Samsung Galaxy Note 10 และ Note 10+ เริ่มวางขายแล้ว ซึ่ง Blognone มีโอกาสลองใช้งานเครื่องด้วยเช่นกัน จึงเขียนรีวิวฉบับเต็ม (เพิ่มเติมจากที่เคยเขียนข่าวเปิดตัว และรีวิวสั้นเรื่องความสามารถของปากกา) เผื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อของหลายๆ คน
Samsung Galaxy Note 10 ถือเป็นมือถือตระกูล Note รุ่นแรกที่แยกออกเป็นสองรุ่นย่อย 2 ขนาดหน้าจอ เพราะที่ผ่านมา ซังซุงออกขาย Galaxy Note เพียงขนาดเดียว ไม่ซอยรุ่นแยกเหมือนตระกูล Galaxy S
ดังนั้นก่อนเริ่มเข้าสู่เนื้อหาส่วนอื่นๆ ขอชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของ Note 10 และ Note 10+ กันก่อน
Galaxy Note 10 มีขนาดหน้าจอ 6.3 นิ้ว ส่วน Note 10+ ใหญ่ขึ้นเป็น 6.8 นิ้ว ถ้าเทียบน้ำหนักเครื่อง Galaxy Note 10 อยู่ที่ 168 กรัม ส่วน Galaxy Note10+ หนัก 196 กรัม
ทั้งคู่ใช้การออกแบบหน้าจอแบบเดียวกันคือ Cinematic Infinity Display ไร้ขอบ เจาะรูกล้องหน้าแบบ punch hole โดยขยับตำแหน่งกล้องมาไว้ตรงกลาง (ต่างจากซีรีส์ S10 ที่จัดชิดมุมขวาบน) ถ้าเทียบกันแล้ว รูกล้องหน้าตรงกลางของ Note 10 มีขนาดเล็กกว่ารูของ Galaxy S10 (และมีเพียงรูเดียว ต่างจากเคส S10+ ที่มีกล้องหน้าสองตัว)
กล้องหน้าของ Note 10 และ Note 10+ มีสเปคเหมือนกันคือ 10 ล้านพิกเซล F2.2 ตอนถ่ายภาพจริงๆ มีความกว้างสองระดับ มุมกว้างสุดทำได้ 80 องศา
เทียบขนาดรูกล้องหน้า S10 (ซ้าย) และ Note 10 (ขวา)
ความแตกต่างอีกประการของ Note 10 และ Note 10+ คือกล้องหลัง โดย Galaxy Note10 มีกล้องหลัง 3 ตัว ส่วน Note 10+ เพิ่มกล้องเป็น 4 ตัว ซึ่งกล้องสามตัวแรกมีคุณสมบัติเหมือนกันทั้งสองรุ่นคือ
กล้องมุมกว้าง Ultra Wide 16 ล้านพิกเซล F2.2 มุมกว้าง 123 องศา
กล้องหลัก Wide-angle 12 ล้านพิกเซล F1.5/F2.4 มีกันสั่น (OIS) มุมกว้าง 77 องศา
กล้องซูม Telephoto 12 ล้านพิกเซล F2.1 มีกันสั่น (OIS) มุมกว้าง 45 องศา
ส่วนกล้องตัวที่ 4 มีแค่ใน Note 10+ คือ Depth Vision Camera ความละเอียด VGA ทำหน้าที่จับความลึก ช่วยเรื่องการวัดระยะ
Galaxy Note 10+ รองรับการชาร์จเร็วรับพลังงานสูงสุด 45W ตรงนี้ซัมซุงระบุว่าสามารถชาร์จจนเพียงพอใช้งานได้ทั้งวันภายใน 30 นาที ส่วน Note 10 รุ่นธรรมดา รองรับการชาร์จเร็วที่ 25W เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สายชาร์จที่ซัมซุงแถมมาในกล่องของทั้ง Note 10 และ Note 10+ เป็นสายชาร์จเร็วแบบธรรมดาจ่ายพลังงาน 25W ตัว หากต้องการชาร์จแบบ 45W ต้องซื้อแยกในราคา 1,290 บาท
Galaxy Note 10 มีสเปกเดียวคือ RAM 8GB กับสตอเรจ 256GB โดยไม่สามารถเสียบ MicroSD เพิ่มได้
ส่วน Galaxy Note 10+ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อยคือ RAM 12GB/256GB และ RAM 12GB/512GB โดยสามารถเสียบ MicroSD เพิ่มได้สูงสุด 1TB (ถาดใส่ซิมเป็น Dual SIM เลือกใส่ได้ระหว่างซิมการ์ด 2 ซิม หรือซิมการ์ด 1 ซิม + MicroSD)
เมื่อเข้าใจความแตกต่างของ Galaxy Note 10 และ Note 10+ แล้ว เรามาดูกันว่าการใช้งานจริงเป็นอย่างไร
ความประทับใจแรกในฐานะคนที่ใช้มือถือ Galaxy S10 มาก่อน คือ Note 10 ไม่มีปุ่ม Bixby แล้ว เพราะส่วนตัวเผลอกดไปโดนบ่อยๆ
แต่.. Note 10 กลับย้ายปุ่ม Power ที่เดิมอยู่ด้านขวามาตลอด มาไว้ข้างซ้าย แทนที่ตำแหน่งเดิมที่เป็นปุ่ม Bixby ซะอย่างนั้น
ปกติผู้รีวิวพยายามไม่ให้นิ้วไปโดนปุ่มด้านซ้ายของตัวเครื่อง เพราะจะกลายเป็นการเรียก Bixby โดยไม่ตั้งใจ และเคยชินกับการใช้นิ้วโป้งมือขวากดปุ่ม Power ที่อยู่ด้านขวาของตัวเครื่องมากกว่า
พอมาใช้ Galaxy Note 10 ที่สลับตำแหน่งปุ่ม Power จึงต้องมีการปรับตัวในระดับหนึ่ง แต่ก็คิดว่าไม่ยากจนเกินไป เพราะปุ่ม Power อยู่ในระยะที่นิ้วกลาง (ของมือขวา) เอื้อมถึง แม้ตัวเครื่องของ Note 10+ มีขนาดค่อนข้างใหญ่ก็ตาม
คนที่ชอบ Bixby จริงๆ ยังสามารถเรียกใช้งานได้ โดยกดปุ่ม Power ค้างไว้แทน แต่ถ้าต้องการให้มันเป็นปุ่มปิดเครื่องอย่างที่มันควรจะเป็น ก็ต้องเข้าไปตั้งค่าการใช้งานปุ่มด้านข้างเพิ่มเองได้
อีกประเด็นสำคัญของ Galaxy Note 10 ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมากคือ Note 10 ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม. อีกต่อไปแล้ว ด้านล่างของตัวเครื่องมีแค่พอร์ต USB Type-C เพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น
ซัมซุงแถมหูฟังแบบ USB Type-C มาให้ในกล่อง ในแง่การใช้งานเบื้องต้นคงไม่มีปัญหา และถ้าใครมีไลฟ์สไตล์แบบผู้เขียนที่ใช้หูฟังไร้สาย Galaxy Earbud เชื่อมกับ S10 อยู่แล้ว เมื่อเปลี่ยนมาใช้ Note10 จึงไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เชื่อมต่อเท่านั้น
แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้หูฟังแบบมีสายจนชิน ลงทุนกับหูฟังแบบเดิมไปเยอะ และใช้หูฟังเส้นเดียวฟังเพลงทั้งในมือถือและในโน้ตบุ๊ค (ที่ไม่มีพอร์ต USB Type-C) คงต้องปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยการพกสายหูฟังสองแบบ
ส่วนการสแกนนิ้ว Galaxy Note 10 ที่เป็นตัวสแกนนิ้วใต้จอ ตอนแรกกังวลว่า ตัวเครื่อง Note 10 มีขนาดใหญ่ ถือมือเดียวและสแกนนิ้วลำบาก แต่เมื่อได้ลองใช้จริงพบว่า Note 10 ยกตำแหน่งของแป้นสแกนนิ้วขึ้นมาสูงกว่าของ S10 ทำให้ถือสแกนมือเดียวได้ง่ายขึ้น สามารถเอียงนิ้วสแกนได้ (ตอนตั้งค่าลายนิ้วมือต้องเอียงนิ้วในมุมต่างๆ ด้วย จะได้สแกนติด)
เทียบตำแหน่งแป้นสแกนนิ้ว Note10+ กับ S10
เมื่อยกแป้นสแกนนิ้วขึ้นมาสูง ทำให้สแกนนิ้วง่าย แม้จะถือเครื่องใหญ่ Note10+
เราเลือกรีวิวกล้องของ Galaxy Note 10+ เป็นหลัก เพราะคุณสมบัติกล้องไม่ต่างจาก Note 10 ยกเว้นที่มีกล้องตัวที่ 4 เพิ่มขึ้นมา
จากการลองถ่ายรูปเล่นพบว่าคุณภาพของรูปภาพไม่ต่างไปจาก Galaxy S10 มากนัก เพราะคุณสมบัติกล้องถ่ายรูปที่ไม่ได้ต่างกันมากเอยู่แล้ว
ตัวอย่างรูปถ่ายโหมดต่างๆ
กล้อง Tele
กล้อง Wide
กล้อง Ultra - Wide
สิ่งที่อัพเกรดขึ้นของกล้องโหมดกลางคืนใน Note10+ สามารถมุมถ่ายกว้าง 3 ระยะได้ ในขณะที่รุ่น S10 มีแค่ 2 ระยะเท่านั้น
ตัวอย่างภาพถ่ายโหมดกลางคืน
สภาพแวดล้อมจริงที่ถ่ายคือมืดมาก
รูปโหมด Live Focus ระหว่างไม่ใส่ฟิลเตอร์ กับใส่ฟิลเตอร์เบลอฉากหลังเป็นโบเก้
ผู้รีวิวทดลองเล่นถ่ายคลิป Super Steady โดยเปิดโหมดกันสั่นใน Galaxy Note10+ และถืออีกเครื่องคือ Galaxy S10 ปิดโหมดกันสั่น
ซอฟต์แวร์กล้อง Note10 ยังมีลูกเล่นการตัดต่อวิดีโอแบบสนุกๆ เช่น การใส่คลิปเพิ่ม ทำ transition ระหว่างคลิป (มี transition ให้เลือก 3 แบบคือ ละลาย, สไลด์ข้าง, จางลง) ใส่ข้อความชื่อภาพ และคำบรรยายใต้คลิปได้พร้อมฟิลเตอร์ต่างๆ
ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นฟังก์ชันตัดต่อคลิประดับพื้นฐาน แต่ก็สามารถทำได้จบในซอฟต์แวร์หลังกล้องมือถือเลย ช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับการทำคลิปแบบง่ายๆ
ในกล้อง Note 10+ มีเลนส์จับระยะชัดลึก (DepthVision หรือ ToF) เพิ่มขึ้นมา เลนส์ตัวนี้ไม่ได้ใส่เข้ามาใน Note 10+ เป็นครั้งแรก เพราะมีตั้งแต่ตอน Galaxy S10 แต่จำกัดเฉพาะรุ่น 5G ที่วางขายแค่ในบางประเทศเท่านั้น คนทั่วไปจึงไม่น่าจะเคยได้ใช้เลนส์ตัวนี้กันมากนัก
ประโยชน์ของกล้อง DepthVision คือช่วยเรื่องการถ่ายรูป portrait เป็นหลัก แต่ก็มีลูกเล่นใช้เป็นกล้องวัดปริมาตรของวัตถุได้ด้วย ผ่านแอพพลิเคชั่นวัดระยะ (Quick Measure) ซึ่งติดมากับเครื่อง Note10+ อยู่แล้ว
กล้อง DepthVision Camera ใน Note 10+ ยังช่วยเรื่องการสแกนวัตถุสามมิติ สร้างโมเดลสามมิติจำลองจากการถือกล้องจ่อวัตถุ และเดินรอบๆ เพื่อให้กล้องเก็บภาพวัตถุได้ครบ 360 องศา สามารถนำโมเดลไปสร้างของจริงผ่านเครื่องพิมพ์สามมิติ หรือทำวิดีโอสามมิติได้ ซึ่งทั้งสองฟีเจอร์ที่กล่าวมาอาจยังไม่มีความจำเป็นต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันขนาดนั้น
ฟีเจอร์ใหม่ของ Note 10 ที่ไม่รีวิวไม่ได้คือ ปากกา S Pen เวอร์ชันใหม่ สามารถโบกปากกาเพื่อควบคุมการใช้งานบางอย่างของเครื่องได้ (เช่น กล้องถ่ายรูป หรือเลื่อนสไลด์)
วิธีการใช้งาน S Pen ในการสั่งงานกล้องคือ กด 1 ครั้งเพื่อถ่าย, กด 2 ครั้ง เพื่อสลับกล้อง, ตวัดขึ้นลงเพื่อสลับกล้องหน้า-หลัง, ตวัดซ้ายเพื่อไปยังโหมดกล้องถัดไป, ตวัดขวาเพื่อไปยังโหมดก่อนหน้า, หมุนซ้ายเพื่อซูมเข้า, หมุนขวาเพื่อซูมออก
ตอนแรก ผู้รีวิวมองว่าเป็นฟีเจอร์ที่เรียกความสนใจได้ดี แต่เมื่อได้มาลองใช้งานจริงจัง ก็พบว่า การใช้ S Pen โบกไปมา ยังมีจุดไม่สมเหตุสมผลอยู่บ้าง เช่น ไม่สามารถใช้ท่าตวัดซ้ายขวาเพื่อเปลี่ยนระยะกว้างของภาพถ่ายได้ (เปลี่ยนจากโหมด Wide เป็น Ultra-Wide) เพราะส่วนตัวใช้งานกล้องโหมดนี้บ่อยที่สุด ถ้าอยากซูมเข้า-ออก ต้องใช้การกดปากกาและหมุนมือ ซึ่งยากกว่าการโบกซ้าย-ขวามาก
แต่สิ่งที่ S Pen ของ Note 10 ช่วยการใช้งานในชีวิตได้จริงๆ คือการจดบันทึก เพราะสามารถแปลงลายมือเป็นข้อความปกติได้เร็วขึ้น ถ้าไม่เขียนลายมือหวัดหรือจงใจให้ลายมืออ่านไม่ออกมากเกินไป การแปลงลายมือก็ถือว่าทำได้สมบูรณ์
การแปลงลายมือภาษาไทยก็ทำได้ดี และสามารถแปลงลายมือได้ทีละเยอะๆ หรือเขียนเต็มหน้าก็แปลงได้ทั้งหน้า ไม่ต้องแปลงเป็นคำๆ เพียงแต่ต้องลากเส้นกรอบสี่เหลี่ยมให้ครอบคลุมลายมือทั้งหมด (แต่ก็ยังมีปัญหาการเว้นวรรคอยู่)
โหมด AR Doodle ที่ใช้ S Pen วาดรูปกลางอากาศ เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นของ Note 10 ที่สนุกสำหรับสายโซเชียล ใช้ปากกาวาดเส้นบนหน้า และเส้นจะขยับไปตามใบหน้าเรา ถ่ายเป็นคลิปลงสตอรี่ในโซเชียลได้
AR Doodle จับใบหน้า
จากการใช้งานเทียบกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ พบว่า Galaxy Note10+ มีความน่าประทับใจตรงระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่อยู่ได้ทั้งวัน (ผู้รีวิวใช้แทนโทรศัพท์ส่วนตัว เช่นโซเชียล เล่นเกม และเชื่อมต่อหูฟังบลูทูธฟัง Spotify) นอกจากนี้ยังใช้ระยะเวลาชาร์จจากแบตเตอรี่เลขตัวเดียวไปจนเต็ม ถือว่าเร็วทีเดียว ชาร์จจาก 7% เป็น 100% ใช้ที่ชาร์จที่มาในกล่อง ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
การใช้ปากกาเขียนข้อความบนจอ ส่วนตัวมองว่าเหมาะกับหน้าจอขนาดใหญ่อย่าง Note10+ มากกว่า เพราะมีพื้นที่ในการเขียนเยอะ อย่างไรก็ตาม แม้หลายคนอาจจะชอบ Note 10 ที่มีขนาดเล็กและน่าจะพกพาสะดวก อีกปัจจัยหนึ่งคือราคาทั้งสองรุ่นที่ห่างกัน 5,000 บาท น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกว่าจะซื้อรุ่นไหนดี
แม้ Note10/Note 10+ จะมีกล้องหน้าตัวเดียวและยังมีรูกล้องเล็กลง (ดูจะด้อยลงจาก S10) แต่การสแกนหน้าก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ สามารถสแกนหน้าเข้าใช้งานได้ตามปกติ แต่ถ้าอยู่ในที่แสงน้อยมากๆ จนถึงมืด ก็จะสแกนได้ยาก ซึ่งใน Galaxy S10+ ที่มีกล้องหน้าคู่ สามารถแก้ไขปัญหาสแกนหน้าในที่แสงน้อยได้ด้วย เรื่องการสแกนนิ้วถือว่าทำได้ดี สแกนง่ายกว่า S10 เพราะยกแป้นสแกนสูงขึ้น
Galaxy Note 10 ยังมีอีกสองฟีเจอร์สำคัญที่ใช้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ คือ Dex และ Link to Windows ซึ่ง Blognone จะเขียนรีวิวเล่าการใช้งานต่อในบทความแยกอีกตอนหนึ่ง
Galaxy Note สร้างชื่อมาจากการเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นท็อปสุดของซัมซุง ที่มีฟีเจอร์ทุกอย่างครบเครื่องที่สุด เหนือกว่าระดับของ Galaxy S ในปีเดียวกันไปอีกขั้น
แต่ช่วงหลังเราจะเริ่มเห็นว่า นวัตกรรมของ Galaxy Note เริ่มช้าลง (ตามภาพรวมของตลาดมือถือ) ดังจะดูได้จากสเปกของ Galaxy Note ที่เดิมทีเคยเป็นตัวอัพเกรดของ Galaxy S ก็กลายมาเป็นใช้หน่วยประมวลผลตัวเดียวกัน
หรือแม้กระทั่งกล้องของ Note 10 ก็แทบไม่ต่างอะไรจากกล้องของ S10 ที่ออกเมื่อต้นปีนี้ ถึงแม้ว่ามันจะยังเป็นกล้องที่ดีมาก (ได้คะแนนสูงสุดของ DxOMark) แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด และเมื่อมือถือเรือธงค่ายคู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็น iPhone รุ่นหน้า, Huawei Mate 30 หรือ Pixel 4 ออกสู่ตลาดในช่วงอีก 1-2 เดือนข้างหน้า ก็มีโอกาสสูงที่จะเอาชนะกล้องของ Note 10 ได้
ส่วนเรื่องปากกา S Pen ที่อัพเกรดความสามารถมาเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนเดินมาใกล้สุดทางเช่นกัน กรณีของปากกา S Pen ของ Note 9 เพิ่มฟีเจอร์รีโมทคอนโทรลเข้ามาอาจดูมีประโยชน์ แต่พอมาถึงปากกา S Pen ของ Note 10 ที่ต่อยอดด้วย Gesture เพื่อให้สั่งงานได้หลากหลายมากขึ้น ก็เริ่มใช้งานยากขึ้นเป็นเงาตามตัวไปด้วย
ฝั่งฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์ ไม่ว่าจะเป็นการแปลงลายมือเป็นข้อความ, Dex, Link to Windows หรือฟีเจอร์ด้านการตัดต่อวิดีโอ ถือเป็นสิ่งที่นำไปใช้บนมือถือตัวอื่นๆ ของซัมซุงเองได้ แค่เพียงว่าตอนนี้ซัมซุงเลือกจะมีให้ใช้แค่บน Note 10 เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ตัว Note 10 เท่านั้น ฟีเจอร์ที่ผูกกับตัวฮาร์ดแวร์จริงๆ น่าจะมีเพียงแค่ฟีเจอร์ที่ต้องใช้พลังของเซ็นเซอร์ ToF เท่านั้น
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Note 10 เป็นมือถือที่มีความสมบูรณ์รอบด้าน แต่ไม่ได้โดดเด่นที่สุดเท่าไรนัก ในแง่สเปกอาจแพ้ให้กับมือถือเกมมิ่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ที่ใช้ Snapdragon 855+ หรือจอ 90Hz กันเยอะแล้ว ส่วนในแง่กล้องก็อาจไม่โดดเด่นเท่ากับมือถือค่ายคู่แข่งที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในภาพรวมแล้ว Galaxy Note 10 เป็นมือถือที่ดีมากตัวหนึ่ง แค่เพียงว่ามันอาจพัฒนาขึ้นไม่เยอะพอ เมื่อเทียบกับความคาดหวังของแฟนๆ Note หรือลูกค้าซัมซุงนั่นเอง
Comments
AR Doodle จับใบหน้า ดูน่าสนใจจริงๆ
กล้อง TOF คือน่าสนใจ
ไม่ถึงกับเรียกตัวเองว่า Audiophile แต่ Note 10 ที่ไม่มีรู 3.5mm คงต้องขอผ่านไปก่อน
Wireleess: Airpods, Sony, Creative, JBL ตัวบน ๆ ของ 4 ยี่ห้อที่เคยลองมา (ลองกับ Note 9)
คุณภาพเสียงหาที่ชมไม่ได้เลย ฟัง Flac นึกว่าฟัง MP3 สู้แบบมีสายตัวละ 500 ยังไม่ได้เลย
ไม่ได้แอนตี้ Wireleess Earbuds หรอกนะ ถ้าอนาคตทำได้ดีเทียบเท่าแบบมีสาย ก็ยินดีพร้อมย้ายไปใช้
เชื่อว่าอนาคตมือถือเรือธงหลาย ๆ เจ้าคงตัดรู 3.5 ออกหมดเช่นกัน แต่ตอนนี้ยังรับคุณภาพไม่ไหวจริง ๆ
บ่นมาเยอะ คือแค่จะติเรื่องไม่มีรู 3.5mm
ผมจะยินดีก็ต่อเมื่อคุณภาพและราคาเท่ากัน ไม่เคยใช้หูฟังไร้สายพวกนี้นะ แต่คุณบอกว่าคุณภาพสู้แบบมีสายไม่ได้นี่ผมก็รับไม่ได้ละ อีกเรื่องที่สำคัญคือราคา ห้าหกพัน แพงเกิน ใช้แบบมีสายต่อไปละกัน ความรำคาญเดียวของหูฟังมีสายตอนนี่คือมันชอบพันกันเนี่ยแหละ แกะแรงก็กลัวขาด 555
จำได้ว่า สมัยมีมือถือแรกๆ ไม่มีรู 3.5 mm ตอนนั้น โหยหาอยากได้รู 3.5 mm มากๆ จำไม่ได้ว่ารู 3.5 mm บนมือถือมาตั้งแต่ปีไหน และมือถือรุ่นไหนใส่มาเป็นรุ่นแรก แต่จำได้ว่าดีใจมาก ปัจจุบันผู้ผลิตกลับพยายามตัดรู 3.5 mm ทิ้ง ผมมองว่าเป็นการถอยหลังกลับไปสู่มือถือยุคแรกๆ ถอยหลังเข้าคลองเลยก็ว่าได้ (สำหรับผมนะคนอื่นอาจจะชอบ) ถึงแม้ว่าจะมีหูฟังไร้สายที่ดูจะเป็นการพัฒนาเข้ามาทดแทนก็ตาม
+1
เห็นด้วยทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพเสียง
ทุกวันนี้เอา airpods ไว้คุยโทรศัพท์กับใช้ google maps
นำทางตอนขับรถ
หรือฟังเพลงเรื่อยเปื่อยบ้าง
(แต่ช่วงหลังก็เปิดฟังเป็นลำโพง Bluetooth ตัวเล็กๆ เสียงก็ยังดีกว่า)
แต่ถ้าฟังเอาอรรถรสจริงจังยังต้องเปิดลำโพงหรือต่อหัวแปลงอีกที
หูฟังดีๆ เพลงธรรมดา...ฟังเอาดนตรียังไพเราะ
หูฟังไม่ดี เปิดเพลงโปรด...ยังธรรมดา
ไม่ต่างกับ MP3 ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะหูฟังพวกนี้ใช้ lossy compression ครับ
ตัว lossless codec เหมือนว่าจะยังไม่ได้อยู่ในมาตรฐาน Bluetooth ครับ
USB-c to 3.5 ก็พอใช้ทดแทนเอาก็ได้นะครับ
เอาจริง ๆ ผมว่ามันตันแล้วนะมือถือ ไม่ค่อยมี feature อะไรน่าสนใจเท่าไร อย่างเรื่องการเขียนผมว่าคนเราพิมพ์ได้เร็วกว่านะ ถ้าวาดรูปประกอบนั่นคืออีกเรื่อง
That is the way things are.
ไม่ใว่ => ไม่ใส่
บูเก้ => โบเก้
Dex => DeX
จ่ายพลังงาน 25W ตัว ?
Galaxy Earbud => Galaxy Buds
มากเอยู่ ?
ไม่ใว่ ?
บูเก้ ?
ชอบ DeX จริงๆ อยากให้ค่ายอื่นที่ใช้ CPU ตัวแรงๆ แบบนี้ทำฟีเจอร์ในแบบเดียวกันบ้าง
ปล. เสียดายที่ไม่ได้รีวิวฟีเจอร์นี้
ไปจับมาแล้ว note10+ใหญ่มาก ใช้ note10 น่าจะเวิร์คกว่าสำหรับผมนะ
เข้ามานึกว่าจะมีภาพถ่ายเทียบ Note 10 กับ Note 10+ ที่ต่างกันเรื่อง TOF ในการเบลอซะอีก
ส่วน CPU รอบนี้ S กับ Note คนละตัวนะครับ ลองดูดีๆ ไม่เหมือนรอบที่ผ่านๆมา