ครีมกันแดดที่นักท่องเที่ยวใช้กันทั่วไปตามชายหาด อาจเป็นสาหตุสำคัญในปรากฏการณ์ ปะการังฟอกสี ผลจากการศึกษาของคณะกรรมการสหภาพยุโรป
นักวิจัยที่นำโดย Roberto Danovaro จากมหาวิทยาลัยปิซ่า (University of Pisa) ได้ทำการทดลองโดยใช้ครีมกันแดดต่างกันสามยี่ห้อ ควบคุมปริมาณให้เหมาะสม แล้วนำไปทดสอบกับน้ำทะเลรอบๆ แนวปะการัง ซึ่งสถานที่ทดสอบได้แก่ เม็กซิโก, อินโดนีเซีย, ไทย และอียิปต์
จากการทดลอง พบว่าครีมกันแดดแม้มีปริมาณน้อย แต่ก็ทำให้ปะการังผลิตเมือกเหนียวออกมาภายในเวลา 18 ถึง 96 ชั่วโมง และภายในเวลา 96 ชั่วโมง ปะการังที่ทดสอบก็ฟอกสีทั้งหมด
จากการประมาณ ในแต่ละปี มีนักท่องเที่ยวประมาณ 78 ล้านคน ที่ท่องเที่ยวแนวปะการัง และมีปริมาณครีัมกันแดดที่ถูกปล่อยออกมาบริเวณแนวปะการังประมาณ 4,000 ถึง 6,000 ตัน และสารเคมีในครีมกันแดดประมาณ 25% จะถูกละลายออกมาภายใน 20 นาที หลังจากสัมผัสน้ำทะเล
ความสำคัญของแนวปะการัง นอกจากความสวยงามที่เป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยว ยังเป็นแหล่งรวมผลิตผลและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งหากแนวปะการังเสื่อมโทรม ก็ย่อมหมายถึงความเสื่อมโทรมของท้องทะเลบริเวณนั้นๆ ด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปะการังฟอกสี
Comments
น่าจะทำ link ไปที่นี่้ด้วย http://en.wikipedia.org/wiki/Coral_bleaching
เพิ่มให้แล้วครับ
Lastest Science News @Jusci.net
Lastest Science News @Jusci.net
อ๋า แล้วจะทำไงดีหว่า อย่างไรก็ดี น่าจะมีการทดสอบเพิ่มเติมว่าสารตัวใด (หรือสารผสมระหว่างสารตัวใดๆ) ที่มีผลต่อปะการัง เพราะจะห้ามนักท่องเที่ยวใช้ครีมกันแดดคงเป็นไปไม่ได้ แต่หากสามารถระบุตัวสารเคมีได้ เราอาจเปลี่ยนไปใช้สารเคมีตัวอื่นที่กันแดดได้เหมือนกันแทน
อันนี้เห็นด้วยนะ เพราะที่อ่านมาดูเหมือนจะเป็นแค่การเอาครีมกันแดดไปทดลองเฉยๆ
Lastest Science News @Jusci.net
Lastest Science News @Jusci.net
ครีมกันแดดเค้าเพิ่งปล่อยข่าวมาเพื่อสร้างกระแสไม่นานนี้เอง เราเอาข่าวแรงๆมาปล่อยแล้ว เดี๊ยวเค้าก็เก็บเอาหรอก เหมือนตอนนี้ กระแสกลูต้าไทโอน อีก ปีหน้า กระแส NAC เพราะผมจะเริ่ีมกระแสเอง
macXide กล้าคิดเพื่อโลกของความเป็นจริง - - - - -
รู้สึกวกกลับเข้าเรื่อง NAC อีกแล้วนะครับ
เปล่าวหรอกครับ ที่เข้าเรื่องnac บ่อยเพราะผลวิจัยคนไทยกับคนต่างประเทศแย้งกัน และดูเหมือนเค้าจะทำการตลาดเรื่องกลูต้ามากหน่อย คนเลยไม่กล้าพูดถึง nac ในด้านดีๆเลย ทั้งที่จริงแล้ว เรากินได้วันละ 10 เม็ดก็ได้เลย... อยากให้พูดถึงด้านดีกว่าด้านลบ ตอนนี้มันเป็น supplement แล้ว ไม่ใช่ ฟามาเหมือนที่คนไทยเข้าใจกัน จริงๆการตลาดไทยนั้นหละที่ทำให้คนไทยกลัวกันเอง เพราะการตลาดไทยโดนพวกนักวิจัย โดนยัดเงิน วิจัยแต่กลูต้าในด้านบวกอย่างเดียว เพราะโดนอำนวจเงินครอบงำ แต่กลัว nac กันหมด เพราะเค้าชอบปล่อยข่าวเสียๆกันว่าnac ไม่ดีอย่างโน้นอย่างนี้ แล้ว กลูต้าที่เค้ากินกัน มี ส่วนของ nac ไหมหละครับ อาหารเสริม ไม่ใช่ยา แต่เข้าไทย เภสัชหลายคนมองว่าเป็นยากัน อยากให้มองถึงกลุ่มแพทย์ทางเลือกบ้าง ไม่ใช่วิชาการอย่างเดียว
macXide กล้าคิดเพื่อโลกของความเป็นจริง - - - - -
กลูตาไทโอน ถ้าทาไม่เป็นไร แต่ฉีดหรือกินมันค่อนข้างเสี่ยงนิครับ? หรือถ้าไงขอลิงค์ที่เกี่ยวข้องหน่อยนะ
http://www.drweil.com/
http://www.raysahelian.com/
และอื่นๆอีก เดี๊ยวผมรวบรวมมานะครับ
ทั้งสองท่านเป็นแพทย์ทางเลือกด้วย และเค้าเข้าใจถึงอาหารเสริมดีกว่าและไม่ต่อต้านด้วย คนไทยต่อต้านกันเยอะเพราะโดนอำนาจเงินครอบงำอยู่
To my knowledge, the only supplement that effectively raises glutathione levels in the body is N-acetyl-L-cysteine (NAC). My colleague Kathleen Johnson, a dietician here at the Program in Integrative Medicine, tells me that other glutathione supplements are ineffective because they're digested before they can get into the bloodstream. While NAC seems to work, it isn't ideal because it can cause headache, dizziness and blurred vision."
There appears to be a feedback inhibition in glutathione synthesis. This means that if glutathione levels are excessively increased with the help of nutrients, the body may decrease its natural production. Glutathione is sold in pills with dosages ranging from 50 to 250 mg. Glutathione is a promising antioxidant. However, due to the inconsistencies in the medical literature on the ability of glutathione to enter tissues and cells when ingested orally, and the possibility of feedback inhibition, I can’t recommend supplementation with this nutrient until more information is published. I do think Acetylcysteine is a good alternative since it can help make more glutathione.
อีกเรื่องไม่ขออิงวิทยาศาสตร์มากนักนะครับ เอาความเป็นจริง
เพื่อนผมกินกลูต้าแล้วดำขึ้นหลังจากงดกิน กลูต้า 2 เดือน
เพื่อนอีกกลุ่มกิน NAC แล้วขาวขึ้น แล้วไม่กลับมาคล้ำอีกหลังงด nac 1 เดือน
macXide กล้าคิดเพื่อโลกของความเป็นจริง - - - - -
ที่มันมีปัญหาเพราะคำตอบแบบไม่อิงวิทยาศาสตร์นี่แหละ......
คุณอาจจะบอกว่ากินแล้วขาวขึ้น กินแล้วดำลง มันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นเพราะ nac หรืออะไรนั่นหรอก
อีกอย่าง คำว่าดำขึ้นหรือขาวขึ้น มันก็ขึ้นอยู่กับคน บางคนอาจจะมองว่าขาวขึ้นเป็นเรื่องดี บางคนอาจจะมองว่าดำขึ้นเป็นเรื่องดี ซึ่งมันก็ตัดสินอะไรไม่ได้ครับ
ป.ล. ข่าวนี้เป็นครีมกันแดด ทำไมมันไปออกอาหารเสริมได้ก็ไม่รู็
Lastest Science News @Jusci.net
Lastest Science News @Jusci.net
เห็นด้วยกับ ป.ล. ครับ
ป.ล. ใครใคร่กิน กินเถิด จะเกิดผล (อย่างน้อยๆ ก็คงได้ placebo effect ล่ะนะ)
หลักฐานทางวิชาการที่คุณอ้างอิงมาเรียกว่า Expert opinion หรือความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นหลักฐานทางวิชาการที่มีความน่าเชื่อถือในระดับต่ำสุด ไม่สามารถนำมาใช้ในการขึ้นทะเบียนยา หรือกำหนดแนวทางการรักษาได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่คุณอ้างเพื่อนนี่ไม่นับเป็นหลักฐานทางวิชาการ
ไหนก็เขียนถึงหลักฐานทางวิชาการ ผมขอสรุปเรื่องนี้ให้แล้วกัน
หลักฐานทางวิชาการ ในทางการแพทย์ มีการแบ่งระดับความน่าเชื่อถือไว้หลายระดับ ในที่นี่ผมขออ้างของประเทศอังกฤษที่แบ่งไว้ 4 ระดับแล้วกัน
Level I: ผลการศึกษาที่ได้มาจาก randomized controlled trial อย่างน้อย 1 การศึกษา
Level II-1: ผลการศึกษาที่ได้มาจาก controlled trials without randomization
Level II-2: ผลการศึกษาที่ได้มาจาก Evidence obtained from well-designed cohort หรือ case-control analytic studies ที่ทำในศูนย์วิจัยมากกว่า 1 แห่ง
Level II-3: ผลการศึกษาที่ได้มาจาก multiple time series with or without the intervention. Dramatic results in uncontrolled trials might also be regarded as this type of evidence.
Level III: Opinions of respected authorities, based on clinical experience, descriptive studies, or reports of expert committees.
ถ้าอยากจะสนับสนุนความเชื่อของคุณ ผมแนะนำว่าลองหาหลักฐาน Level II ขึ้นไปมาแสดงให้ดูจะดีกว่านะครับ
อ้างอิง http://en.wikipedia.org/wiki/Evidence-based_medicine
Little RX
My Twitter
กำลังจะมาบอกพอดีเลยว่า ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีความน่าเชื่อถือต่ำสุด
Lastest Science News @Jusci.net
Lastest Science News @Jusci.net
โทษที อันนี้อ้างอิงของอเมริกามีแค่ 3 ระดับ พอดีโดน reply ต่อไปแล้ว เลยแก้ไม่ได้
Little RX
My Twitter
โดยส่วนตัวมองว่าอะไรที่มนุษย์เอามาอัดเม็ด ถ้ากินวันละสิบกว่าเม็ดคงผิดจุดประสงค์ของคำว่า อาหาร"เสริม" แล้วล่ะครับ
"นักโภชนาการหวังผลสูงสุด"
macXide กล้าคิดเพื่อโลกของความเป็นจริง - - - - -
อะไรก็ตามที่จะขึ้นทะเบียนเป็นยา ต้องมีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนประสิทธิภาพ หรือข้อบ่งใช้ที่ขอขึ้นทะเบียน
ส่วนอะไรก็ตาม ที่ไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาสนับสนุนประสิทธิภาพ หรือข้อบ่งใช้ที่ขอขึ้นทะเบียน ก็ต้องเลี่ยงไปขอขึ้นทะเบียนเป็น อาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ขึ้นทะเบียนได้ง่ายเหมือนกับอาหาร แต่สารนั้นจะไม่สามารถโฆษณาว่า รักษา บำบัด บรรเทา ป้องกันโรคหรือภาวะใดๆ ได้ เพราะนั่นเป็นสิทธิ์ของยา ถ้าทำเช่นนั้นถือว่าผิดกฎหมาย
Acetylcysteine ชนิดรับประทาน ได้ขอขึ้นทะเบียนเป็นยาสำหรับละลายเสมหะ บรรเทาอาการไอ และแก้ไขความเป็นพิษจากการรับประทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด ดังนั้นเภสัชอย่างพวกผม ไม่ได้มองว่ามันเป็นยาเพราะคิดเอาเอง แต่เพราะตัวมันขึ้นทะเบียนเป็นยาแล้ว พวกเราถึงต้องมองมันเป็นยา
ส่วน Acetylcysteine ที่ใช้ในข้อบ่งใช้อื่นที่คุณพยายามจะสนับสนุนนั้น ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นยา เพราะไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาสนับสนุนประสิทธิภาพ หรืออะไรก็แล้วแต่ ดังนั้นคุณจะมองว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ถูกแล้ว แต่อย่าลืมว่าผลการศึกษาที่ผ่านมาได้มีการค้นพบแล้วว่าจะเกิดผลข้างเคียงอะไรบ้าง ในขนาดที่คุณใช้ (known side effect) ดังนั้นการคิดว่ามันเป็นเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วจะไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย เป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้องครับ
ส่วนเรื่องแพทย์ทางเลือก ผมไม่เคยปฏิเสธครับ เพียงแต่ผมยอมรับแต่แนวทางที่มีการพิสูจน์แล้วว่าได้ผล และปลอดภัยในการใช้มนุษย์ โดยขั้นตอนการศึกษาเป็นไปตามแนวทางของ Good Clinical Practice ครับ ซึ่งแพทย์ทางเลือกก็สามารถทำการศึกษา แบบแพทย์แผนปัจจุบันได้เหมือนกัน
Little RX
My Twitter
+1 Informative
LewCPE
lewcpe.com, @wasonliw
อาหารเสริมเป็นเรื่องมอมเมาผู้บริโภคซะเป็นส่วนใหญ่ มีประโยชน์เป็นส่วนน้อย
แพทย์ทางเลือกก็ต้องมีวิชาการรองรับ ว่ามีประโยชน์จริง เทียบเท่าหรือดีกว่าวิธีที่ใช้ในปัจจุบัน
ความเชื่อกับความจริง หลายครั้งก็ไม่ตรงกัน
ถ้าหากว่า มอมเมา Q10 ทำไมช่วยเรื่องหลอดเลือดหัวใจได้หละท่าน แล้วถามสักนิด แพทย์ที่เป็นหมอโรงพยาบาลบางท่านรักษาไม่ได้เลย แต่ทำไมกิน Q10 หลายมิลิกรัมทำไมเค้าหายหละ Q10 ในไทยขายกันแค่ 29mg แต่ต่างประเทศ 150 mg กินเป็นว่าเล่นได้เลย แล้วคนไทยชอบอ้างว่า โดสสูงเกินไป ไม่เหมาะกับคนไทย แล้วคนไทยหลายๆท่าน กินอาหารครบ ๕ หมู่กันหรือยัง ใครกันแน่ที่มอมเมา อ่านหนังสืออาหารเสริม ถ้าคุณหมอไม่รู้จัก ความตายอาจครอบงำคุณด้วยนะครับ ผมไม่ได้ให้อิงจากหนังสือนะครับ ...
macXide กล้าคิดเพื่อโลกของความเป็นจริง - - - - -
คุณเอาหลักฐานมาให้ดูหน่อยสิว่า อาหารเสริมของคุณมีผลต่อหลอดเลือดหัวใจจริง อย่าอ้างลอยๆ
การอ้างลอยๆ อวดสรรพคุณเกินจริงเพื่อขายสินค้าอาหารเสริมโดยไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนถึงประโยชน์นี่แหละที่เรียกว่าเป็นการมอมเมา
ถ้าคนไทยหลายๆท่านกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ก็ต้องแนะนำให้กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ไม่ใช่แนะนำอาหารเสริม อาหารหลักกับอาหารเสริมอะไรที่เป็นประโยชน์มากกว่ากัน
หนังสือก็มีที่เชื่อถือได้และเชื่อถือไม่ได้ สามารถนำมาอ้างอิงได้และไม่สามารถนำมาอ้างอิงได้ ก็ควรจะเลือกพิจารณาให้ดีก่อนนะ
ยอมรับว่าอาหารเสริมที่ดีดีก็มี อย่าง Cellfood
ที่ผมใช้แทนพาราและคลอเฟ
และผมใช้ Cellfood ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นเป็นอย่างมากจากการเป็น ภูมิแพ้ทางผิวหนังขั้นรุนแรง (Atropic dermatitis) อันอาจเกิดจากการสะสมของพวกผงชูรสมากเกินไป (ตอนเด็กทานอาหารที่ใส่ MSG เป็นว่าเล่น เพราะประมาทว่าไม่แพ้)
แต่ถึง Cellfood จะดีอย่างไร ใช้ ๆ ไป พอร่างกายแข็งแรงขึ้นก็จะใช้น้อยลงเรื่อย ๆ จนหยุดใช้ในที่สุด ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่ถ้ากินต่อไปเราจะรู้สึกตึง ๆ แบบผิดธรรมชาติ
ผมคิดว่าเราจะรู้ได้ด้วยตัวเองนะครับว่าร่างกายเรามันแข็งแรงเว่อ ๆ แล้ว
ซึ่งหยุดใช้ก็ดี จะได้ไม่เปลือง ทุกวันนี้เข้า fitness ทุกวัน
ไม่มียาไรดีกว่าการออกกำลังกายหรอก
ส่วน Cellfood ก็มีติดไว้เป็นยาสามัญประจำบ้าน แทนพารากะคลอเฟ คือกินเมื่อเราป่วย ไม่ป่วยก็ไม่ต้องไปกินมัน
ยอมรับว่าดี แต่มากเกินไปไม่ดี
เชื่อได้ไหมเนี่ย ครีมกันแดดเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำมัน เมื่ออยู่ในน้ำมันจะลอยอยู่ตามผิวแล้วถูกแสงแดดย่อยสลายเหมือนกับน้ำมันปรุงอาหารทั่วไป ส่วนประการังมันจะอยู่ใต้น้ำตั้งแต่ 1 เมตรลงไป โอกาสที่มันจะได้สัมผัสกับครีมกันแดดยากมาก ถึงแม้จะมีคลื่นก็มิอาจทำให้มันสัมผัสกับสิ่งนั้นได้ แนวที่ทดลองก็ไม่ได้บอกว่าสภาพแวดล้อมเป็นแบบไหน ปรากฏการณ์ฟอกขาวเกิดขึ้นอยู่แล้วหรือไม่ ก่อน/หลัง?
เท่าที่ศึกษามาประการังจะเกิดการฟอกขาวเมื่อได้รับสารประเภทนี้ สบู่ ยาสระผม ผงซักฟอก ที่นักท่องเที่ยวมักจะพกติดตัวไปตอนเล่นน้ำทะเล เมื่อใช้สารเหล่านี้มันจะไหลลงทะเล และตัวสารเองมีความหนักมันจึงตกตะกอนอยู่ใต้น้ำ ตัวสารนี้ดันเป็นอาหารอันโอชะของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำอีกชนิดหนึ่ง เมื่อมันได้รับอาหารมากมันจึงเจริญพันธุ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นขยายตัวเข้าไปในพื้นที่ของประการังสีสวยๆ เหมือนกับมนุษย์รุกพื้นที่ป่าแล้วสัตว์หายไปแบบนั้นเลย เมื่อปะการังถูกแย่งอาหารไปมันก็ไม่รู้จะกินอะไร ตายซะเลย เมื่อตายมันก็กลายเป็นสีขาว