MoviePass สตาร์ทอัพที่ให้บริการชมภาพยนตร์ในโรงหนัง แบบจ่ายรายเดือน ชมได้ไม่จำกัด ประกาศปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน ด้วยเหตุผลว่าผลของการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ยังไม่ประสบความสำเร็จ
ช่วงที่ผ่านมา MoviePass ประสบปัญหาการเงิน และพยายามปรับรูปแบบแพ็คเกจเพื่อลดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่รูปแบบ 9.95 ดอลลาร์ต่อเดือน แต่ชมภาพยนตร์ได้วันละ 1 เรื่อง ไปจนถึงโมเดลจ่ายเหมา แต่ชมภาพยนตร์ได้ 4 เรื่องต่อเดือนเป็นต้น ซึ่งก็ไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น จำนวนสมาชิกลดลงจากกว่า 3 ล้านคน มาอยู่ที่ 2.2 แสนคน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
Helios and Matheson Analytics บริษัทแม่ของ MoviePass กล่าวว่าจากนี้จะเป็นการจัดการสินทรัพย์ของ MoviePass ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้ว่าจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งได้หรือไม่
ที่มา: CNBC
Comments
เรื่อง
เรื่องเดือน ?
แนวคิดดี แต่อุดมคติไปหน่อย
การเข้าฉายในโรงภาพยนตร์คือรายได้หลักก้อนแรกของการทำภาพยนตร์
ส่วนการออก streaming คือรายได้กินระยะยาว
และ moviepass มารบกวนต้นสายป่านรายได้หลัก(คือการเก็บเต็มราคาไม่ใช่ราคาเหมา)จากหมัดหนักเป็นเบาขนาดนั้นผู้ผลิตคนไหนเขาจะเอาด้วย
หนึ่งบทเรียนการทำ survey ที่ทำแต่กลุ่มเป้าหมายแต่ไม่ทำในกลุ่มผู้ผลิตทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้ผลิต
ถ้าเป็นคนกลางเวลา survey ต้อง survey ทั้งสองฝั่ง
ผมว่าปัญหาของ MoviePass ไม่ใช่เรื่องไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตหรือโรงหนังนะฮะ แต่เป็นการประเมินรายได้ผิดไปมากกว่า
เพราะปัญหาที่ทำให้ปิดตัวคือ “เงินหมด” ก่อนที่จะใช้วิธีขึ้นราคา จนคนเห็นว่าไม่คุ้ม เลยเลิกจ่ายรายเดือน
โมเดลการหาเงินคือต้องการเอาจำนวนสมาชิกไปต่อรองค่าตั๋วกับโรงหนัง เพราะมองว่าโรงหนังยังขายป๊อปคอร์น น้ำอัดลมได้ (ปกติ moviepass จ่ายให้โรงหนังราคาเต็ม)
แต่เอาเข้าจริงๆ ยังไม่ถึงตอนนั้นเงินก็หมดซะก่อน เพราะสมาชิกก็ดูเอาคุ้ม เล่นไม่จำกัดรอบเลยนี่
แถมมีดราม่าตอนแรกๆ ว่าแอบเก็บข้อมูลผู้ใช้ด้วย รู้หมดว่าก่อนดูหนังทำอะไร ดูจบไปทำอะไร คงกะเอาไปขายแหละ แต่ดันความแตกซะก่อน
ปัญหาของ MoviePass คือคนแทบไม่ดูหนังโรงแล้วครับ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ถ้าดูสติตั๋วโรงหนังที่ขายได้ในสหรัฐอเมริกา จะเห็นได้ว่ายอดขายมันทรงๆ ทรุดๆ มาเกือบ 10 ปีแล้ว อาจเป็นเพราะ Netflix หรืออะไรก็แล้วแต่
ถ้ามองว่าเทียบกับจำนวนประชากรที่เพิ่มตลอดทุกปี (growth rate ~7% - 10% ย้อนหลัง 10 ปี) แต่ยอดตั๋วกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย
น่าจะอธิบายได้ว่าทำไมเจ๊งครับ
กลับกัน ผมมองว่าถึงแม้จะบอกว่ายอดขายตั๋วทรงๆ ทรุดๆ มาเกือบ 10 ปี แต่ทำไมโรงหนังถึงยังสามารถประคองตัวเองมาได้ แสดงว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างที่ support ในเรื่องรายได้ตรงจุดนี้อยู่ ซึ่งผมว่าตัวเลขนี้ไม่น่าจะสามารถหลอกได้ เพราะอย่างที่เรายังคงได้ยินกันอยู่คือ ตัวเลขรายได้จากโรงของหนังโดยเฉพาะหนังระดับ block buster ที่ยังคงมีประกาศออกมาอยู่เรื่อยๆ
เห็นด้วยครับผมว่าโมเดลมันพอไปได้แต่คำนวณโครงสร้างรายได้ไพรซิ่งไปด้วยกันไม่ได้ดีพอเลยจบที่ขาดสภาพคล่องจนเจ๊ง
ผมว่าเขาควรตั้งราคาตามเวลาฉายหนังกับฟอร์มหนังมาคิดราคาแยกประเภทสมาชิกประมาณว่า
1.สมาชิกพรีเมียม ดูหนังได้ทุกเรื่องทุกเวลาแต่ราคาแพงมาก อาจจะหลักหลายร้อยดอลต่อเดือน
2.สมาชิกปกติ ดูหนังฟอร์มใหญ่ได้แต่ต้องรอ2อาทิตย์หลังหนังฉาย หนังฟอร์มกลางๆ 1อาทิตย์ หนังอินดี้ดูได้เลย
3.สมาชิกราคาประหยัด ระยะรอนานกว่าข้างบนไปเรื่อยๆ
ถ้าทำแบบนี้น่าจะช่วยโรงหนังได้ด้วยเพราะมูลค่าที่นั่งหลังเปิดตัวหนังมันลดลงเรื่อยๆ โรงหนังน่าจะยินดีขายให้แอพในราคาลดลง
public gunning ก็มีส่วน
เว็บหนังออนไลน์ ดูหนังออนไลน์ ต้อง https://moviefreethai.com/