หากพูดถึงหูฟังไร้สาย (true wireless) ของฝั่งแอนดรอยด์ตัวท็อป คำตอบส่วนใหญ่อาจเป็นแบรนด์หูฟังและราคาสูง ที่ความโดดเด่นอาจมีแค่เรื่องเสียงเท่านั้น ขณะที่ฝั่งแอปเปิลมี AirPods ที่ทำงานร่วมกับอุปกรณ์แอปเปิลได้อย่างไร้รอยต่อ (seamless) ราคาไม่แพงเกินและฟีเจอร์ต่างๆ ค่อนข้างครบครันและสมบูรณ์พร้อมสำหรับการใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟน
ซัมซุงเองก็ทำหูฟังไร้สายออกมาแล้ว 2 รุ่นในชื่อ Gear IconX ก่อนที่รุ่นล่าสุดจะรีแบรนด์จาก Gear ที่เป็นสายฟิตเนสมาเป็น Galaxy Buds ซึ่งสะท้อนว่าซัมซุงดันเอาหูฟังไร้สายรุ่นนี้มาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักคู่กับสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy แล้ว ขณะที่ดีไซน์และการเชื่อมต่อก็ปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วย และเมื่อพิจารณาเทียบเรื่องราคากับรุ่นเก่าแล้ว พอจะทำให้ Galaxy Buds ไปอยู่แถวหน้าของหูฟังไร้สายแอนดรอยด์ได้อย่างไม่เคอะเขินเลยทีเดียว
ภาพรวมของ Galaxy Buds ยังคงมีความคล้าย Gear IconX ทั้งตัวเคสและหูฟังแต่ปรับขนาดให้เล็กลง ดูไม่เทอะทะเท่าเก่า ภายในกล่องเปิดมาจะพบตัวเคส ร่วมกับกล่องใส่สายชาร์จ (USB-A to USB-C) และยางซิลิโคนสำหรับเปลี่ยนจุกหูฟังและ fin ที่ล็อกเข้ากับร่องหูเอาไว้ให้
ขนาดของเคสสั้นลงกว่าเดิมมาก ขนาดพอๆ กับกุญแจรถยนต์ น้ำหนักเบา ส่วนการเชื่อมต่อก็ถือว่าง่ายกว่าเดิม มีความ seamless มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต่อกับ Galaxy S10 เพียงแค่เปิดบลูทูธ เปิดฝาเคส จะมีหน้าจอสำหรับเชื่อมต่อขึ้นมาให้อัตโนมัติ หากเป็นแอนดรอยด์รุ่นอื่น (ผมใช้ Pixel 2 XL) อาจวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย กระบวนการจะคล้ายกับการเชื่อมต่ออุปกรณ์บลูทูธปกติ เพราะต้องโหลดแอป Galaxy Wear เและกดเลือกผลิตภัณฑ์ที่จะเชื่อมต่อจากในแอป
และเมื่อเชื่อมต่อแล้ว ทุกครั้งที่เปิดฝาเคสและหยิบตัวหูฟังออกมาใส่หู หูฟังจะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนให้อัตโนมัติและค่อนข้างเร็วทีเดียว
เห็นดีไซน์ตัวหูฟังอาจดูเป็นตุ่มๆ นูนๆ แต่เอาเข้าจริงแล้ว Galaxy Buds พอใส่เข้าไปแล้วกลับดูพอดีกับใบหู ไม่ดูเทอะทะหรือยื่นออกมาจนน่าเกลียด ขณะเดียวกันก็ค่อนข้างแน่นแบบพอดีกับรูหู ไม่อึดอัดหรือเจ็บหู ใส่วิ่งหรือแม้แต่ขึ้นมอเตอร์ไซค์ที่มีลมตีแรงๆ ก็ยังไม่หลุด
พื้นผิวด้านนอกของหูฟังที่เป็น 3 เหลี่ยมเงาๆ คือทัชแพด มีคำสั่งรองรับไว้แล้ว ไม่สามารถปรับได้ กดครั้งเดียวเพื่อเล่น/หยุดเพลง กดสองครั้งเพื่อเปลี่ยนเพลง หรือรับสาย/วางสาย กดสามครั้งเพื่อเล่นเพลงก่อนหน้า
ส่วนกดค้างสามารถตั้งได้ผ่าน Galaxy Wear ว่าจะให้เพิ่มหรือลดเสียง (ซ้ายลด ขวาเพิ่ม), สั่ง Voice Command ด้วยการกดค้างแล้ว Google Assistant (บน Pixel 2 XL) จะเด้งขึ้นมา หรือเปิด Ambient Mode ช่วยให้ได้ยินเสียงรอบข้างและเสียงพูดคุย (Ambient Mode จะทำงานเมื่อกดค้างเอาไว้เท่านั้น หากจะเปิดตลอดเวลาต้องไปเลือกเปิดเฉพาะในแอป) หรือจะใช้ปฏิเสธการรับสายตอนมีสายเข้าก็ได้
เรื่องคุณภาพเสียง สำหรับหูฟังไร้สายเล็กๆ อย่างนี้อาจคาดหวังคุณภาพเสียงไม่ได้มากขนาดนั้น (หากไม่ใช่รุ่นท็อปๆ ที่แบรนด์หูฟังผลิตเอง) ซึ่งส่วนตัวไม่ใช่คนเล่นหูฟังหรือหูเทพขนาดแยกเสียงได้ขนาดนั้น แต่พอบอกได้ว่าเสียงของ Galaxy Buds อยู่ในระดับกลางๆ ไม่เด่นแต่ก็ไม่แย่ รายละเอียดเสียงค่อนข้างครบ เสียงเบสมีแต่อาจไม่แน่นสะใจใครหลายๆ คน การปรับ equalizer ผ่านในแอปก็พอช่วยได้อยู่บ้าง
ส่วนประเด็นที่ว่า Galaxy Buds ผ่านการปรับจูนจาก AKG มาแล้วนั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นกลยุทธทางการตลาดมากกว่าที่จะเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพเสียง (AKG เป็นแบรนด์ในเครือ Harman ที่ซัมซุงเป็นเจ้าของ)
Noise Cancellation ของ Galaxy Buds ทำได้ค่อนข้างดี แทบไม่ได้ยินเสียงรบกวนรอบข้างเลย ขณะที่หากเปิด Ambient Mode (ได้ยินเสียงรอบข้างโดยเฉพาะเสียงพูด) ไว้ตลอดเวลา อาจสร้างความรำคาญสำหรับบางคนเพราะหูฟังจะจับเสียงพูดและเร่งเสียงให้ ทำให้บางทีได้ยินเสียงชาวบ้านที่เราไม่ได้อยากได้ยินแทรกเข้ามาตลอดเวลา โหมดนี้อาจเหมาะกับการเลือกเปิดเมื่อกดทัชแพดค้างเพื่อฟังเสียงคู่สนทนาเป็นครั้งคราวมากกว่า
ส่วนเรื่องคุณภาพของการพูดคุยผ่านโทรศัพท์ ส่วนตัวผมเองได้ยินเสียงชัดเจนตลอดทุกครั้ง แต่คู่สนทนากลับไม่ค่อยได้ยินเสียงเป็นบางครั้ง (ตัวคู่สนทนาบอกว่าเสียงเหมือนผมเปิดลำโพงแล้วตะโกนคุยจากที่ไกลๆ มา) แต่ส่วนใหญ่ก็ได้ยินชัดเจน ปกติ โดยไม่จำเป็นต้องตะโกนหรือพูดเสียงดัง เพราะ Galaxy Buds มีไมโครโฟนที่คอยรับเสียงพูดจากภายในช่องหูของเราอยู่แล้ว
ขณะที่ระยะการเชื่อมต่อระหว่าง Galaxy Buds กับสมาร์ทโฟนกลับพบปัญหาเสียงขาดไปจนถึงบลูทูธหลุด หากเปลี่ยนห้องแล้วมีกำแพง โลหะหรือสัญญาณรบกวนเกิน แต่ถ้าเป็นที่ว่างๆ ระยะเชื่อมต่อก็ค่อนข้างไกล (Galaxy Buds ใช้ Bluetooth 5.0) ไม่แน่ใจว่าหากต่อกับ Galaxy S10 จะดีกว่านี้หรือไม่ ทั้งนี้ตัวหูฟังมีเซ็นเซอร์ Proximity ในตัว หากเราถอดหูฟังออก เพลงจะหยุดให้อัตโนมัติ (แต่หากถอดข้างเดียว ข้างที่ถอดก็ยังเล่นเพลงต่อไป)
ซัมซุงบอกว่าตัวหูฟังสามารถใช้งานได้ 6 ชั่วโมงและชาร์จจากแบตเตอรี่ได้อีก 7 ชั่วโมง ขณะที่การใช้งานจริง ถึงแม้จะไม่ได้เปิดเพลงฟังตลอดทั้งหมดจนแบตหมดเกลี้ยง เพราะถอดๆ ใส่ๆ แต่ก็พูดได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานตลอดทั้งวัน โดยตัวเคสของ Galaxy Buds รองรับการชาร์จไร้สายด้วย (แต่เสียบสายเถอะ เร็วกว่าเยอะ ร้อนน้อยกว่าด้วย)
ขณะที่การชาร์จผ่านฟีเจอร์ PowerShare กับ Galaxy S10 พบว่าทิศทางการวางเคสต้องวางตั้งฉากกับ Galaxy S10 ถึงจะสามารถชาร์จได้ (Galaxy S10 วางแนวนอน Galaxy Buds วางแนวตั้ง) หากวางแนวนอนเหมือนกันจะชาร์จไม่เข้า
ด้วยฟีเจอร์ ความสามารถในการเชื่อมต่อที่ seamless ความสบายในการใส่ไปจนถึงความสวยงาม ส่วนตัวมองว่า Galaxy Buds เป็นตัวเลือกหูฟังไร้สายที่ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานแอนดรอยด์ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับราคาที่ 129.99 เหรียญ (ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่ายในไทย) ซึ่งถูกกว่า Gear IconX และ AirPods (เทียบในฐานะหูฟังไร้สายของ iOS ที่ฟีเจอร์ใกล้เคียงกัน) ที่ 199.99 และ 159.99 ตามลำดับ
เพิ่มเติม มีคอมเมนท์ถามมาขออนุญาตเอามาตอบตรงนี้ด้วยครับ Galaxy Buds จะมีดีเลย์เล็กน้อยเสี้ยววินาทีเมื่อเล่นเกม (ผมลองกับเกม Piano Tiles 2) ส่วนดูหนังไม่ว่าจะ YouTube หรือ Netflix ตรงปากครับ ไม่มีดีเลย์
ข้อดี
ข้อด้อย
Comments
สวย ดี
มันเชื่อมต่อง่ายๆไหมครับ
มีเขียนอธิบายไว้แล้วครับ
น่าโดนมากครับ ตัวนี้
สำหรับผมโครตเกลียด in-ear
ใช้ได้แต่แบบ earbud เท่านั้น
เหมือนกันครับ เอียร์บัดใส่สบายกว่าเยอะ
ผมนี่ใส่เอียร์บัดไม่ได้ครับ ช่องหูมีสันกระดูกอ่อนพับขึ้นมาอยู่ทั้งสองข้างแบบสมมาตรกัน (ตำแหน่งเดียวกันจนนึกว่ามีกันเป็นปกติทุกคน) มารู้ว่ามันไม่ปกติตอนใช้หูฟัง earbud แล้วพอใส่สักพักก็เจ็บจนสงสัยว่าคนอื่นใช้กันได้ยังไง อ้อ คนอื่นเค้าไม่มีสันกระดูกตรงนี้
ไม่ได้เจ็บที่กระดูกอ่อนโดนดันไปนะครับเพราะใส่แล้วไม่เจ็บทันที แต่กระดูกอ่อนที่โดนดันจนไม่มีรอยพับมันพยายามพับตัวกลับเข้ามา กลายเป็นกระดูกอ่อนไปกดผิวหนัง นานเข้า (ไม่กี่นาที) ผิวหนังก็เริ่มช้ำและเจ็บครับ ?
+1 ผมก็ใส่ earbud แล้วเจ็บเหมือนกัน แต่ใช้อินเอียร์แล้วไม่มีปัญหา นึกว่าเป็นคนเดียวซะอีก
ยกมืออีกคนว่าใส่ earbud แล้วเจ็บหู เลยต้องใช้ inear แทน
บางทีก็บ้าจี้ใส่ full size ออกไปปั่นจักรยานอยู่เนืองๆ
+1 ผมไม่ชอบ In-ear ชอบแบบ earbud ธรรมดาๆ มีขายแต่ของ Apple
ด้วยคน สำหรับผมตอนนี้หูฟังแอปเปิลคือเดอะเบสท์
May the Force Close be with you. || @nuttyi
"สามเหลี่ยมเหงา ๆ" โอ้ย อ่านแล้วฮาาาา อันนี้ตั้งใจใช่มั้ย
"ทำให้บางทีได้ยินเสียงชาวบ้านที่เราไม่ได้อยากได้ยินแทรกเข้ามาตลอดเวลา โหมดนี้อาจเหมาะกับการเลือก..."
สารภาพว่าอ่านวูบแรกเผลออ่านว่า "โหมดนี้เหมาะกับการเสือก!!"
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมคิดเหมือนกันเป๊ะเลย ไม่ต้องไปยืนเงี่ยหูฟังหน้าห้องถ่ายเอกสารเวลามีคนเข้าไปหลบมุมเม้าท์แล้ว
เอามาเล่นเกมแล้วดีเลย์เยอะไหมอยากรู้ตรงนี้แหละ
ไม่เจอดีเลย์นะครับ มีกระตุกบ้างเสี้ยววิ นานๆ ทีเหมือน Bluetooth เจอคลื่นรบกวน
สอบถามหน่อยครับ ได้ทดสอบกับเกมบ้างเปล่าครับ (ถ้าทดสอบขอทราบชื่อเกมหน่อย)
ที่สอบถามเพราะปกติหูฟัง bt ถ้าไม่มี aptx low latency ยังไงก็โดน latency เกือบ 100ms ทำให้ไม่สามารถใช้เล่นเกมจริงๆได้เลยครับ แต่เวลาดูวิดีโอจะไม่ค่อยรู้สึกเพราะฝั่งเครื่องเราจะแอบ sync video ให้ช้าลงตามหูฟังเองครับ
ผมอ่านคอมเมนท์ข้างบนผิด ขออภัย เกมไม่ได้ทดสอบเลยครับ ปกติเป็นคนไม่เล่นเกมบนมือถืออยู่แล้ว
เอาแค่หนังก็พอครับถ้าเสียงตรงปากเอฟเฟคตรงฉากแค่นี้ก็ใช้ได้แล้วครับ มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับไวรเลสเลยนะครับ ถ้าไม่ได้ใช้ codec พวก aptx ldac นี่เจอปัญหานี้ทุกตัวเลยครับเท่าที่ลองมา
YouTube Netflix ปกติดีครับ ไม่ดีเลย์ ปากตรง
ส่วนเกมตะกี๊ลองให้แล้ว มีดีเลย์เล็กน้อยจริงครับ
เท่าที่ผมเคยเจอมาเสียงจะตรงกับภาพนะครับสำหรับวิดีโอ คือมันจะเล่นเสียงนำหน้าภาพให้ออกมาตรงกัน
แต่ถ้าไปเล่นพวกเกมกดตามจังหวะเพลงนี่แหละ เละ
เมื่อไหร่จะมีเจ้าไหนทำTrue Wireless ให้มันออกมาสวยๆบ้างน้อ
Airpods ก็เหมือนหัวแปรงสีไฟฟ้าฟันเสียบหู
ยี่ห้ออื่นๆ ก็มาแนวเห็บ(ควาย)เกาะหูหมดเลย
ผมละอยากได้Clip-on แบบTrue Wireless อ่ะ
เห็บควายเกาะหู 55555555+
มองอีกทีรุ่นนี้เป็นรุ่นขี้หูรูตันเลยนะ :)
ทรงนี้ก็จะมีปัญหาเรื่องไมค์สินะ
[S]
ตัวนี้ถูกลงเพราะไม่มีหน่วยความจำในตัวแบบรุ่นเดิมด้วยน่ะครับ.
ฮะแฮมมม ฮะแฮ๊มม KANOA ค๊อกๆ เหมือนเกิ๊น แค๊กๆ
ทำไมต้องเป็นหูฟังแอนดรอยด์ มีต่อiOSมิได้รึ
+1
น่าจะมีบอกนะว่าใช้เวลาชาร์จจากในเคสกี่นาทีหรือมีแต่ผมอ่านไม่เห็น