หลายปีแล้วที่ Wiko แบรนด์สมาร์ทโฟนสายเลือดฝรั่งเศสเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย เน้นทำราคาตั้งแต่ 2,000 บาท ขึ้นไป แต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
ล่าสุด Wiko เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ Wiko View 2 Pro มากับดีไซน์ตามเทรนด์และสเปกที่พร้อมใช้งานทั่วไป
Wiko View 2 Pro มาพร้อมหน้าจอ Full Screen ขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด HD+ อัตราส่วน 19:9 ที่ให้พื้นที่การแสดงผลที่กว้างขึ้น และมี Notch screen หรือที่หลายคนเรียกว่ารอยแหว่ง ซึ่งฮิตเหลือเกินในสมาร์ทโฟนยุคนี้ วัสดุด้านหน้าเป็นกระจกแบบ 2.5D ส่วนกรอบตัวเครื่องเป็นโลหะ
ฝาหลังใช้วัสดุที่คล้ายกระจกที่มีความมันเงา ที่แม้จะให้ความรู้สึกพรีเมียม แต่ระหว่างหยิบจับก็เกิดรอยนิ้วมือ รวมถึงฝุ่นเกาะได้ง่ายเช่นกัน
กล้องด้านหลังมาพร้อมเลนส์คู่แนวตั้งที่นูนออกมาเล็กน้อย ถัดลงมาเป็นแฟลช Dual-tone LED และมีปุ่มสแกนลายนิ้วมือ
พอร์ทสำหรับชาร์จและโอนถ่ายข้อมูลเป็น USB 2.0 ที่ขนาบข้างด้วยลำโพงทั้งซ้ายและขวา ส่วนพอร์ทหูฟังขนาด 3.5 มม. ยังมีมาให้อยู่ในตำแหน่งขอบด้านบนของตัวเครื่อง
ด้านขวาของตัวเครื่องเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง กับปุ่ม Power/ปิดหน้าจอ
ถาดใส่ซิมอยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง รองรับซิมประเภท Nano SIM ได้ 2 ซิม แต่หากต้องการใส่ microSD card ก็จะใช้ได้แค่ซิมเดียวเท่านั้น
Wiko View 2 Pro ใช้ชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 450 แรม 4GB มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Android 8.0 Oreo เป็น Pure Android ที่เน้นความเรียบง่ายเพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลมากที่สุด ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะได้ไปต่อกับ Android เวอร์ชั่นถัดๆ ไป
ด้วยความเป็น Pure Android จึงแทบไม่มีฟีเจอร์ใดที่เป็นจุดเด่นนัก โดยภาพรวมจากการใช้งานทั่วไปเท่าที่ลองใช้ Facebook เลื่อน News Feed เร็วๆ ยังมีหน่วงอยู่บ้าง ขณะเดียวกันการเล่นเกมยอดนิยมอย่าง ROV ผมลองปรับคุณภาพกราฟิกเป็นระดับสูงทั้งหมด พบว่าค่าเฟรมเรตจะแกว่งๆ เล็กน้อย อยู่ระหว่าง 29-30 FPS ซึ่งประสิทธิภาพในระหว่างต่อสู้ก็ถือว่าทำได้ลื่นพอสมควร ยังไม่พบอาการหน่วงหรือสะดุด แต่ในขณะที่เราถือเล่นเกมอยู่นั้นมือข้างขวาจะบังเสียงที่ออกจากลำโพง ทำให้อรรถรสของเสียงที่ได้ยินลดลง
ข้อสังเกตอย่างหนึ่งว่าเวลาเล่นเกม ROV พื้นที่การแสดงผลจะถูกตัดแบ่งลงมาเล็กน้อยให้เป็น 16:9 ไม่กินพื้นที่ไปถึงรอยแหว่ง ส่วนการดูคลิปจาก YouTube พบว่าบางคลิปจะถูกกำหนดให้แสดงผลจนถึงรอยแหว่งแบบตายตัว แต่บางคลิปก็สามารถย่อขยายการแสดงผลให้เป็น 16:9 หรือแสดงผลแบบเต็มพื้นที่ 19:9 ก็ได้
อย่างที่ทราบกันดีว่าสมาร์ทโฟน Android สมัยใหม่ เพิ่ม Face Unlock หรือสแกนใบหน้า เข้ามาด้วย เพื่อช่วยในการปลดล็อกหน้าจอ นอกจากวิธีเดิมๆ เช่น การสแกนลายนิ้วมือ หรือการใส่รหัส ซึ่งระบบสแกนใบหน้าใน Wiko View 2 Pro เป็นแบบ 2D ที่จะจดจำเพียงใบหน้าตั้งตรงของเราเท่านั้น ซึ่งจากที่ทดลองใช้นั้นการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกหน้าจอสามารถทำได้แม้ในขณะหน้าจอดับอยู่ ซึ่งการปลดล็อกยังทำได้ไม่เร็วอย่างที่คาดหวัง ส่วนการใช้งานในที่แสงน้อยพบว่าหากใช้งานในห้องที่ยังมีแสงไฟผ่านเข้ามาบ้างก็ยังสามารถปลดล็อกได้ แต่บางครั้งก็มีอาการรวนๆ สแกนไม่ติดบ้าง
Wiko View 2 Pro มากับกล้องหลังคู่ความละเอียด 16 + 8 ล้านพิกเซล ซึ่งสามารถถ่ายปกติและภาพมุมกว้าง 120 องศาได้ รูรับแสง f/1.75 ช่วยถ่ายภาพในที่แสงน้อย และแฟลช Dual-tone LED
UI ของกล้องใช้งานไม่ยาก ในหน้าหลักสามารถเลือกเปิด-ปิดแฟลช, Auto-HDR, ปรับอัตราส่วนของภาพ, ฟิลเตอร์, เลือกโหมดถ่ายภาพมุมกว้าง, พาโนรามา, ถ่ายวีดีโอ, โหมด Live Artistic Blur และ Face Beautyนอกจากโหมดที่กล่าวมา ใน Wiko View 2 Pro ยังมีโหมดถ่ายภาพมืออาชีพ, Super Pixel, ถ่ายภาพกลางคืน รวมไปถึง Slow motion อีกด้วย
โหมดถ่ายมุมกว้าง : จะมีไอคอนรูปต้นไม้อยู่เหนือปุ่มชัตเตอร์ คอยสลับไปมาระหว่างการถ่ายปกติได้ง่าย เหมาะแก่การถ่ายภาพวิวทิวทัศน์ นอกจากนี้ในการใช้โหมดถ่ายภาพมุมกว้าง ระบบจะปรับไปใช้เลนส์ตัวรองที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โดยอัตโนมัติ ยิ่งไปกว่านั้นโหมดนี้ยังใช้ได้กับการถ่ายวีดีโอได้ด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายมุมปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายมุมกว้าง
Live Artistic Blur : โหมดสำหรับถ่ายภาพในลักษณะหน้าชัดหลังเบลอ สามารถปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ 0 - 100 เมื่อเลือกโหมดนี้จะมีข้อความกำกับว่าให้เราถ่ายภาพภายใน 2 เมตร ซึ่งเข้าใจว่าเป็นตัวช่วยที่ทำให้การถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอออกมาดีที่สุด
ตัวอย่างภาพจากโหมด Live Artistic Blur
ประสิทธิภาพโดยรวมกล้องหลังในช่วงกลางวันถือว่าค่อนข้างดี สีของภาพเป็นธรรมชาติ ในส่วนของการถ่ายภาพช่วงกลางคืนยังมี noise หรือจุดบนภาพเยอะพอสมควร แม้จะเปิดโหมดถ่ายภาพกลางคืนเข้าช่วย แต่เท่าที่สังเกตเห็น คือ ช่วยลด noise ลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เพิ่มความคมชัดให้มากขึ้นจากโหมดปกติแต่อย่างใด
ตัวอย่างภาพถ่ายกลางคืน
สำหรับกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ซึ่งใน UI หลักถอดแบบมาจากกล้องหลัง จะมีที่เพิ่มเข้ามา คือ Portrait Blur ว่ากันง่ายๆ เลย คือ โหมดถ่ายบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอที่สามารถปรับระดับความเบลอของฉากหลังได้ตั้งแต่ 0 - 100 เช่นเดียวกับโหมด Live Artistic Blur แต่โหมดนี้จะไม่สามารถใช้พร้อมกับโหมด Face Beauty ได้
ในแง่ของการใช้งานทั่วไป ไม่เน้นการใช้งานหนักๆ ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี ส่วนกล้องถ่ายภาพในมุมมองส่วนตัวคิดว่าการถ่ายภาพในสภาพแสงกลางวันยังทำได้ดี แต่การภาพในที่แสงน้อยยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง ซึ่งคุณภาพโดยรวมถือว่าพอรับได้กับราคา 7,990 บาท นอกจากนี้ในความเป็น Pure Android ทำให้ไม่มีแอพจากทาง Wiko หรืออื่นๆ ติดตั้งมาแต่แรก ช่วยลดปัญหาซอฟต์แวร์กินพื้นที่เก็บข้อมูลในเครื่อง ส่วนระบบปฏิบัติการ Android จะได้ไปต่อในเวอร์ชั่นถัดๆ ไปหรือไม่ ก็ต้องลุ้นกันครับ
Comments
รู้สึกติ่งแหว่ง มันใหญ่กว่ายี่ห้ออื่นเปล่าเนี่ย
7990 บาทกับ Snap 450 และจอ 720p
รีบผ่านอย่างไว ในตัวเลือกราคานี้ คู่แข่งตัวอื่นน่าสนกว่าเยอะมาก
ไม่รู้ทำไม Wiko กล้าตั้งราคานี้ สงสัยไม่เน้นขาย