เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น ทั้งในชีวิตประจำวันและในแง่การขับเคลื่อนธุรกิจ ปัจจุบันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีองค์กรไหนไม่พูดถึงเรื่องการใช้งานคลาวด์ ไม่ว่าจะ SMB, องค์กรขนาดใหญ่ ไปจนถึงภาครัฐก็ตาม
ถึงแม้คลาวด์จะมีการแข่งขันที่สูง แต่ VMWare ในฐานะผู้ให้บริการ Private และ Hybrid Cloud ยังคงสามารถรักษาการเติบโตและฐานะผู้ให้บริการชั้นนำในไทยได้ ด้วยรูปแบบการให้บริการผ่านพาร์ทเนอร์ (VMWare Cloud Provider Program) โดยหนึ่งในพาร์ทเนอร์ที่สำคัญได้แก่ TrueIDC ที่เติบโตมาพร้อมๆ กัน
Blognone ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณศุภรัตน์ ศิวะเพ็ชรานาถ สิงหรา ณ อยุธยา ตำแหน่ง Chief Product and Technology Officer และ คุณอมรินทร์ บุรินทร์กุล ตำแหน่ง Head of Commercial ของ TrueIDC ถึงการเป็นพาร์ทเนอร์กับ VMWare, ยุทธศาสตร์และเป้าหมาย ไปจนมุมมองต่อตลาดคลาวด์ในอนาคต
คุณศุภรัตน์เล่าให้ฟังว่า TrueIDC เริ่มต้นเป็นพาร์ทเนอร์กับ VMWare ช่วงปี 2010 จากการเห็นศักยภาพของ VMWare ทั้งในแง่ของการใช้งาน (adoption) ชื่อเสียงด้าน VM และเทคโนโลยีที่องค์กรส่วนใหญ่คุ้นเคย ทั้งสองฝ่ายร่วมพัฒนาปรับปรุงบริการและทำแผนกลยุทธต่างๆ มาตลอด และเมื่อเวลาผ่านมา 7-8 ปี TrueIDC ก็ยังคงมองว่า VMWare เป็นแบรนด์ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับแถวหน้าเช่นเดิม
ในแง่การเติบโต ตลาดคลาวด์ในไทยโตที่ราวๆ 22% เทียบเท่าต่างประเทศ ส่วนบริการ co-location ในไทยโตกว่าต่างประเทศเล็กน้อย ส่วนการเติบโตของ TrueIDC เป็นไปในรูปแบบของการให้บริการไฮบริดคลาวด์เป็นหลัก
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ TrueIDC และ VMWare เติบโตไปด้วยกันในฐานะผู้ให้บริการคลาวด์มีอยู่ 3 ปัจจัย ได้แก่
ดาต้าเซ็นเตอร์ของ TrueIDC มีแร็คและพื้นที่ใหญ่ที่สุดในไทย ที่สำคัญคือได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO ครบทั้ง 4 ใบได้แก่ ISO/IEC 20000-1, ISO 22301, ISO/IEC 27001 และ ISO/IEC 50001 รวมถึงได้รับการรับรองการออกแบบและการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลจาก Uptime Institute ในระดับ Tier III เรียกได้ว่าได้รับการรับรองและน่าเชื่อถือมากที่สุดในไทย
ส่วนกลยุทธปีนี้ TrueIDC จะพยายามให้ได้ใบรับรอง (certification) สำหรับให้บริการลูกค้ากลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินให้มากยิ่งขึ้น ให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของธนาคารและธนาคารแห่งประเทศไทย
นอกจากเรื่องมาตรฐานและความน่าเชื่อถือแล้ว ด้วยความที่ TrueIDC เป็นพาร์ทเนอร์กับ True Money ทำให้มีความเข้าใจธุรกิจฝั่งธนาคารและฟินเทคของลูกค้าลึกซึ้งกว่าเจ้าอื่น รวมไปถึงเข้าใจและมีประสบการณ์โดยตรงในกระบวนการย้ายข้อมูล (migration) ไม่ว่าจะจาก on-premise หรือจากคลาวด์ โดยคุณอมรินทร์เสริมว่า ทุกครั้งเวลาไปพูดคุยกับลูกค้าเรื่องแพลตฟอร์มของ VMWare ลุกค้ามีความมั่นใจและไว้วางใจทั้งในแง่ของความปลอดภัยและมาตรฐานการให้บริการ
คุณอมรินทร์เล่าว่าลูกค้าช่วงแรกๆ ของ TrueIDC คือผู้ให้บริการด้านคอนเทนต์ (Content Service) หรือผู้ให้บริการด้านเกม ซึ่งทาง TrueIDC ต้องวิ่งเข้าหาลูกค้าค่อนข้างมาก พยายามโน้มน้าวให้ลูกค้าย้ายบางบริการขึ้นคลาวด์ รวมถึงต้องอธิบายว่าคลาวด์คืออะไร ตรงข้ามกับปัจจุบัน โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีต้องอธิบายแล้ว ขณะที่โซลูชันที่ลูกค้าซื้อ คือย้ายบริการทั้งหมดบนดาต้าเซ็นเตอร์ขึ้นคลาวด์ไปเลย
ปัจจุบันลูกค้าครอบคลุมหมดตั้งแต่องค์กรภาคเอกชนขนาดใหญ่ ขนาดกลางไปจนถึงภาครัฐ โดยธุรกิจขนาดใหญ่ใหม่ๆ ที่เข้ามามีทั้งอีคอมเมิร์ซและอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้ากลุ่มแรกๆ ที่เริ่มใช้งานคลาวด์คือธนาคาร, สถาบันการเงินต่างๆ และอีคอมเมิร์ซ
คุณศุภรัตน์มองว่า การให้บริการคลาวด์ (ไฮบริดคลาวด์) และ Colocation ในอีก 2-3 ปีจะเปลี่ยนจากเทรนด์กลายเป็นเหมือนสินค้าทั่วไป (commodity) และเป็นมาตรฐานทั่วไปขององค์กร (norm) เพราะทุกคนจะเข้าใจคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีมาตรฐานควรจะเป็นอย่างไร ส่วนคู่แข่งก็จะเริ่มเยอะขึ้นทั้งบริษัทไทยและต่างประเทศ
ขณะเดียวกันเมื่อพูดถึงสภาพพื้นฐานเศรษบกิจในไทย ไม่ได้มีแนวโน้มจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ (New Industry) หรือมีผู้เล่นรายใหม่ๆ โผล่ขึ้น (New Player) ทั้งอุตสาหกรรมและผู้เล่นในภาคส่วนต่างๆ จะยังเหมือนเดิมไม่ว่าจะธนาคาร, พลังงานหรือ Telco และยิ่งมีตัวเลือกผู้ให้บริการคลาวด์เพิ่ม TrueIDC จึงเล็งที่จะเพิ่มคุณค่าในฐานะผู้ให้บริการทั้ง Local Service, Professional Service และ Migration Service
TrueIDC มองด้วยว่าเทคโนโลยี OpenStack และ OpenShift น่าจะเริ่มถูกนำมาใช้งานในไทยในอีก 2-3 ปีข้างหน้า โดยธนาคารจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ใช้งาน ซึ่งทั้ง OpenStack และ OpenShift สามารถนำมาใช้งานบนโซลูชันของ VMWare ได้ ประกอบกับกระบวนการ DevOps ของธนาคารยังคงอยู่บน VMWare
ดังนั้นในมุมของ TrueIDC ชื่อของ VMWare จะยังคงน่าเชื่อถือเช่นเดิม และดึงดูดลูกค้าได้ต่อไปในแง่ของความเข้ากันใน (compatible) ของ Technology Stack