กลุ่มผู้สร้างสรรค์ผลงานในฮอลลีวูดทำจดหมายเปิดผนึกถึงสำนักงานนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของทำเนียบขาว (OSTP) เพื่อให้ทบทวนนโยบายแผนปฏิบัติการด้าน AI (U.S. AI Action Plan) ซึ่ง OpenAI และ Google ได้ยื่นข้อเสนอ ให้ลดความเข้มงวดในการนำข้อมูลเนื้อหาลิขสิทธิ์มาใช้ฝึกฝนข้อมูล
ก่อนหน้านี้ OSTP ได้เปิดรับฟังความเห็นจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ซึ่งมีหลายประเด็นข้อเสนอจาก OpenAI และ Google โดยมีประเด็นพูดถึงการเปิดให้เข้าถึงข้อมูลเนื้อหาเพื่อการฝึกฝน AI อย่างยุติธรรม ซึ่งรวมถึงเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ด้วย
กลุ่มบริษัทเทคโนโลยีฝั่งยุโรปกว่า 100 องค์กร รวมตัวกันในชื่อ EuroStack เขียนจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้รัฐบาลยุโรป เข้ามาลงทุนในเทคโนโลยีของยุโรปเอง เพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีของต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐ
EuroStack เป็นชื่อเรียกกว้างๆ ที่มีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ระดับฮาร์ดแวร์ (ลงไปถึงระดับชิป) ซอฟต์แวร์ และบริการออนไลน์ต่างๆ ว่ายุโรปควรทำได้เอง ถึงแม้ในเอกสารข้อเสนอไม่ได้ระบุชื่อแบรนด์มากนัก แต่กรณีตัวอย่างคือรัฐบาลยุโรปควรหาโมเดลแหล่งทุนสนับสนุนเบราว์เซอร์ในยุโรป เพื่อไม่ให้ต้องพึ่งพารายได้จากโฆษณาของกูเกิล เป็นต้น
นอกจาก OpenAI แล้ว กูเกิลก็ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลสหรัฐเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการด้าน AI (U.S. AI Action Plan) เช่นกัน โดยบอกว่า AI นั้นไม่ใช่เพียงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความก้าวหน้าของวิธีสร้างความก้าวหน้าในสิ่งต่าง ๆ ด้วย
กูเกิลบอกว่าในวันนี้เราเห็นแล้วว่า AI ช่วยปฏิบัติวงการวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพได้มาก เพิ่มการค้นพบในสิ่งใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงหลายอย่างด้านเศรษฐกิจ เมื่อเป็นโอกาสที่มีมหาศาล กูเกิลจึงเรียกร้องให้มีระเบียบกำกับดูแลที่เหมาะสม ส่งเสริมให้อเมริกายังคงความเป็นผู้นำด้านนี้
กูเกิลให้ข้อเสนอ 3 ข้อ ดังนี้
OpenAI ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลสหรัฐเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการด้าน AI (U.S. AI Action Plan) โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความสามารถ และใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างอิสระ ซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วย
OpenAI บอกว่าข้อเสนอนี้เพื่อส่งเสริมให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์ ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ รักษาความสามารถในการแข่งขันได้ มีประเด็นสำคัญดังนี้
หลังจาก Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พยายามกดดันให้ยูเครนยอมรับข้อตกลงหยุดยิงด้วยการหยุดความช่วยเหลือด้านต่างๆ สิ่งหนึ่งที่หยุดไปด้วยคือการส่งอัพเดตต่างๆ ให้กับยุทโธปกรณ์ที่ส่งมอบไปแล้ว หนึ่งในนั้นคือเครื่องรบกวนเรดาร์ AN/ALQ-131 ที่ติดตั้งในเครื่องบิน F16
AN/ALQ-131 มีความสามารถในการส่งคลื่นรบกวนจนเรดาร์ของรัสเซียใช้การไม่ได้ อย่างไรก็ดีในสนามรบจริงนั้นฝั่งรัสเซียก็มีการปรับคลื่นความถี่หนีไปมา โดยที่ผ่านมากองทัพสหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือด้วยการปรับความถี่ให้กองทัพยูเครนเรื่อยมา แต่หลังจากทรัมป์สั่งหยุดความช่วยเหลือ การปรับแต่งส่วนนี้ก็หยุดไป
ยูเครนเสียเครื่องบินรบจำนวนมากในช่วงแรกของสงคราม เพราะไม่มีระบบรบกวนเรดาร์ยุคใหม่ใช้งาน
ประเด็น TikTok ในสหรัฐอเมริกานั้นยังไม่จบ เพราะประธานาธิบดี Donald Trump ลงคำสั่งเลื่อนการแบนแอปในประเทศออกไป 75 วัน เท่านั้น แต่กฎหมายยังคงมีผล โดย TikTok ต้องขายธุรกิจในอเมริกาออกมา ซึ่งเวลาก็เหลือไม่มากแล้ว
ล่าสุด Trump เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวขณะเดินทางกลับไปวอชิงตันดีซีบนเครื่องบิน Air Force One ว่าดีลขายธุรกิจ TikTok ในอเมริกาน่าจะเกิดขึ้นแน่อีกไม่นาน โดยตอนนี้ฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐได้เจรจากับผู้สนใจซึ่งมีอยู่ 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีหลายบริษัท-บุคคลรวมอยู่ ซึ่งเป็นรายไหนก็ดีทั้งสิ้น
Mat Piscatella นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเกมของ Circana (NPD เดิม) โพสต์แสดงความเห็นเรื่องผลกระทบของนโยบายกำแพงภาษี Donald Trump ต่ออุตสาหกรรมเกมในสหรัฐว่า จะทำให้ต้นทุนเกมแบบแผ่นดิสก์นั้นแพงขึ้น เพราะแหล่งผลิตเกมแผ่นอยู่ในเม็กซิโก ซึ่งจะโดนกำแพงภาษีเพิ่ม 25%
เขาคาดว่าผู้ขายเกมจะต้องขึ้นราคาเกมแบบแผ่นดิสก์ตามภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เกมแบบดิจิทัลแพงขึ้นตามไปด้วย (ตามนโยบาย price parity เกมแบบแผ่นกับดิจิทัลต้องราคาเท่ากันเสมอ)
The Wall Street Journal อ้างแหล่งข่าวภายในทำเนียบขาว บอกว่าฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี Donald Trump กำลังประเมินว่าต้องออกคำสั่งบล็อก DeepSeek ในอุปกรณ์ของรัฐบาลหรือไม่ ด้วยเหตุผลเรื่องความมั่นคง เนื่องจากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนพอจาก DeepSeek ว่าแชทบอตนั้นเก็บข้อมูลอะไรจากผู้ใช้งานไป และพวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลใดได้บ้าง
แนวทางเบื้องต้นคือการออกคำสั่งห้ามดาวน์โหลดแอป DeepSeek ในอุปกรณ์ของรัฐบาล แต่หากต้องจำกัดมากกว่านั้น อาจยกระดับไปถึงการแบนแอป DeepSeek จากแอปสโตร์ และจำกัดที่ระดับผู้ให้บริการคลาวด์ในอเมริกา ว่าสามารถให้บริการโมเดล AI ใดของ DeepSeek ได้บ้าง
ประธานาธิบดี Donald Trump ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) จัดตั้งกองทุนสำรองบิตคอยน์โดยเฉพาะ โดยบิตคอยน์ที่อยู่ในกองทุนนี้เป็นส่วนที่ยึดทรัพย์มากจากคดีต่าง ๆ ไม่ได้นำงบประมาณมาซื้อ
คาดว่าบิตคอยน์ส่วนที่ควบคุมโดยรัฐบาลสหรัฐนี้มีประมาณ 200,000 BTC ซึ่งคำสั่งนี้กำหนดให้รัฐบาลมีอำนาจควบคุมบิตคอยน์นี้ ห้ามขายออกมา ให้ถือเป็นการสะสมความมั่งคั่งของประเทศ กำกับดูแลโดยกระทรวงการคลัง คาดว่าจะมีผลกับเงินคริปโตสกุลอื่นที่ยึดทรัพย์ทางคดีด้วย ตามแผนที่ Trump เคยบอกก่อนหน้านี้
ประเด็นที่ต้องหารือกันจากนี้คือการเพิ่มเงินคริปโตสกุลอื่นให้เข้าแผนกองทุนสำรอง เบื้องต้นคือ ETH, XRP, SOL, ADA และจะมีเงินสกุลอื่นอีกหรือไม่ในอนาคต
ประธานาธิบดี Donald Trump แถลงนโยบายต่อรัฐสภาของสหรัฐเมื่อคืนนี้ และมีประเด็นแตะเรื่องกฎหมาย CHIPS Act ส่งเสริมการตั้งโรงงานผลิตชิปบนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ออกในปี 2022 ยุครัฐบาล Joe Biden ว่าเป็นกฎหมายที่แย่มาก (horrible)
Trump ใช้คำว่า “Your CHIPS Act is a horrible, horrible thing” บอกว่ารัฐบาลต้องใช้เงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปอย่างไม่เกิดประโยชน์ บริษัทผู้ผลิตชิปรับเงินไปแต่ไม่ใช้งาน และเอาเข้าจริงแล้ว สหรัฐไม่จำเป็นต้องให้เงินจูงใจบริษัทชิปมาตั้งโรงงาน เพราะบริษัทเหล่านี้ต้องเข้ามาเองอยู่แล้วเพื่อเลี่ยงกำแพงภาษี
รัฐบาลมณฑลออนทาริโอของแคนาดา ยกเลิกสัญญา Starlink มูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ เป็นการตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต่อแคนาดา
สัญญาฉบับนี้เซ็นเมื่อปี 2024 โดยมณฑลออนทาริโอ จะสั่งจานดาวเทียม Starlink เพื่อให้บ้านหรือธุรกิจในพื้นที่ห่างไกล 15,000 แห่งมีอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมใช้งาน แต่ล่าสุดสัญญาฉบับนี้ยกเลิกไปแล้ว หลังรัฐบาล Donald Trump ขี้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดา ทำให้ฝั่งแคนาดาต้องตอบโต้บ้าง นอกจากการยกเลิกสัญญา Starlink แล้ว มณฑลออนทาริโอยังแบนไม่ให้บริษัทสัญชาติอเมริกันเข้ามารับงานจ้างของรัฐบาลด้วย
ที่มา - CBC
TSMC ประกาศเพิ่มการลงทุนโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ในสหรัฐอเมริกาอีก 100,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันมีแผนการลงทุนอยู่แล้ว 65,000 ล้านดอลลาร์ โดยการลงทุนนี้จะเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหลายปี ผ่านการสร้างโรงงานเพิ่มเติมในรัฐแอริโซนาอีก 3 แห่ง เป็นโรงงานชิปแพ็คเกจจิ้ง 2 แห่ง และอีกแห่งเป็นศูนย์วิจัยพัฒนา ถือเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดจากบริษัทต่างประเทศในสหรัฐอเมริกาโครงการหนึ่ง
C.C. Wei ซีอีโอ TSMC แถลงแผนการลงทุนนี้ที่ทำเนียบขาวร่วมกับประธานาธิบดี Donald Trump โดยเขาบอกว่า การสร้างโรงงานชิปในอเมริกานั้นมาจากวิสัยทัศน์ของ Trump ตั้งแต่ปี 2020 ตอนนี้ทุกอย่างเป็นจริงแล้ว ส่วน Trump บอกว่าเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 21 มีบทบาทตั้งแต่ AI ไปจนถึงยานยนต์ ไปจนถึงอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง ชิปที่จำเป็นนี้ต้องถูกผลิตจากโรงงานในอเมริกา ด้วยทักษะและแรงงานในอเมริกา นั่นคือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
ในยุคที่ DOGE ครองเมือง (ครองจริงๆ) เอาเข้าจริงแล้ว รัฐบาลสหรัฐมีหน่วยงานลักษณะเดียวกันชื่อ 18F ก่อตั้งในปี 2014 ยุครัฐบาลบารัค โอบามา เป็นหน่วยงานย่อยภายใต้สำนักบริหารงานทั่วไป (General Services Administration หรือ GSA) ของรัฐบาล (ชื่อ 18F มาจากที่ตั้งของสำนักงาน ที่หัวมุมถนน 18th และ F ในวอชิงตันดีซี)
18F เป็นทีมขนาดเล็ก (ประมาณ 90 คน) มีภารกิจเข้าไปช่วยหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ สร้างเทคโนโลยีที่จำเป็น ตัวอย่างผลงานสำคัญคือ login.gov บริการล็อกอินกลางของภาครัฐ, ระบบดีไซน์กลางของเว็บไซต์ภาครัฐ, Analytics.usa.gov ระบบวิเคราะห์ข้อมูลคนเข้าเว็บของรัฐบาล (ผลงานอื่นๆ อ่านใน Wikipedia)
ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศเดินหน้าแผนการตั้งกองทุนสำรองของสหรัฐที่เป็นเงินคริปโต โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารให้กำหนดแผนการสำรองเงินคริปโตในสกุลต่าง ๆ มีเป้าหมายให้อเมริกาเป็นเมืองหลวงของเงินคริปโต
เงินคริปโตที่ระบุว่าอยู่ในแผนทุนสำรองของสหรัฐได้แก่ Bitcoin, ETH, XRP, SOL และ ADA
ประกาศนี้ทำให้ราคาเงินคริปโตในสกุลที่กล่าวมาปรับเพิ่มขึ้นสูงทันที Bitcoin ปรับเพิ่ม 10% อยู่ที่ระดับ 94,000 ดอลลาร์, XRP +33%, ETH +14%, SOL +25% และ ADA +65%
ฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีกำหนดเวลาศึกษาแผนการตั้งกองทุนสำรองคริปโตใน 6 เดือน ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
การตั้งหน่วยงาน Department of Government Efficiency หรือ DOGE ของรัฐบาล Donald Trump เป็นการโอนหน่วยงานเดิมที่มีอยู่แล้วคือ หน่วยบริการดิจิทัลภาครัฐ United States Digital Service (USDS) มาเปลี่ยนชื่อเป็น United States DOGE Service
จากการเข้ามาบริหารของ Elon Musk ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดมีพนักงานของ USDS เดิมจำนวน 21 ราย ยื่นใบลาออกต่อหัวหน้าคณะทำงาน (Chief of Staff) ของทำเนียบขาวแล้ว โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการนำความเชี่ยวชาญของตัวเองไปสนับสนุนภารกิจของ DOGE ซึ่งเป็นการทำลายระบบไอทีของรัฐบาล ทำให้ข้อมูลส่วนตัวของชาวอเมริกันตกอยู่ในความเสี่ยง และยกเลิกบริการภาครัฐที่สำคัญ
แอปเปิลประกาศแผนการลงทุนในสหรัฐอเมริกา ซึ่งระดับแอปเปิลก็จัดชุดใหญ่บนวงเงิน 5 แสนล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า โดยแอปเปิลบอกว่าเพื่อรองรับนวัตกรรมใหม่ที่คิดค้นจากอเมริกา โรงงานการผลิตขั้นสูง และโอกาสใหม่ที่มาจากปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ซึ่งต้องการแรงงานทักษะฝีมือจำนวนมาก
แผนการลงทุนมูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ของแอปเปิลนี้ มีทั้งการสร้างโรงงานการผลิตขั้นสูงในเมืองฮูสตัน รัฐเท็กซัส เพื่อผลิตเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้กับ Apple Intelligence แอปเปิลยังเพิ่มเงินสนับสนุในกองทุนการผลิตขั้นสูง สำหรับสถาบันผลิตบุคลากรรุ่นใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองมิชิแกน รวมทั้งเพิ่มการลงทุนในการวิจัยพัฒนาเพื่อรองรับเทคโนโลยีใหม่รวมทั้งวิศวกรรมซิลิคอน
เหตุการณ์ประท้วง Elon Musk/Tesla ในสหรัฐอเมริกา เริ่มรุนแรงมากขึ้น โดยโชว์รูมของ Tesla แห่งหนึ่งที่เมือง Salem ในรัฐโอริกอน ถูกทุบกระจก มีเสียงยิงปืน และมีรถยนต์ถูกเผาทำลายอย่างน้อยหนึ่งคัน
ตำรวจท้องถิ่นของเมือง Salem เข้ามาสืบสวนเหตุการณ์นี้แล้ว และขอให้ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ติดต่อไปยังตำรวจเพื่อให้ข้อมูล
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2025 ยังมีโชว์รูมอีกแห่งในรัฐโคโลราโด ถูกสเปรย์พ่นกระจกเป็นคำว่า Nazi Caps (หมายถึงท่านาซีของ Elon) และรถ Cybertruck ที่จอดอยู่ด้านหน้าก็ถูกพ่นสีเป็นตัว X ด้วย
Jason Chen ซีอีโอของ Acer ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The Telegraph ของอังกฤษ เตือนว่าราคาโน้ตบุ๊กในสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เป็นผลมาจากการขึ้นกำแพงภาษีของ Donald Trump กับสินค้าที่ผลิตในประเทศจีน
กำแพงภาษีของ Trump มีผลกับสินค้าที่นำเข้าสหรัฐอเมริกาหลังวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งสินค้าเก่าในสต๊อกจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีนี้ และต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าเราจะได้เห็นสินค้าล็อตใหม่ที่ขึ้นราคาตามกำแพงภาษี
Acer ถือเป็นผู้ผลิตพีซีรายแรกที่ออกมายอมรับเรื่องนี้ตรงๆ แต่แบรนด์อื่นๆ ก็น่าจะขึ้นราคาแบบเดียวกันตามมา ในกระทู้ Reddit เริ่มมีผู้ใช้บางรายบอกว่าขอใบเสนอราคาสินค้าจาก Dell และได้รับข้อเสนอเป็นราคาใหม่ที่แพงขึ้น 20% แล้ว
เกิดกระแสการประท้วง Tesla (จริงๆ ต้องบอกว่าประท้วง Elon Musk) หน้าโชว์รูมทั่วสหรัฐอเมริกา โดยกลุ่มผู้ประท้วงใช้แท็ก #TeslaTakeover ก่อตัวมาสักพักแล้วในโซเชียล BlueSky (คนที่หนี Elon ไปจาก Twitter/X) ถึงแม้มีจำนวนยังไม่เยอะมาก แต่เกิดขึ้นในหลายเมืองทั่วอเมริกา
กระแสการประท้วงเกิดจากแนวทางของ Elon Musk ที่เข้าไปนั่งเป็นหัวหน้า Department of Government Efficiency (DOGE) ในรัฐบาล Donald Trump และตัดงบประมาณ ยุบโครงการหลายอย่างที่สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มประท้วง จึงออกมาโชว์ป้ายต่อต้าน เช่น “Don’t buy swasticars” หรือ "Dogs Against Doge" เป็นต้น
มีรายงานว่าฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี Donald Trump ได้พูดคุยกับ TSMC เพื่อขอให้เข้ามาซื้อหุ้นส่วนธุรกิจโรงงานผลิตชิปของอินเทล ซึ่งเบื้องต้นทาง TSMC ตอบรับข้อเสนอนี้ แต่ขึ้นอยู่กับฝั่งอินเทลว่าจะขายหรือไม่
แนวทางที่ฝ่ายบริหารต้องการคือ TSMC จะไม่ถือหุ้นทั้งหมด แต่ให้บริษัทร่วมทุนของอเมริกาเข้ามาร่วมถือหุ้นด้วย เพื่อให้โรงงานผลิตชิปยังเป็นของอเมริกา อย่างไรก็ตามข้อเสนอทั้งหมดนี้ยังเป็นขั้นเริ่มต้นเท่านั้น จึงมีโอกาสไม่เกิดขึ้น
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว C.C. Wei ซีอีโอของ TSMC ตอบคำถามจากนักวิเคราะห์ว่ามีโอกาสที่ TSMC จะซื้อโรงงานของอินเทลหรือไม่ ซึ่งคำตอบเวลานั้นคือไม่สนใจเลย
แอป TikTok กลับมาให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store ของ iOS และ Play Store ของ Android ในสหรัฐอเมริกาแล้ว หลังจากแอปถูกนำออกจากสโตร์ไปตั้งแต่ 19 มกราคม
ช่วงที่ผ่านมาแม้ประธานาธิบดี Donald Trump จะออกคำสั่งเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายออกไป 75 วัน ทำให้แพลตฟอร์มสามารถเข้าถึงได้เหมือนเดิมในอเมริกา แต่ทั้ง App Store และ Play Store ก็เลือกไม่นำแอปกลับมาโดยไม่ได้ชี้แจงสาเหตุ แต่คาดเดาว่าเพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องในอนาคต อย่างไรก็ตามทั้งสองแพลตฟอร์มก็กลับมาให้ดาวน์โหลด TikTok ได้แล้วในที่สุด
การประกาศโครงการ Stargate ที่จะสร้างศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ AI มูลค่า 5 แสนล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดี Donald Trump โดยมี OpenAI, SoftBank และ Oracle เป็นผู้ลงทุนกลุ่มแรก อาจสร้างคำถามหากติดตามข่าวการเมืองสหรัฐ ว่าทำไมไม่มี Elon Musk อยู่ในสมการนี้ด้วย เพราะเขาทั้งเป็นผู้บริจาคเงินรายใหญ่ให้พรรครีพับลิกัน 250 ล้านดอลลาร์ และเป็นหัวหน้าฝ่าย DOGE ที่เข้ามาปฏิรูประบบราชการสหรัฐ
New York Times มีรายงานที่มาของโครงการ Stargate และการเจรจากับ Sam Altman ซีอีโอ OpenAI กับ Trump ที่ทำให้เขาตอบตกลงสนับสนุนโครงการนี้
เงียบหายหลายวัน เรื่องราวของ TikTok ในอเมริกา ก็มีประเด็นใหม่อีกครั้ง โดยหลังจากประธานาธิบดี Donald Trump ออกคำสั่งเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายแบน TikTok ออกไปก่อน ทำให้ TikTok เริ่มใช้งานได้เหมือนเดิมในอเมริกา แต่ฝั่งสโตร์ทั้ง App Store และ Play Store ในอเมริกา ยังไม่นำแอป TikTok กลับมาให้ดาวน์โหลด โดยทั้งแอปเปิลและกูเกิลไม่ได้ให้เหตุผลเป็นทางการ แต่คาดเดาว่าเพื่อป้องกันการถูกฟ้องร้องหากเกิดปัญหาในภายหลัง
หน่วยงานกำกับดูแลการแข่งขันของรัฐบาลจีน (State Administration for Market Regulation หรือตัวย่อ SAMR) ประกาศสอบสวนกูเกิล โดยให้เหตุผลว่าละเมิดกฎหมายด้านการผูกขาดของจีน
ข้อมูลบนหน้าเว็บของ SAMR มีเพียงเท่านี้ ยังไม่มีรายละเอียดว่ากูเกิลไปละเมิดกฎหมายผูกขาดของจีนอย่างไร แถมกูเกิลเองก็ถอนตัวจากธุรกิจเกือบทั้งหมดในจีนมาตั้งแต่ปี 2010 แล้ว แม้ยังมีธุรกิจบางส่วนเหลืออยู่บ้าง เช่น ธุรกิจโฆษณา และธุรกิจคลาวด์
ประกาศสอบสวนกูเกิลในข้อหาผูกขาด มาพร้อมกับประกาศของรัฐบาลจีนที่ตอบโต้รัฐบาลสหรัฐของ Donald Trump ขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 10% โดยฝั่งจีนขึ้นภาษีกลับ 10-15% ทำให้สื่อตะวันตกมองว่าการเข้ามาสอบสวนกูเกิล น่าจะเป็นหนึ่งในมาตรการโต้ตอบสหรัฐอเมริกา
หลัง Donald Trump รับตำแหน่งประธานาธิบดี และเซ็นคำสั่งบริหารห้ามหน่วยงานของรัฐบาลระบุเพศ LGBTQ+ ให้เหลือเฉพาะเพศชายและหญิงเท่านั้น