หลังจาก Xiaomi เปิดตัว Redmi Note 8 Pro แล้ว ทางผู้เขียนก็ได้ทดลองเล่นในงานเพื่อเอามาเล่าให้ผู้อ่านที่สนใจเป็นข้อมูลสำหรับตัดสินใจ โดยบทความนี้จะรวมไว้ทั้ง Redmi Note 8 Pro และ Redmi Note 8 เพราะทั้งสองรุ่นมีหน้าตาที่คล้ายกัน ทว่าสเปคจะแตกต่างกันบ้าง
ความแตกต่างหลัก ๆ ระหว่างรุ่นธรรมดากับรุ่น Pro คือรุ่นธรรมดาจะลดความละเอียดกล้องหลักจาก 64 ล้านเหลือ 48 ล้าน, ลดแบตเตอรี่ลง 500 mAh จาก 4,500 mAh เหลือ 4,000 mAh และใช้ชิปของ Snapdragon 665 ที่เป็นรุ่นกลางแทน MediaTek G90T รุ่นใหม่ โดย GSMArena ได้ผลทดสอบด้วย Antutu แล้ว พบว่า Snapdragon 665 ทำคะแนนได้แค่ 125,092 คะแนนเมื่อเทียบกับ MediaTek G90T ที่ได้สูงถึง 282,443 คะแนน แต่เวลาใช้งานจริงกลับไม่เห็นข้อแตกต่างกันนัก
รอบตัวเครื่องและพอร์ต
ดีไซน์ของ Redmi Note 8 Pro กับ Redmi Note 8 จะคล้ายและมีขนาดหน้าจอใกล้เคียงกันที่ 6.53 นิ้ว ของรุ่น Pro และ 6.3 นิ้ว ของรุ่นธรรมดา ทว่าส่วนของขอบเครื่องกับความหนาของตัวเครื่องจะแตกต่างกัน จากที่ทดลองถือเล่นมา Redmi Note 8 Pro จะมีขอบเครื่องที่โค้งเรียวกว่า Redmi Note 8 ที่มีทรงเหลี่ยมสันและหนากว่า
พอร์ตรอบตัวเครื่อง แบ่งช่องใส่ซิมและ microSD ที่ด้านซ้าย ส่วนทางขวาเป็นปุ่มล็อคหน้าจอกับปุ่มเพิ่มเสียงและลดเสียง ด้านบนเป็นไมค์ตัวที่สองกับ IR Blaster เพื่อคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ และขอบล่างมีช่องหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร, พอร์ต USB-C และลำโพง ส่วนระบบสแกนลายนิ้วมือจะอยู่ด้านหลังตรงกลางเครื่อง
Redmi Note 8 Pro
Redmi Note 8
จุดสังเกตหนึ่ง คือชุดกล้องของ Redmi Note 8 Pro จะอยู่ที่ตรงกลางตัวเครื่องแต่ Redmi Note 8 จะอยู่ที่ฝั่งซ้ายและตัวกล้องยังยกตัวนูนขึ้นมา ทำให้ตอนวางเครื่องลงบนพื้นโต๊ะอาจมีอาการโยกบ้าง คิดว่าถ้าใส่เคสจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้
ความรู้สึกตอนถือและลำโพง
ตัวเครื่องของ Redmi Note 8 ทั้งสองรุ่นใช้กระจก Gorilla Glass 5 ปิดรอบตัวช่วยให้ตัวเครื่องหนึบติดมือไม่ลื่นหลุดง่าย ๆ เหมือนบอดี้อลูมิเนียม น่าจะถูกใจคนที่ชอบใช้สมาร์ทโฟนแบบไม่ใส่เคส แต่ตัวเครื่องจะติดรอยนิ้วมือได้ง่ายเช่นกันถ้าใครจะอวดสีเครื่องสวย ๆ ควรจะเช็ดตัวเครื่องบ่อย ๆ ด้วย
ส่วนลำโพงที่ทาง Xiaomi นำเสนอในงานเปิดตัวว่าได้รับการปรับแต่งให้เสียงดังเป็นพิเศษนั้น จากที่ทดลองเปิดเพลงฟังขณะที่มีเสียงรอบข้างดังพอควรก็ได้ยินเสียงชัดเจน ทว่ายังไม่มีโอกาสได้ลองฟังดูว่าเสียงดังสุดแล้วเสียงแตกหรือไม่
UI และการทดลองใช้
Redmi Note 8 Pro ทั้งสองรุ่นใช้ MIUI10 ที่พัฒนาจาก Android 9 Pie เช่นเดียวกับ Redmi Note 7 รุ่นก่อน ซึ่งเครื่องในงานจะเป็น navigation bar แบบสามปุ่มหรือตั้งค่าเป็น Gesture ก็ได้
จากประสบการณ์ที่เคยทดลองเล่นสมาร์ทโฟนราคาไม่เกินหมื่นมาระดับหนึ่ง ส่วนตัวผู้เขียนจะติดภาพว่าสมาร์ทโฟนเรทราคานี้ถ้าได้สเปคจัดหนักมาแล้วจะต้องโดนลดต้นทุนที่จุดไหนก็จุดหนึ่ง และหลายรุ่นหวยออกที่หน้าจอโดยการตอบสนองตอนแตะสัมผัสนั้นทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่หน้าจอของ Redmi Note 8 Pro และ Redmi Note 8 กลับตอบสนองได้ดี กดติดง่ายและสีสันบนหน้าจอสดใสไม่แพ้สมาร์ทโฟนรุ่นที่ราคาแพงกว่า
กล้องและตัวอย่างภาพ
โหมดของกล้องจะมีโหมดต่าง ๆ อยู่ครบ ทั้งโหมดถ่ายแบบอัตโนมัติ, อัดวิดีโอ, พาโนรามา ฯ แต่จุดเด่นคือ Redmi Note 8 Pro, Redmi Note 8 จะมีโหมดที่ถ่ายภาพแบบ Ultra HD ที่ใช้กล้องเต็มความละเอียด 64 ล้าน หรือ 48 ล้านพิกเซล แยกเอาไว้ให้ถ่ายภาพความละเอียดเต็มเซ็นเซอร์โดยไม่ต้องตั้งค่าได้ทันทีหรือจะใช้ในโหมด Pro เพื่อปรับค่าต่าง ๆ ก็ได้เช่นกัน
ถ้าเทียบกับรุ่นก่อนอย่าง Redmi Note 7 ที่ใช้โหมดกล้อง 48 ล้านพิกเซลได้เฉพาะในโหมด Pro เท่านั้น ส่วน Redmi Note 8 Pro, Note 8 มีโหมดถ่ายภาพความละเอียดสูงเต็มเซนเซอร์นั้นช่วยให้เราเข้าถึงโหมดนี้ได้ง่ายกว่าเดิม แต่กล้องของ Redmi Note 8 Pro, Note 8 จะทำงานในโหมดอัตโนมัติเท่านั้นและไม่สามารถซูมได้
ตัวอย่างภาพที่ถ่ายจากโหมดถ่ายภาพเต็มความละเอียด
Redmi Note 8 Pro
Redmi Note 8
เกม
ภายในงานจะมีบูธที่เชิญนักกีฬา eSport มาเล่น PUBG โชว์ประสิทธิภาพของ MediaTek G90T ใน Redmi Note 8 Pro ว่าทำงานได้ดีขนาดไหน โดยผู้เขียนไปลองเช็คที่ GSMArena ว่าทำคะแนน Antutu ได้ระดับไหน ก็พบว่าประสิทธิภาพของ MediaTek G90T ทำคะแนนได้ถึง 282,443 คะแนน เทียบแล้วไล่เลี่ยกับ Qualcomm Snapdragon 845 หรือ Huawei Kirin 970 ทีเดียว
ลองปรับกราฟิกที่เครื่องทดสอบแล้ว ตัวเครื่องสามารถปรับกราฟิกได้ระดับ HDR และตั้งเฟรมเรทระดับ Ultra ได้ และจากที่ดูทีม eSport เล่นเกมแล้วก็เล่นได้ลื่นไม่แพ้รุ่นราคาสูงกว่าเลย ดังนั้นเรื่องเล่นเกมสำหรับ Redmi Note 8 Pro ไม่เป็นปัญหาแน่ ๆ
สรุปความคิดเห็นและราคา
หลังจากปีก่อนที่ Redmi Note 7 สร้างกระแสสมาร์ทโฟนราคาเบาแต่ได้สเปคคุ้มค่าจนใครต่อใครต้องยอมเสียเงินให้นั้น Redmi Note 8 Pro, Note 8 ที่มาสานต่อในปีนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองเช่นกัน ถ้าคนที่ตั้งงบประมาณเอาไว้ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทสำหรับสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่เพื่อใช้เป็นเครื่องหลัก
รุ่นท็อปอย่าง Redmi Note 8 Pro ที่วางจำหน่ายในราคา 64GB ที่ 7,999 บาท และ 128GB ที่ 8,999 บาท เป็นรุ่นที่เหมาะกับคนที่ชอบเครื่องสเปคดีราคาไม่แรง ให้แรม 6GB ทั้งสองความจุ, รับไฟชาร์จได้สูงสุด 18W พร้อมที่ชาร์จ 18W มาในกล่อง กล้องหลัก Samsung ISOCELL GW1 ความละเอียด 64 ล้านก็สามารถเก็บภาพได้ดีจนสามารถใช้เป็นมือถือเครื่องหลักได้เลย
แต่ถ้าเทียบราคากับ Redmi Note 7 จะแพงขึ้นมาราว 1,400 - 2,500 บาทด้วยกัน แต่ก็ถือว่าเพิ่มมาในระดับที่พอรับได้ ไม่เยอะจนเกินไป ทว่าขอตั้งข้อสังเกตว่าระบบสแกนลายนิ้วมือยังเป็นการสแกนที่ด้านหลังเครื่องอยู่ เพราะถ้าใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Xiaomi MI 9 Lite ที่วางจำหน่ายราคา 7,999 บาท มาด้วยเพื่อความสวยงามของชุดกล้องหลังและทำให้จับเครื่องในท่าพร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องขยับมือกลับมาแบบที่สแกนลายนิ้วมือหลังเครื่องก็จะหาข้อติได้ยากทีเดียว
ส่วน Redmi Note 8 ในความคิดของผู้เขียน มันก็คือ Redmi Note 7 ที่ปรับปรุงเรื่องกล้องให้มีลูกเล่นมากขึ้นจากที่มีเพียงกล้องหลัก 48 ล้านพิกเซลกับ 5 ล้านพิกเซลเท่านั้น ก็เพิ่มเลนส์ ultra-wide กับเลนส์มาโครเข้ามา ทำให้เก็บภาพในมุมกว้างได้ดีขึ้น ไม่ต้องถอยเยอะ แต่ในกล่องจะมีแค่ที่ชาร์จกำลังไฟ 10W มาเท่านั้นแม้จะรองรับชาร์จเร็ว 18W ก็ตาม ถ้าใครต้องการใช้ฟีเจอร์นี้ก็ต้องซื้อเพิ่มเอง
ส่วนราคาของแต่ละรุ่นได้แก่
แรม 3GB ความจุ 32GB อยู่ที่ 4,999 บาท
แรม 4GB ความจุ 64GB อยู่ที่ 5,999 บาท
แรม 4GB ความจุ 128GB อยู่ที่ 6,999 บาท
จากความคิดเห็นส่วนตัว รุ่น 32GB เหมาะจะเป็นเครื่องสำรองหรือซื้อมาเพราะต้องการใช้กล้อง 48 ล้านพิกเซลเป็นหลัก แต่ถ้าใช้เป็นเครื่องหลัก อาจจะเป็นรุ่น 64GB ขึ้นไปจะดีกว่า
Comments
รุป ร่าง สวย จัง