สัปดาห์นี้ Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากเยอรมนี ได้เปิดตัว ID.3 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของบริษัทที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง หลังเจอมรสุมคดีโกงผลการทดสอบมลพิษเมื่อปี 2015 ทำเอาบริษัทต้องปฏิวัติธุรกิจของตนใหม่หมด
Volkswagen เปลี่ยนยุทธศาสตร์ของบริษัทใหม่โดยวางแผนว่าจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถึง 70 รุ่น รวม 22 ล้านคันในเวลา 10 ปีข้างหน้า และจะลงทุนราว 33,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 1 ล้านล้านบาท ในการปรับโครงสร้างองค์กรทั้งหมดภายในปี 2023
ในการนี้ Michael Jost ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์ของ Volkswagen ถึงกับให้สัมภาษณ์ว่าหากไม่มี Elon Musk งานของเขาคงจะยากกว่านี้มาก เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนบริษัทเก่าๆ ให้ไปสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากต้องโน้มน้าวคนในบริษัทให้ได้ ทำให้การมี Elon Musk เป็น "ไอดอล" เป็นการบังคับให้คนของ Volkswagen ต้องเดินตามรอยว่าเขาทำได้อย่างไร อีกทั้ง Volkswagen ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่า Elon เก่งกว่าตรงไหน และต้องทำอย่างไรจึงจะเอาชนะได้
Volkswagen ID.3
อย่างไรก็ตาม Jost ระบุว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Tesla ทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าเป็นเพราะ Tesla ไม่มี "รากฐานเก่าๆ" ในขณะที่องค์กรเก่าแก่อย่าง Volkswagen นั้นจะเปลี่ยนอะไรก็ลำบาก แต่ Tesla ตั้งบริษัทมาก็เริ่มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเลยและโฟกัสกับเป้าหมายนี้อย่างเดียว เลยทำให้รถ Tesla มีประสิทธิภาพสูงและมีแบตเตอรี่ที่ดี
สิ่งที่ Volkswagen น่าจะแข่งกับ Tesla ได้คือราคา โดยพวกเขาจะผลิตรถที่คนทั่วไปซื้อได้ ไม่ใช่เฉพาะเศรษฐีอย่างเดียว (We don't build cars for millionaires, but for millions.) ซึ่งต้องทำให้คนทั่วไปที่อยากซื้อรถธรรมดามากๆ อย่าง Volkswagen Golf ที่ราคา 28,000 ถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ เปลี่ยนใจมาซื้อ ID.3 ที่ราคาใกล้เคียงกันได้
Volkswagen ID.3
ขณะนี้ ID.3 มียอดสั่งจองตั้งแต่เดือนพฤษภาคมแล้วกว่า 30,000 คัน ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นรถเลย และ 75% ของยอดจองเป็นลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยใช้ Volkswagen มาก่อน
จากนี้ก็เป็นยุคสมัยใหม่ของ Volkswagen ซึ่งยังต้องมีอะไรให้ทำอีกมาก เช่นจุดกระแสรถยนต์ไฟฟ้าให้ติด อย่างน้อยก็ในเยอรมนีเอง
ที่มา - Business Insider
รูปทั้งหมดโดย Volkswagen
Comments
เยี่ยม
แสดงว่าคาดหวังยากที่ค่ายนี้จะ Create สิ่งใหม่ๆ
เป็นกับทุกๆ บริษัทที่เน้นผลิตรถยนต์ขายในตลาดแมสแหละครับ พวกการทดลองนวัตกรรมใหม่ๆ มันง่ายกว่าในแบรนด์ระดับบนๆ ที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องราคาเท่ากับรถตลาด
กว่าไมโครซอฟท์จะมาถึงจุดปัจจุบันได้ เล่นเอาเหงื่อแตกซีดเลยนะครับ ขยับช้าอืดอาดจนต้องปิด Windows Mobile, Windows Phone ไปเลย
อย่าง Sony เองนี่ก็ร่อแร่กับธุรกิจมือถือเต็มที ฝั่ง HTC ที่เคยเป็นเจ้าตลาดพรีเมียมที่มาพร้อมกับ Windows Mobile มาปัจจุบันก็ร่อแร่ครับ
ผมกลับมองว่า วิสัยทัศน์ที่ยอมรับว่าด้อยกว่า และพยายามจะไปนั่นล่ะคับ จะทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ บางเจ้าไม่ปรับตัวล้มหายตายจากไปก็มี
เป้าประสงค์แท้จริงของ Elon Musk ที่เขาสัมภาษณ์ตั้งแต่ทำบริษัทใหม่ๆคือ accelerate other industry ให้เปลี่ยนแปลง
ถ้านั่นคือเป้าใหญ่ของเขา ก็ต้องถือว่าประสบความสำเร็จแบบจังๆ
อันนี้เห็นด้วยเลย ผมชอบดูพวกวีดีโอการประกอบรถในโรงงานเห็นได้ชัดเลยว่า บ.รถดั้งเดิมจะวางระบบต่างๆในรถไฟฟ้าแทบจะเหมือนรถ ICE เลยทำให้เสียพื้นที่แล้วก็สมรรถนะไม่ได้ดีเท่าออกแบบใหม่ ส่วน Tesla นี่การวางมอเตอร์กับแบตนี่แทบจะเหมือนรถ tamiya เลย
พอบอก tamiya เห็นภาพเลย 555+
มันมีต้นทุนในการเปลี่ยน plan ของโรงงานทั้งโลกให้เป็นระบบใหม่ครับ รวมทั้งสาย supply chain ของชิ้นส่วนต่างๆ
ดังนั้นการออกแบบโดยยึดแนวการวางเครื่องแบบของ ICE มันจึง make sense กว่า
อย่าไปคิดง่ายๆว่าเราเก่ง เรามองออก แต่พวกวิศวกรบริษัทเหล่านั้นคิดไม่ออกเอง
ผมว่าคิดออกนะ แต่โดนสั่งให้ใช้ตัวถังกับชิ้นส่วน ของรถวิ่งน้ำมันให้มากที่สุดมากกว่า เลยเป็นที่มาของคำอธิบายว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนยากนักนะคนับ
"ลงทุนราว 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 1 ล้านล้านบาท "
มันน่าจะ 33พันล้าน หรือ 1 พันล้านบาท?
เขียนผิด แก้ละครับ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ผมเคยคิดมาตลอดเลยนะครับ ว่าถ้าเราอยากจะสร้างนวัตกรรมจริงๆ ต้องไม่ยึดติดกับอะไรเดิมๆ ต้องกล้าที่จะคิดอะไรใหม่ๆ ไปเลย แต่ในความเป็นจริง มันทำได้ยากมากๆ ปัจจัยมันเยอะเกินไป หรือถ้าทำขึ้นมาจริง บางทีคนก็ไม่ใช้กัน
อย่างน้อยเขาก็ยอมรับว่ามี ลุงอีลอน เป็นไอดอล และจะเดินตามรอย และจะเอาชนะให้ได้
ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรยากขนาดนั้นเลยบนะคับ Volk มีบริษัทลูกตั้งเยอะ
จะมีขึ้นมาอีกบริษัทจะยากอะไร สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ส่วน Volk ก็ขายรถเครื่องสันดาปต่อไป
มันก็ไม่ยากสำหรับการตั้งบริษัท แต่ที่ยากคือใครจะอาสามารับหน้าที่ตรงนี้ ถ้าเทียบกับทำที่เดิมที่รู้สึกว่าความเสี่ยงน้อยกว่า เรื่องพวกนี้มันเป็นปัญหาคลาสสิคสำหรับองค์กรใหญ่
บางครั้งมันต้องมีคนเปิดครับ ถ้าเปิดเองมันเสี่ยงขาดทุน
เปิดแล้วพลาดก็แบบ fuel cell Toyota ไง
ถ้าไม่โดนจับได้เรื่องโกงมลพิษ การเปลี่ยนไปรถไฟฟ้าคงยากกว่านี้เยอะ
:D
ก็นะ ทำตัวเองแท้ๆ แต่ก็ยังดีที่มีความพยายามแก้ไขและเปลี่ยนภาพลักษณ์ให้มันดีขึ้น
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว