สนามบิน JFK ใน New York ประเทศสหรัฐอเมริกาเริ่มนำเอาเครื่อง CT scan มาใช้เพื่อการตรวจกระเป๋าที่ผู้โดยสารต้องการถือขึ้นในห้องโดยสาร ทั้งนี้การใช้เครื่อง CT scan จะช่วยให้ตรวจหาวัตถุระเบิดได้ง่ายขึ้น และอาจเอื้อให้มีการปรับเปลี่ยนยกเลิกข้อห้ามการพกภาชนะบรรจุของเหลวขึ้นเครื่องบินได้ในอนาคต
ในปัจจุบันนี้ วิธีการตรวจสิ่งของในกระเป๋าที่ใช้กันทั่วไปคือการนำกระเป๋าผ่านเข้าในเครื่องถ่ายภาพด้วยรังสี X ซึ่งจะให้ภาพ 2 มิติ แต่การเริ่มนำเอาเครื่อง CT scan มาใช้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่เห็นภาพวัตถุสิ่งของในกระเป๋าได้เป็นภาพโมเดล 3 มิติ ซ้ำยังสามารถตรวจหาสารที่เป็นวัตถุระเบิดได้เร็วขึ้น และตรวจหาสารได้หลากหลายชนิดกว่าเดิมด้วย
David Pekoske เจ้าหน้าที่ TSA ให้ความเห็นเรื่องการนำเอาเครื่อง CT scan มาใช้ว่าจะช่วยประหยัดเวลาผู้โดยสารให้ผ่านกระบวนการตรวจสัมภาระได้รวดเร็วขึ้น และเชื่อว่าในช่วงเวลาอีก 5 ปีข้างหน้า เมื่อมาตรการตรวจสอบกระเป๋าด้วยเครื่อง CT scan ถูกนำมาใช้โดยทั่วไปแล้ว ผู้โดยสารอาจจะไม่ต้องเอาวัตถุต้องสงสัยจำพวกเจล, ครีม, ของเหลว หรืออุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ออกจากกระเป๋ามาทิ้งอีกต่อไป
ทาง TSA ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่องความปลอดภัยในสนามบินได้ทดสอบใช้งานเครื่อง CT scan อยู่ในขณะนี้ 8 เครื่อง ซึ่งได้รับบริจาคมาจากสายการบิน American Airlines ทั้งนี้ทาง TSA จะสั่งซื้อเครื่อง CT scan มาใช้งานเพิ่มเติมเป็น 15 เครื่องกระจายติดตั้งตามสนามบินต่างๆ ภายในปีนี้ และปีหน้าก็จะสั่งซื้อเครื่อง CT scan เพิ่มเติมอีก 240 เครื่อง
ที่มา - American Airlines via Engadget
Comments
หมายความว่าไง พอใช้เครื่องนี้แล้วไม่จำเป็นต้องเอาของเหลวไปทิ้ง
แสดงว่าที่ผ่านมาเอาขึ้นไม่ได้เพราะเครื่องตรวจไม่ได้ว่่างั้น ก็เลยตัดปัญหาทิ้งๆไปเลย
ก็ต้องทิ้งแหละครับไม่งั้นแถวไม่ขยับพอดี ทุกวันนี้แถวตรวจก็ยาวมากอยู่แล้ว จะให้มานั่งตรวจของเหลวแบบละเอียดก็ไม่ต้องบินกันแล้วล่ะครับ
ที่ต้องทิ้งเพราะว่าตรวจไม่ได้ไงครับ หรือได้แต่ต้องใช้เวลานาน แต่เค้าก็อนุญาตให้โหลดใส่กระเป๋าไว้ใต้ม้องเครื่องได้ไม่จำกัดนะครับ
สันนิษฐานว่าเพราะน้ำรบกวนสัญญาณแล้วทำให้ตรวจของที่ซ่อนข้างในได้ แต่ถ้าใส่ใต้ท้องเครื่องจะใช้อีกเครื่องสแกนซึ่งตรวจได้ละเอียดกว่า
เท่าที่จำได้ ไอ้กฎที่ห้ามเอาของเหลวขึ้นเครื่องมันมาจากตอนนั้นมีความพยายามที่จะใช้ระเบิดเหลววางระเบิดเครื่องบินครับ เค้าเลยห้าม
น่าจะเป็นอันนี้ https://en.wikipedia.org/wiki/2006_Transatlantic_aircraft_plot
พึ่งรู้เหรอครับ ที่จริงมันก็ตรวจได้ล่ะแต่อาจจะต้องไปก่อนเวลาก่อนประมาณ 3-4 ชม. ต่อแถว
แนะนำให้มาดูงานพี่ยาม BTS,MRT ครับ
ไฟฉายส่องทะลุได้ทุกอย่าง
เร็วด้วย ต่อคนนี่ 0.75 วินาที
อันนั้นเรียกว่า Ignore มากกว่าครับ ตรวจผ่านๆ ก็ไปได้ อันตรายกว่ามาก
เว้นแต่จะใช้ X-Ray Gate แบบที่ตรวจหาของผิดกฎหมายตามรถยนต์ แต่ใช้กับคนแทน ทำสัก 3-4 Gates ก็ช่วยแก้ปัญหาคนกระจุกกันเป็นคอขวดได้แล้ว ไม่ต้องใช้คนตรวจด้วย มีแค่เจ้าหน้าทีรอตรงทางออก Gate กรณีพบความผิดปกติ
ปล. ควรจะมีเครื่องจำหน่ายบัตร/ตั๋วนอกสถานีได้แล้ว ติดตั้งตรงทางเข้าหรือทางขึ้นสถานีก็ได้ และอย่าลืมรองรับบัตรเครดิต/เดบิต, NFC/RFID กับธนบัตรและเหรียญด้วย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
อันนั้นคือที่อยากสื่อแหละครับ
ไม่มีประสิทธิภาพใดๆแต่ยังคงมายืนตรวจอยู่
แน่นอนครับ
https://www.youtube.com/watch?v=NByHC_ThTUQ
ผมเข้าใจว่าในทางปฏิบัติคือ เชื่อว่าไม่มีเหตุเป็นหลัก
ปรามๆ ในเชิงมือบอน ซน อะไรทำนองนี้นะครับ
แต่มันจะมีอีกระดับ (เวลามีข่าวกรอง หรือมีอะไรที่ทำให้ Risk สูงขึ้นเป็นพิเศษกว่าสถานการณ์ปกติ) มันจะมีวันแบบนั้นบ้างที่ ตรวจเข้มเป็นพิเศษ (มากกว่าแค่ตรวจเป็นพิธี)
เพราะถึงขั้นจารกรรมหรือพลีชีพจริงๆ บ้านเราก็ไม่ค่อย Prevent อะไรแบบนั้น (Security & Safety mindset เข้าขั้นบางเฉียบ) ... แต่ถ้าเหตุอื่นๆที่ดูน่าสงสัย ก็มีระบบกล้อง และมีมอนิเตอร์ดูการวางของในที่ประหลาด การทิ้งของไว้ในโซนนั้น ค่อนข้างไว
ไม่เชื่อลองเอากระเป๋าวางลืมไว้แล้วเดินหายไปสักพัก ไม่กี่นาทีเท่านั้นล่ะ (อย่าไปลองเน้อ ล้อเล่น)
ไอ้สิ่งนี้ มันก็คือ CTX ที่สุวรรณภูมิสแกนกระเป๋าโหลดใต้เครื่องอยู่แล้วนี่ครับ
จะเอามาใช้กับ hand carry เพิ่มเหรอ
หรือผมเข้าใจผิด