Ken Hu ประธานหัวเว่ย ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าเดือนที่ผ่านมายังสามารถขายเสาสัญญาณ 5G ได้อยู่ โดยตอนนี้ส่งมอบไปแล้วกว่าหมื่นต้น และมีสัญญากับลูกค้า 25 รายการ เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3 รายการ
อย่างไรก็ดี บริษัทไม่ได้ระบุรายชื่อลูกค้าในสัญญาเหล่านั้น
เดือนที่ผ่านมานับเป็นเดือนที่หนักหนาสำหรับหัวเว่ย ตั้งแต่ Wanzhou Meng รองประธานบริษัทถูกจับในแคนาดาตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็มีข่าวว่ารัฐบาลชาติต่างๆ เริ่มพิจารณาไม่อนุญาตให้ใช้งานอุปกรณ์ของบริษัทในโครงข่ายการสื่อสาร เช่น ญี่ปุ่น, หรือวันนี้เองหน่วยงานความมั่นคงไซเบอร์ของ Czech ก็ออกมาเตือนว่าอุปกรณ์ของหัวเว่ยและ ZTE เป็นภัยต่อความมั่นคงไซเบอร์ของประเทศ โดยระบุเหตุผลเพียงว่าภาวะทางกฎหมายและการเมืองของจีนมีผลต่อการดำเนินงานของบริษัท
ที่มา - CNBC
Comments
เสา 5G Huawei อาจมีเก็บข้อมูลส่งกลับจีนแหง เหมือนแอพฯจีน หรือแม้แต่มือถือตัวเรือธงของจีน ถ้าจริงนี่ ได้ทั้งเงินและข้อมูลสบายเลย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ผมว่าเรื่องแบบนี้ตรวจสอบง่ายครับ เหมือนกับที่คนเจอมือถือจีนส่งข้อมูลกลับจีน ข้อมูลในเนตเวิคยังไงก็ต้องมีที่มาที่ไปที่มา อยู่ดีๆมีแพกเก็จเกิดขึ้นเองส่งไปที่จีนไม่ยากที่ระบบมินิเตอร์จะตรวจสอบเจอ และถ้ามีจริงคิดว่าอเมริกาที่มีเครื่องมือและองกรเฉพาะใหญ่ๆแบบนั้นจะหาไม่เจอและไม่ใช้มันในการแบนนำเข้าเหลอ ตอนนี้เลยได้แค่สั่งองกรรัฐ เพราะจะแบนเอกชนห้ามใช้ ก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนมากกว่ากล่างอ้างลอยๆ เพื่อกีดกันทางการค้า
ถ้าอุปกรณ์ทั้งหมดเป็นของหัวเว่ยก็จบ มอนิเตอร์ไม่ได้แล้วครับ
เหตุการสมมุตินะครับว่า จีนต้องการสอดแนมอเมริกาก็เลยใช้บริษัทคมนาคมให้ทุนไปสร้างอุปกรณ์ถูกๆ เอาดีลต่างประเทศมาไม่ว่าจะขาดทุนแค่ไหนเดี๋ยวซัพพอร์ต และพออุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อได้โดยไม่ผ่านอุปกรณ์อื่นซึ่งผมว่าไทยน่าจะได้แล้วเพราะตอนนี้แทบทุกเจ้าใช้หัวเว่ยกันหมดแล้ว ก็แค่ให้อุปกรณ์ส่งข้อมูลไปหาอุปกรณ์ของบริษัทตัวเองเรื่อยๆจนถึงเซิร์ฟเวอร์ตัวเองที่จีน แต่นี้ก็มอนิเตอร์ไม่ได้แล้วเพราะไม่ทิ้งร่องรอยในระบบเลย ซึ่งข้อมูลระบบราชการของอเมริกาคงมีระบบไฟล์วอร์ลที่ดีแต่มันจะตายตรงข้าราชการเอามือถือหัวเว่ยไปเสียบในวงของรัฐ ย้ำนะครับทั้งหมดเป็นเรื่องสมมุติที่สามารถเป็นไปได้เฉยๆ
ถ้าเป็นแบบที่สมมุดจริงจีนคงโดนจับได้ไปนานแล้วครับ ผมไม่คิดว่าองกรณ์ตรวจสอบของสหรัฐที่จ่องจะเอาเรื่องอุปกรณ์หัวเหวยหรือจีนจะใช้อุปกรณ์มอนิเตอร์ของหัวเหว่ย การมอนิเตอร์ที่ผมว่า คือการที่หาอุปกร์อ่านค่าเข้าและออกของอุปกรณ์หัวเหว่ย แล้วดูแพกเก็จว่าเข้าออกต่างกันแล้ววิเคราะห์ว่าต่างกันเป็นอะไรซึ่งสักยภาพของเขาไม่ใช่เรื่องยาก และคิดว่าองกรณ์ข่าวกลองเองก็น่าจะมีอุปกรณ์มอนิเตอร์พวกนี้กันเป็นอุปกร์พื้นฐานของทีมที่ถูกสร้างขึ้นเอง และผมไม่คิดว่าหน่อยพวกนี้จะยอมปลอยให้ใช้โดยไม่เข้าไปแทรกแทรงเพื่อปองกัน
สิ่งหนึ่งที่ทั้งสองฝั่งกำลังทำกันอยู่คือ พยายามทำให้อีกฝั่งจับไม่ได้ครับ ซึ่งที่คุณว่ามาก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการป้องกันของอีกฝั่งหรือทั้งสองฝั่งในขณะนี้
ผมคิดว่าความกังวลโดยทั่วไปคงไม่ใช่ส่งข้อมูลไปดื้อๆ แบบนั้นครับ อย่างที่หลายท่านด้านบนว่า มันเห็นง่ายมาก ปฎิเสธยากอีก เกิดมีใครโวยแล้วมีหลักฐานเป็นไฟล์เฟิร์มแวร์ คราวนีได้โดนแบนจริงจังจำนวนมาก
อย่าง NSA เองก็ไม่ได้เจาะไปหมดแบบนั้น แต่ดักแก้ไขก่อนส่งไปยังเป้าหมาย (เลือกเป้าก่อนว่าจะโจมตีบริษัทอะไร) และเฟิร์มแวร์พวกนี้เท่าที่พบก็จะทำงานต่อเมื่อมีการ "สั่งเปิด" ด้วยเทคนิคต่างๆ
คือตัวเฟิร์มแวร์ก็ไม่ได้ปล่อยไปทุกที่อยู่แล้ว ยังไม่แสดงพฤติกรรมออกมาจนกว่าเจ้าของเฟิร์มแวร์จะมาเจอแล้วค่อยเข้าควบคุมอีกครั้ง
lewcpe.com, @wasonliw
อันนี้ผมสงสัยนะครับ
ข้อมูลจริงๆที่ Huawei จะได้มันก็คือข้อมูลที่
GG Facebook ได้หรือเปล่าครับ
เพราะแอพแชทปัจจุบันส่วนใหญ่ก็เป็น End-to-End Encryption อยู่แล้ว
จะเชื่อมอเมริกาทั้งที่ไม่มีหลักฐาน โดยไม่ตรวจสอบ แล้ว ซื้อของแพงกว่า เพราะข้ออ้างดังกล่าว ถ้าเป็นบริษัทที่แข่งขันสูง คงรอดยาก แค่ต้นทุนก็นำโด่งแล้ว
ปัญหาที่เกิดจากอเมริกาแคนาดา ไม่กระทบการลงทุน เพราะโลกกว้าง แล้วหากมีการตรวจสอบว่า ผิด คงไม่มีบริษัทไหนทำ..เป็นกำลังใจช่วย
สงสัยในนั้นคงอยู่กับ AIS ด้วยแหละ ที่จริงให้ทุกค่ายยกเลิกตามคำสั่งอเมริกา หรือทำแบบญี่ปุ่น ออสเตรเลียเหมือนกันนะ แต่คงไม่ทำหรอก เพราะมันถูกดี และข้อมูลรั่วไหลก็ปล่อยไปเพราะคนไทยส่วนมากคิดว่า เอาไปก็ทำอะไรไม่ได้หรอก
และในเมื่อประเทศที่เจริญมากกว่าไทยยกเลิกแสดงว่ามันอาจมีข้อมูลส่งกลับไปจีนเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่ยกเลิกไป 4-5 ประเทศหรอก
นี่คือข้อดีของประชาธิปไตย
ถึงอเมริกาจะใหญ่แค่ไหน ก็ได้แค่เตือน
ญี่ปุ่นระดับรัฐบาล อาจมีการคุยร็อบบี้กันได้
แต่ออสเตรเลียแบนนี่ไม่น่าใช่ น่าจะต้องมีข้อมูลบางอย่าง
ไทยเรายังให้ความสำคัญเรื่องข้อมูลต่ำ เพราะรัฐบาล0.4 แต่ในอนาคตอันเร็วนี้ ถ้าเลือกตั้งแล้วไม่ได้ชุดปัจจุบัน อาจมีแอคชั่นออกจากหน่วยงานรัฐแน่ เพราะมีแต่คนรุ่นใหม่ หัวก้าวหน้าเข้าใจในโลกาภิวัตน์ในพรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตย
ไม่เห็นมีใครเก่งเทคโนโลยีจริงๆสักคน มีแต่นักการเมืองทุกฝั่งอะ
แก้ง่ายๆ ครับ ไม่ต้องมีนักการเมือง ไม่ต้องมีสภา ไม่ต้องมีผู้ว่าฯ และอบต เราดูแลกันเอง ทำเท่าที่เราอยากจะทำแต่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น ก็จบครับ
ส่วนธุรกิจและบริการก็ให้เอกชนเป็นคนจัดการ จ่ายเท่าที่เราใช้งาน เหมือน Package มือถือ ง่ายดี
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
นักการเมือง ก็ทำงานภายใต้รัฐบาลของประเทศหนึ่ง ซึ่งมีนักวิชาการ และ บุคคลากร ที่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยี อยู่แล้วครับ เหตุการณ์แบน และ เตือนในครั้งนี้ต้องมีเอกสารรายงานบางอย่างมาแน่ เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องระหว่างประเทศ
การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ มันคือเรื่องเดียวกัน แค่ไทยเอาเรื่องการเมืองมาทำให้ดูสกปรก จนเราหยีเรื่องการเมือง
กดเบิ้ลครับ*
จากพวก บริษัท ดังๆ นี้ไม่ส่งข้อมูล กลับ ประเทศ? หรือทุกคนมั่นใจ ว่า เมกา จะเก็บรักษาข้อมพวกนี้ ได้ดีกว่า จีน
ผมว่าหากเราใช้เทคโนโลยีจากชาติอื่นก็ล้วนมีความเสี่ยงทั้งสิ้นครับ แม้แต่สหรัฐเองก็ไว้ใจไม่ได้ เหตุการณ์ในอดีตแสดงให้เห็นแล้วว่าหากเขามีเรื่องผลประโยชน์ของชาติมาเกี่ยวข้องเขาทำได้ทุกอย่างครับ ดังนั้นจะระแวงจีนชาติเดียวผมว่าออกจะไร้เดียงสาไปหน่อย
+1 ไร้เดียงสา
ผมว่าเขาคงไม่ระแวงจีนกันชาติเดียวและไม่ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอก แต่จากเท่าที่เคยเห็น ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับจีนเราแทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
เอาง่ายๆ เรื่องที่ดูจะขำไม่ออกสำหรับเจ้าของแบรนด์อย่าง Louis Vuitton ของแท้ที่ไปแพ้คดีให้กับ LV ปลอมในจีน แต่กับบริษัททางตะวันตก ถึงแม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงตรงนี้อยู่ แต่ก็ยังคงสามารถไว้วางใจได้มากกว่า หรือถ้าบางอย่างที่ดูแล้วรู้แน่ๆ ว่ามันขัดกับกฎหมาย ก็ยังพอมีช่องทางให้สู้กลับหรือรักษาสิทธิ์ได้บ้าง