การมาถึงของเทคโนโลยีอุปกรณ์พกพา และอินเทอร์เน็ตไร้สายที่ใช้งานได้จากทุกที่ ทำให้เราสามารถ "ทำงาน" ได้จากสภาพแวดล้อมหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องนั่งทำงานที่โต๊ะในสำนักงานอีกต่อไป
ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้รูปแบบของ "งาน" ในทศวรรษ 2010s ต่างไปจากการทำงานในอดีต และเริ่มมีรูปแบบของ "คนทำงาน" แบบใหม่ๆ เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น คนทำงานจากที่บ้าน (remote worker) คนที่ต้องเดินทางตลอดเวลา (worker on the go) คนทำงานภาคสนาม เช่น ในโรงงานหรือกลางทุ่งกว้าง (field worker) การเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้เรียกว่า workforce transformation
คนทำงานกลุ่มใหม่ๆ เหล่านี้มีความต้องการอุปกรณ์ไอทีที่แตกต่างกันออกไป คนทำงานภาคสนามย่อมต้องการอุปกรณ์ที่ทนทานและเคลื่อนย้ายสะดวก ในขณะคนทำงานจากที่บ้านอาจต้องการพีซีจอใหญ่หรือมอนิเตอร์จอที่สอง ส่วนคนที่เดินทางบ่อยย่อมต้องการอุปกรณ์ที่น้ำหนักเบา แบตเตอรี่อยู่ได้ยาวนาน และเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา
แต่ในมุมขององค์กรแล้ว ไม่ว่าพนักงานของเราจะอยู่ที่ไหนหรือทำงานประเภทใด เป็นอุปกรณ์ตั้งโต๊ะหรืออุปกรณ์พกพา สิ่งที่จำเป็นต้องมีเสมอคืออุปกรณ์ที่ปลอดภัย บริหารจัดการได้ง่าย ทนทาน มีเสถียรภาพ และมีบริการหลังขายที่ดีเยี่ยม
Secure ความปลอดภัยคือสิ่งสำคัญ ในยุคที่พนักงานอยู่นอกออฟฟิศ
รูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป การทำงานถูกย้ายออกไปอยู่นอกสำนักงาน โมเดลการจัดการความปลอดภัยของข้อมูลแบบเดิมๆ ที่อิงกับพื้นที่สำนักงานจึงเริ่มใช้งานไม่ได้ผลดังเดิม และเกิดโมเดลความปลอดภัยแบบใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า
คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ เริ่มมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงหลายอย่างเข้ามา เช่น การยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกอย่างลายนิ้วมือหรือใบหน้า ซึ่งรองรับแล้วผ่านฟีเจอร์ Windows Hello ของ Windows 10 Pro, การยืนยันตัวตนหลายปัจจัยด้วยสมาร์ทการ์ดหรือชิป NFC, การเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมดภายในเครื่อง (data encryption) เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหลหากเครื่องถูกขโมย
ระบบรักษาความปลอดภัยเหล่านี้มักไม่ค่อยมีในคอมพิวเตอร์สำหรับคอนซูเมอร์ทั่วไป แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในคอมพิวเตอร์เกรดสำหรับใช้งานในองค์กร
Manageable บริหารจัดการได้ง่ายจากระยะไกล
คอมพิวเตอร์ที่อยู่นอกองค์กร ย่อมจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้ดูแลระบบไอทีขององค์กรเฉกเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในสำนักงาน คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ มีฟีเจอร์ด้านการจัดการจากระยะไกลมาให้ในตัว แอดมินสามารถเข้ามาแก้ไขหรือคอนฟิกค่าต่างๆ ได้โดยไม่ต้องเสียเวลานำเครื่องกลับมายังสำนักงาน รวมถึงสามารถอัพเดตซอฟต์แวร์ได้โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องด้วย เพราะสามารถเข้าถึงระบบ BIOS ได้โดยตรง
Reliable ทนทาน มีเสถียรภาพ เชื่อถือได้ การทำงานไม่หยุดชะงัก
จุดเด่นอีกประการของคอมพิวเตอร์สำหรับใช้งานในองค์กรที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก คือฮาร์ดแวร์ถูกออกแบบมาสำหรับการ "ทำงาน" จริงๆ ใช้วัสดุที่ทนทานกว่า ถูกตรวจสอบคุณภาพและทดสอบมาดีกว่า เพราะในมุมขององค์กรแล้ว ต้นทุนค่าฮาร์ดแวร์ถือเป็นส่วนเล็กๆ เมื่อเทียบกับเวลาและผลิตภาพ (productivity) ของพนักงานที่จะสูญเสียไปหากเครื่องมีปัญหา
บริการหลังขายต่อเนื่อง ตลอดอายุการใช้งานฮาร์ดแวร์
นอกจากตัวฮาร์ดแวร์ต้องทนทานแล้ว อีกปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการจัดการเครื่องตลอดอายุการใช้งาน (lifecycle management) โดยเฉพาะบริการซัพพอร์ตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มีเครื่องให้เปลี่ยนทันทีหากเครื่องเก่ามีปัญหา และการจัดการกับเครื่องที่หมดอายุขัยแล้ว ตั้งแต่การล้างข้อมูลทั้งหมดในเครื่องไม่ให้เหลือร่องรอย ไปจนถึงการรีไซเคิลฮาร์ดแวร์เก่าเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
การเลือกซื้อพีซีที่มีบริการหลังขายลักษณะนี้แบบครบจบในตัว จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว และลดภาระของทีมไอทีในองค์กรลงได้ด้วย
Dell ในฐานะผู้นำตลาดคอมพิวเตอร์สำหรับองค์กร กับแบรนด์ Latitude ที่องค์กรจำนวนมากทั่วโลกให้ความไว้วางใจใช้งาน
ล่าสุด Dell เปิดตัวโน้ตบุ๊กกลุ่ม Latitude รุ่นใหม่สำหรับปี 2018 ที่มาพร้อมกับ Windows 10 Pro โดยมีรุ่นที่น่าสนใจดังนี้
Dell Latitude 7390 2-in-1
โน้ตบุ๊กแบบ 2-in-1 หน้าจอ 13.3" พับจอเป็นแท็บเล็ตได้ เหมาะกับคนทำงานนอกสถานที่ (remote worker) ที่ต้องการความคล่องตัว หน้าจอสัมผัสใช้กระจก Gorilla Glass 4 ที่ทนทานต่อรอยขีดข่วน และรองรับปากกา active pen ที่ใช้เทคโนโลยีของ Wacom เพื่อสะดวกกับการจดโน้ตขณะเคลื่อนไหว
Latitude 7390 2-in-1 ใช้หน่วยประมวลผล Core 8th Generation รุ่นใหม่ล่าสุด, ใส่แรมได้สูงสุด 16GB, มีกล้องอินฟราเรดและตัวสแกนลายนิ้วมือรองรับการล็อกอินด้วย Windows Hello, ตัวเครื่องหนัก 1.42 กิโลกรัม มาพร้อมแบตเตอรี่ใหญ่ 45Whr หรือ 60Whr ใช้งานได้ยาวนาน
ตัวอย่างการใช้งาน Latitude 7390 2-in-1 สำหรับคนทำงานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
Dell Latitude 5290 2-in-1
Latitude 5290 2-in-1 เป็นอีกขั้นของอุปกรณ์ 2-in-1 ที่พกพาสะดวกขึ้นไปอีก เพราะรูปแบบการใช้งานหลักเป็นแท็บเล็ตจอสัมผัสขนาด 12.3" สัดส่วน 3:2 ที่มีขาตั้งและคีย์บอร์ดแบบพับได้ สามารถแปลงเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งบนโต๊ะได้ทุกที่ทุกเวลา น้ำหนักเฉพาะตัวแท็บเล็ตเพียง 857 กรัม ถ้ารวมคีย์บอร์ดด้วยหนัก 1.2 กิโลกรัม
Latitude 5290 2-in-1 ใช้หน่วยประมวลผล Core 8th Generation, ใส่หน่วยความจำได้สูงสุด 16GB, พอร์ตเชื่อมต่อทั้ง USB 3.1 และ USB-C มีช่องเสียบซิมการ์ดและ microSD
ตัวอย่างการใช้งาน Latitude 5390 2-in-1 สำหรับคนทำงานในธุรกิจโรงแรม
Dell Latitude 5290
Latitude 5290 เป็นโน้ตบุ๊กขนาด 12.5" ที่เน้นความกะทัดรัด พกพาสะดวก น้ำหนักเบาเพียง 1.36 กิโลกรัม แต่มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 51Whr ที่สามารถใช้งานได้ยาวนาน มีระบบชาร์จเร็ว ExpressCharge ให้ในตัว
Latitude 5290 ใช้หน่วยประมวลผล Core 8th Generation รุ่นใหม่ล่าสุด มีพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน รองรับอินเทอร์เฟซหลากหลาย ตั้งแต่ USB 3.1, USB-C, HDMI, VGA, RJ-45 และช่องอ่านการ์ด microSD เครื่องมาพร้อมกับ Windows 10 Pro ครบถ้วนสำหรับการใช้งานในองค์กร
Dell Latitude 3490
Latitude 3490 เป็นโน้ตบุ๊กขนาดหน้าจอ 14" มาตรฐาน จุดเด่นคือราคาประหยัด แต่ก็มีคุณสมบัติและฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้มากมาย ตั้งแต่หน่วยประมวลผล Core 8th Generation รุ่นใหม่, พอร์ตเชื่อมต่อยืดหยุ่นหลากหลาย รองรับ VGA, HDMI, RJ-45, USB-A รวมถึง USB-C และสามารถคอนฟิกเพิ่มตัวสแกนลายนิ้วมือและช่องเสียบ microSIM
ตัวเครื่องภายนอกผ่านการทดสอบมาตรฐานทางการทหาร MIL-STD 810G มั่นใจในความทนทาน เลือกใส่แบตเตอรี่ได้สูงสุดขนาด 56Whr ใช้งานได้นาน 15 ชั่วโมง
ในแง่การบริหารจัดการ Latitude 3490 มาพร้อมซอฟต์แวร์ Dell Client Command Suite สำหรับจัดการเครื่องอัตโนมัติ
Comments
ได้ Lat 7280 มาใช้สด ๆ ร้อน ๆ เป็นคนแรก ๆ ของออฟฟิศ เห็นสวรรค์เลย เครื่องเดิมที่ใช้ ปัญหาหนักมาก ใช้ตัวนี ชีวิตเปลี่ยนเลย เร็วกว่า เบากว่า แบตอึดกว่า
หาซื้อได้ที่ไหนง่ายๆ หว่า
เคยซื้อจากร้านนี้ครับ สามารถสั่ง build ได้ด้วยครับ
https://www.2beshop.com/DELL-Latitude-7280.html
เขาก็ขายแบบใช้ส่วนตัวได้ใช่เปล่าครับ กลัวว่าจะขายแต่บริษัท เลยชอบไปมอง Lenovo ThinkPad หาซื้อง่ายดี
เคยซื้อตัวเดียวก็ซื้อได้ครับ ใครมาซื้อคงขาย แต่ถ้า Custom คงต้องคุยเป็นเคสๆ ไป
ส่วน ThinkPad สำหรับผมภาพลักษณ์ดูเหมือนว่ามันจะทนกว่า Dell แล้วก็มีความเป็นมืออาชีพมากกว่า
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
โดยส่วนตัว ใช้ทั้งสองยี่ห้อสลับกันมา 13 ปี ความเห็นกลับกันครับ
ถ้า ณ ปัจจุบันนี้ ให้กลับไปใช้ Thinkpad อีก คงไม่เอา
บรษัทผม ใช้ Thinkpad มาเกิน 10 ปีในไทยและต่างประเทศ ปัจจุบัน ทยอยเปลี่ยนเป็น Dell ครับ ผมเป็นผู้โชคดีคนแรกในไทย
Thinkpad และ Moto ในมือ Lenovo มีแต่จะถูกกลืนไปเรื่อยๆ นะ ผมว่า
เหมือนบริษัทแม่เข้ามายุ่งกับทีมออกแบบมากไป กลายเป็นคอมพ์+มือถือ ดาดๆ เข้าทุกวัน
เสียดายมาก
Thinkpad เมื่อก่อนใช่แน่ครับ ภาพลักษณ์ทนกว่า ดูมืออาชีพมากกว่า (หลายคนบอกว่า เป็นโน๊ตบุคของช่าง 55) สมัย IBM Thinkpad นี่ใช่แน่นอน พอมายุค Lenovo เทคมาสมัยแรกๆ ก็ยังดีอยู่ แต่มายุคนึงที่ Lenovo มาเปลี่ยนแปลงดีไซน์ ฟีเจอร์เด่นๆ และคุณภาพจนเปลี่ยนไปเยอะมาก มันก็ไม่เป็น Thinkpad ที่เคยรู้จักต่อไปแล้วล่ะครับ โครตเสียดายของเลย ของดีๆ ทำเสียหมด
อยากได้ Thinkpad นะ แต่ชอบบอดี้ยุคดั้งเดิมมากกว่า ส่วนคุณภาพก็ไม่ไว้ใจ Thinkpad รุ่นใหม่นี้เพราะมีเสียงลือมาเยอะว่าไม่ทนเท่าเดิม ถ้าให้ซื้อ ก็ซื้อ Latitude ต่อไปดีกว่า เพราะผมใช้มาสามตัวแล้ว คุณภาพดีคงเส้นคงวามากๆ ถึงภาพลักษณ์จะไม่ดูโก้เท่า Thinkpad แต่ใช้แล้วสบายใจ มั่นใจว่าซื้อแล้วดีแน่นอน เครื่องหน้าก็คงจะ Latitude เป็นเครื่องที่ 4 เหมือนเดิม
Lenovo คิดผิดมากที่ไม่รู้ว่าคนจะซื้อเครื่องระดับนี้เค้าต้องการอะไร
Dell สมัยนี้ก็ Reuse Body เอาตัว XPS มันทำ Latitude เห็นครั้งแรกตกใจเลย เหมือนมากแค่ทำคนละสี ถ้ามี trackpoint คงดี แต่ดันไม่มีเลยเหมือน XPS แทบทุกอย่างเลย
หาซื้อยากเหมือนเดิม เมื่อไรจะสั่งออนไลน์ได้
มีผู้ใช้ตามบ้านหลายคนที่อยากได้โน้ตบุ๊คกลุ่มธุรกิจ ถ้าวางขายหน้าร้านและซื้อได้ง่าย ผมเชื่อว่าคงมีคนสนใจมากขึ้น แม้ว่าราคาจะแพงกว่าโน้ตบุ๊คทั่วไปก็ตาม
เครื่อง Dell ที่ office ผมไม่ค่อยเห็นใครใช้ ตอนนี้ Asus Zenbook UX305 ถือเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของ office ผมเลยอ่ะ