปล. ชอบเสียงแนว flat เหมือนกันครับ
+1ล้าน AKG ที่แถมมากับ S9 เสียงกระจอกมากจนน่าตกใจ
อุตส่าห์คิดว่า acquire AKG มาแล้ว samsung ก็น่าจะแถมหูฟังเทพๆมาให้ลูกค้าประทับใจ แต่ดันให้อะไรมาก็ไม่รู้
หูฟัง $30 + วงจร DAC (คิดว่าน่าจะเป็นหูฟังดิจิตอลนะ ยังไม่เคยเห็นหูฟัง USB-C ตัวไหนที่เป็นอนาล๊อคเลย) + ค่าแบรนด์ (ไม่ได้หมายถึงแค่แปะป้าย แต่หมายถึงพวกเอกลักษณ์เสียงอะไรพวกนี้ด้วย)
ผมว่ามันก็พอสมเหตุสมผลกับ $100 อยู่นะครับ 55+
ขอบอกว่ารุ่นก่อนๆ นี่แค่แปะป้ายครับ ไม่มีกลิ่นอะไรติดมาเลย
แถมทั้งทีแถมหู BT ไปเลยสิ
ข้อดีของหูฟัง Type-C คือเสียงมันขึ้นกับหูฟังเลย ไม่ได้ขึ้นกับมือถือเพราะDACในตัว
แต่ข้อเสียคือกินไฟกว่าหูฟังเดิมๆอย่างมาก
แถมจริงดิหรือรวมไปในราคาเครื่องแล้ว
จริงๆ ถ้าให้เหตุผลว่าตัดเพราะไม่จำเป็น
ก็น่าจะแถมทั้งมีสาย(Type-C) กับ ไร้สาย(ฺBluetooth) มาเลย ..ใจๆ อิอิ
ท่านใดพอ ทราบรายละเอียด เรื่อง คุณภาพเสียง ที่ได้ จาก อุปกรณ์ คอนเนคเตอร์ แตกต่างกันไหม ครับ
USB-C มันสามารถส่งเสียงได้ 2 ประเภทคือแบบอนาล๊อคกับแบบดิจิตอลครับ
ถ้าเป็น USB-C to 3.5mm แบบอนาล๊อค ไม่ว่าจะเป็นสายไหนคุณภาพก็ไม่ต่างกันมากครับ เพราะมันใช้ DAC ที่มือถือเป็นตัวขับเสียง สายแปลงมันก็แค่แปลงหัวแค่นั้นเองครับ ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ราคาสายแปลงประเภทนี้จึงราคาถูกครับ
แต่ถ้าเป็น USB-C to 3.5 แบบดิจิตอล โดยหลักการแล้วมันก็คือ External DAC หรือ USB Soundcard นั่นแหละครับ หรือก็คือมี DAC อยู่ในสายแปลงนั่นเอง ซึ่งคุณภาพเสียงจะขึ้นอยู่กับสายแปลงเป็นหลัก ไม่เกี่ยวกับมือถือเลย ที่ตอนแรก Pixel จะขายสายแปลงราคาสูงก็เพราะคุณภาพมันดีนี่แหละ แต่คนที่ไม่เข้าใจคิดว่ามันก็แค่แปลงพอร์ตธรรมดาเหมือนกับตัวอื่นๆก็บ่นว่ามันแพงไปก็มีอยู่พอควร
เช่นเดียวกับหูฟัง USB-C เช่นกัน สามารถมีได้ทั้งแบบดิจิตอลและแบบอนาล๊อค ซึ่งแบบดิจิตอลก็ไม่ต่างจากหูฟัง USB ที่เสียบในคอมทั่วๆไปหรือก็คือมี DAC ในตัวนั่นแหละ ส่วนแบบอนาล๊อคมันก็คือหูฟัง 3.5mm ที่เปลี่ยนหัวเป็น USB-C แค่นั้นเอง (แต่ผมยังไม่เคยเห็นค่ายไหนทำหูฟัง USB-C แบบอนาล๊อคนะ)
ความโกลาหลมันอยู่ที่ว่า... ไม่ใช่ port USB-C ทุกอันจะรองรับการส่งเสียงแบบอนาล๊อคครับ และทั้งมือถือทั้งสายแปลงทั้งหูฟัง มันไม่มีสัญลักษณ์บ่งบอกอะไรเลย ผู้ผลิตเองบางทีก็บอกบางทีก็ไม่บอกด้วย ผู้ใช้ต้องมาเดากันเองว่าเป็นแบบไหนและรองรับไหม ถ้าเป็นแบบดิจิตอลมันก็ควรจะใช้ได้แหละ แต่ไม่ได้ถึงขนาดจะมั่นใจว่ามันจะ compatible กันได้ 100% อยู่ดี (นึกภาพเราใช้ USB Soundcard มันก็ควรจะใช้ได้ทุกเครื่อง แต่บางทีอาจมีปัญหาเรื่อง driver หรือเรื่องพลังงานอะไรทำนองนี้ หรือหนักๆหน่อยก็แบบหูฟัง HTC ที่ล๊อคไว้ให้มือถือ HTC ใช้ได้อย่างเดียว)
คิดว่า Xiaomi Mi Half In-Ear แบบ USB-C (ที่กำลังใช้อยู่) น่าจะเป็นหูฟังแบบ analog นะครับ เพราะเสียบกับ USB-C ของเครื่องคอมตั้งโต๊ะก็ใช้งานไม่ได้ แถมในมือถือของ Xiaomi ที่ Mi Sound Enhancer ก็ไม่ได้แยกว่าเป็นรุ่น 3.5 มม. หรือ USB-C ครับ
ปล. ค่ายจีนหลายค่ายก็เริ่มทำหูฟังแบบ USB-C analog ออกมาขายอยู่ เพียงแต่คิดว่าไม่นานเดี๋ยวก็หายไปเพราะมันรองรับแค่บางเครื่องครับ
ไปหาอ่านมา เหมือนว่าจะเป็นหูฟังอนาล๊อคจริงๆด้วยครับ ใช้กับ Xiaomi รุ่นเก่าบางรุ่นก็ไม่ได้ (พวกรุ่นที่มี 3.5mm) ไม่รู้เหมือนกันว่า Mi9T จะใช้ได้ด้วยไหม
ปล. พอดีผมดูแต่หูฟังแบรนด์หูฟัง ไม่ได้ตามหูฟังแบรนด์มือถือเท่าไหร่เลยไม่รู้ว่ามีแล้ว 55+