เปิดตัวในเมืองไทยไปแล้วสำหรับ Huawei Nova 3 ในราคา 16,990 บาท สมาร์ทโฟนระดับกลาง ที่มาพร้อมชิปประมวลผลระดับเรือธง และดีไซน์ด้านหลังที่เงางาม สะท้อนแสง สวยหรูไม่แพ้เรือธงอย่าง Huawei P20 Pro

ตัวเครื่อง

ด้านหน้าของ Huawei Nova 3 เป็นไปตามเทรนด์สมาร์ทโฟนของปีนี้ ด้วยรอยแหว่งบริเวณขอบบน แต่ใครที่ไม่ชอบ ก็สามารถเข้าไปเมนูการตั้งค่าการแสดงเพื่อซ่อนรอยแหว่งได้

หน้าจอแสดงผลขนาด 6.3 นิ้ว อัตราส่วน 19.5:9 FullView Display เพิ่มการมองเห็นที่กว้างขึ้น ความละเอียด FHD+

ดีไซน์ด้านหลังเป็นกระจกที่มีความเงางาม สะท้อนแสง รู้สึกได้ถึงความหรูรา ขอบด้านข้างโค้ง ซึ่งนอกจากตัวเครื่องสีดำที่ทีมงานนำมารีวิวครั้งนี้ สีที่วางขายจริงจะมีสีแดง และสีม่วง (Iris Purple) ไล่เฉดสีแบบ Gradient

กล้องหลังเป็นเลนส์คู่ แนวตั้ง นูนขึ้นมาจากตัวเครื่องเล็กน้อย มีแฟลช LED อยู่ถัดลงมา และตรงกลางเป็นปุ่มสแกนลายนิ้วมือสำหรับปลดล็อกหน้าจอ

พอร์ทสำหรับโอนถ่ายข้อมูลและชาร์จแบตเตอรี่เป็น USB Type-C รองรับ SuperCharge และในตำแหน่งติดกันนั้นยังมีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มาให้ด้วย

ด้านขวาของตัวเครื่องเป็นปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง กับปุ่ม Power/ปิดหน้าจอ

ถาดใส่ซิมอยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง รองรับซิมประเภท Nano SIM ได้ 2 ซิม, เปิดใช้ 4G ได้พร้อมกันทั้งคู่

การใช้งาน

สเปกของ Huawei Nova 3 ค่อนข้างน่าสนใจมาก เพราะชิปประมวลผลที่ใช้เป็น Kirin 970 Octa-core, แรม 6GB, รอม 128GB เทียบเท่ากับรุ่นเรือธงของ Huawei เลยก็ว่าได้ ที่สำคัญยังเป็นหนึ่งในรุ่นที่ Huawei ประกาศว่าจะได้อัพเดต GPU Turbo ในเดือนสิงหาคมนี้ด้วย ตรวจสอบรายชื่อสมาร์ทโฟน Huawei และเกมที่รองรับ GPU Turbo

ภาพรวมของการใช้งานทั่วไป อาทิ การเปิดปิดแอพจำนวนมากไม่ปรากฏอาการหน่วงให้เห็น หรือการใช้ Facebook เลื่อน News Feed เร็วๆ ทำได้อย่างลื่นไหล

การเล่นเกมอย่าง PUBG การตอบสนองต่อการสัมผัสทำได้ดี ในระหว่างการเล่นยังไม่พบช่วงสะดุด เฟรมเรตที่สังเกตมีขึ้นๆลงๆ อยู่ราว 28-35 FPS แต่บางครั้งก็มีพุ่งขึ้นถึง 40 FPS

ส่วนระบบปฏิบัติการมาพร้อม Android 8.1 Oreo ครอบทับด้วย EMUI 8.2 ซึ่งลูกเล่นในเมนูการตั้งค่า เราสามารถเลือกใช้โหมดประหยัดพลังงานทั้งแบบปกติ และขั้นสูงได้, สามารถโคลนแอพเพื่อแยกออกมาอีกหนึ่งตัว ในกรณีที่ต้องการแยกใช้งานคนละบัญชี โดยจากที่ทดสอบใช้พบว่ารองรับ Facebook และ Messenger เท่านั้้น

สำหรับระบบการรักษาปลอดภัย นอกจากสแกนลายนิ้วมือแล้ว ยังมีระบบจดจำใบหน้า ปลดล็อกหน้าจอได้รวดเร็วและใช้ได้แม้ในสภาวะแสงน้อย

กล้องถ่ายภาพ

เริ่มที่กล้องหลังคู่ มากับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เลนส์ RGB + 24 ล้านพิกเซล เลนส์ Monochrome, รูรับแสง f/1.8, แฟลช LED

จุดเด่นของกล้องหลัง มี AI ช่วยถ่ายภาพสามารถแยกแยะประเภทของวัตถุ, สัตว์, สภาพแสงต่างๆ รวมกันถึง 22 แบบ ซึ่ง UI ของกล้องจะมีไอคอนให้เลือกเปิด-ปิด AI เองได้, มีโหมดอื่นๆ มาให้ครบ ตอบโจทย์การใช้งานในหลากหลายแบบ อาทิ Wide aperture (รูรับแสง) เลื่อนปรับระดับการละลายของฉาก, โหมด Pro, Slow-Motion ความละเอียดสูงสุดที่ FHD 120 FPS, ถ่ายภาพขาวดำ, ถ่ายกลางคืน เป็นต้น

UI ของกล้อง

ในการทดสอบเปิด AI ช่วยถ่ายภาพพบว่า สีของภาพหรือวัตถุนั้นๆ จะมีความสว่างและสีที่เข้มขึ้นกว่าการไม่เปิด AI ให้ความรู้สึกว่าภาพนั้นคมชัดยิ่งขึ้น ข้อสังเกตส่วนตัวของผมอย่างหนึ่ง คือ ในการถ่ายภาพในบางสภาพแสง สีสันของภาพระหว่างเปิดกับไม่เปิด AI ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมากนัก แต่ต้องยอมรับว่า การตรวจจับและประมวลผลว่าวัตถุนั้นๆ ที่เราจะถ่ายภาพเป็นประเภทใดทำได้ค่อนข้างเร็ว

ตัวอย่างภาพถ่าย

กล้องหน้าโดดเด่นไม่แพ้กล้องหลัง เป็นเลนส์คู่ ความละเอียด 24 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.0 + 2 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4, รองรับไฟล์ RAW, มีโหมด HDR Pro, AI ช่วยเซลฟี่ พร้อมจำแนกแสงในแต่ละช่วงเวลาและสถานที่ได้ถึง 8 แบบ

นอกจากนี้การเซลฟี่ยังเพิ่มความสนุกให้มากขึ้นด้วยโหมด AR lens effect ที่จะมีเมนูย่อยอื่นๆ อีก อาทิ 3D Qmoji ใบหน้าตัวการ์ตูนที่จะขยับตามใบหน้าของเรา สามารถกำหนดให้เป็นวิดีโอ และไฟล์ GIF ได้, 3D objects แสดงตัวการ์ตูนผสานลงในภาพจริงแบบเรียลไทม์, และสำหรับคุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชายที่ชอบความมุ้งมิ้ง ยังมี Effects ที่ช่วยเติมแต่งใบหน้าของเราให้มีสีสัน

สรุป

ในแง่ของดีไซน์ค่อนข้างสวยงาม หรูหรา ใครที่ไม่ชอบรอยแหว่งหน้าจอ ก็สามารถเลือกปิดเองได้ สเปกถือว่าแรงเทียบเท่ากับเรือธงของ Huawei เองเลยด้วยซ้ำ และยิ่งเร็วๆ นี้จะได้อัพเดต GPU Turbo เพิ่มพลังประมวลผลกราฟิกให้เล่นเกมได้ลื่นขึ้นไปอีก

ส่วนเรื่องกล้องน่าจะเป็นที่ถูกใจสำหรับผู้ใช้หลายๆ คน ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคาไม่สูงมาก แต่กล้องดี คุณสมบัติเพียบพร้อม และมี AI คอยช่วยให้ภาพออกมาดูสวยขึ้น แม้ผู้ใช้จะไม่ชำนาญเรื่องการถ่ายภาพก็ตาม