ประเด็นสำคัญที่ผู้ใช้ LINE คาใจกันมานานคือ "ทำไมไม่สามารถล็อกอินพร้อมกันในสมาร์ทโฟน 2 เครื่องได้" และ "ทำไมไม่เซฟรูปหรือแชททั้งหมดไว้ให้" ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีคำตอบจริงๆ จังๆ จาก LINE ในเรื่องนี้เช่นกัน
ผมมีโอกาสเข้าร่วมงาน LINE Developer Day 2019 และได้สัมภาษณ์วิศวกรของ LINE ประเทศญี่ปุ่นคือคุณ Shunsuke Nakamura และคุณ Masakuni Oishi ในเรื่องนี้พอดี และได้คำตอบมาฝากผู้ใช้ LINE ในไทยกันครับ (คำตอบสั้นๆ เป็นภาษาเทคนิคคือ technical debt)
คุณ Shunsuke Nakamura มีหัวข้อที่พูดในงานสัมมนาเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมของ LINE พอดี โดยใช้หัวข้อว่า LINT (LINE Improvement for Next Ten years)
ประเด็นสำคัญคือ LINE เริ่มพัฒนาขึ้นในปี 2011 ในยุคที่ผู้ใช้ยังน้อย (เพียง 1 ล้านคน) ทุกอย่างยังเพิ่งเริ่มต้น สถาปัตยกรรมของ LINE จึงออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ 1 คน 1 อุปกรณ์ (1 user 1 device 1 session) และงานฝั่งเซิร์ฟเวอร์รันอยู่บนคลัสเตอร์ของ LINE เองที่มีประมาณ 10 ตัวเท่านั้น
ตลอดเวลา 8 ปีที่ผ่านมา LINE มีผู้ใช้เติบโตขึ้นสูงมาก (ประมาณ 200 ล้านคน) มีบริการจำนวนมากที่พัฒนาขึ้นบนสถาปัตยกรรมเดิมของ LINE เช่น เกม เพลง วิดีโอ ฯลฯ ในขณะเดียวกัน ก็มีอุปกรณ์ชนิดใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น แท็บเล็ตหรือนาฬิกาอัจฉริยะ
การที่จำนวนผู้ใช้เติบโตอย่างรวดเร็ว โฟกัสของทีมงาน LINE จึงต้องสนใจเรื่องเสถียรภาพ (reliability) เป็นหลัก เพราะเคยเจอปัญหาเรื่องเสถียรภาพช่วงราวปี 2013 ทำให้เกิดภาวะส่งข้อความไม่ไป/ไปไม่ถึงผู้รับ เมื่อโฟกัสหลักของทีมวิศวกรอยู่ที่เสถียรภาพ จึงไม่เคยมีโอกาสได้มาปรับปรุงตัวสถาปัตยกรรมที่ออกแบบไว้ตั้งแต่ราวปี 2011 เลย
LINE จึงเกิดภาวะ technical debt หรือการเป็น "หนี้" เชิงเทคนิค ที่สถาปัตยกรรมในอดีตมีปัญหาบางจุด แต่ตอนนั้นไม่ได้แก้ และตามหลอกหลอนมายังปัจจุบัน
ทีมวิศวกรของ LINE บอกว่ารับทราบปัญหาเหล่านี้เป็นอย่างดี แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีความพยายามตั้งใจแก้ปัญหานี้กันอย่างจริงจัง ทำให้ปี 2019 นี้ LINE จึงตั้งทีม LINT (Line Improvement for Next Ten years) มาทำหน้าที่นี้
เนื่องจากปัญหาทางสถาปัตยกรรมมีจำนวนมาก ทีม LINT จึงโฟกัสแก้ไขเฉพาะบางปัญหาก่อน ที่แก้ไปแล้วในปี 2019 มีด้วยกัน 4 อย่างคือ
หมายเหตุ: รายละเอียดในสไลด์ของคุณ Nakamura มีเรื่องสถาปัตยกรรมทางเทคนิคแบบลงลึก (มากๆ) จึงไม่ขอเขียนถึงในที่นี้ แต่ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดสไลด์ กันได้
ถึงแม้โครงการ LINT ของปี 2019 ไม่ได้แก้เรื่องการล็อกอินหลายเครื่องพร้อมกัน แต่ผมเห็นในแผนการของ LINT ในอนาคตมีระบุเรื่องนี้ไว้ชัดเจน (3 อันบนในภาพ) ผมจึงได้สอบถามทั้งคุณ Nakamura และ Oishi เพื่อขอขยายความในประเด็นนี้
คำตอบที่ได้เป็นเหมือนในสไลด์แรกคือ สถาปัตยกรรมของ LINE วางไว้ตอนแรก มองแค่ 1 user 1 device 1 session จึงไม่รองรับการล็อกอินหลายเครื่องพร้อมกัน ถ้าจะทำให้รองรับได้ (เช่น กรณีของ iPhone + iPad หรือกรณีของมือถือ+พีซี) ต้องใช้ท่าแฮ็กเป็นกรณีพิเศษ ต้องทำการ migrate ข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลไปมา ซึ่งเปลืองทรัพยากรมาก ตรงนี้ LINE จึงเปิดให้ใช้หลายเครื่องเป็นกรณีๆ ไป และจำกัดเฉพาะอุปกรณ์เป็นชนิดเท่านั้น นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมเราไม่สามารถล็อกอินใน LINE บนสมาร์ทโฟนหลายเครื่องได้พร้อมกัน
คุณ Oishi บอกว่าทีมงานตั้งใจรองรับการใช้งานหลายอุปกรณ์ให้ดีกว่านี้ เพราะคิดว่าโลกในปัจจุบัน พฤติกรรมของผู้ใช้เปลี่ยนไป ผู้ใช้มีหลายเครื่องหลายบัญชีกว่าเดิม และส่งข้อมูลเป็นปริมาณต่อคนเยอะขึ้น ทำให้ระบบเซิร์ฟเวอร์หลังบ้านของ LINE เองก็ต้องก้าวตามให้ทันด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องสตอเรจว่าทำไมไม่เก็บข้อมูลแชทหรือรูปภาพให้ตลอดไป คำตอบก็ตรงไปตรงมาว่าเป็นเรื่องของต้นทุนฝั่งเซิร์ฟเวอร์นั่นเอง (LINE ใช้ระบบคลาวด์ภายในของตัวเองชื่อ Verda ที่พัฒนาบน OpenStack แต่ก็มีส่วนที่เขียนเองอยู่เยอะ) ด้วยต้นทุนการเก็บข้อมูลที่สูงมาก ทำให้ LINE ไม่สามารถรองรับข้อมูลทั้งหมดได้ และต้องปล่อยให้ข้อมูลแชทที่เก่าเกินไปนั้นหมดอายุและถูกลบทิ้งไป
กล่าวโดยสรุปคือ ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ LINE รับทราบดี แต่ต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการแก้ไขผ่านโครงการ LINT และยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะเห็นผลกันเมื่อไร ตอนจบการสัมภาษณ์ ผมจึงถือโอกาสเป็นตัวแทนผู้ใช้ LINE ในไทย จับมือให้กำลังใจกับวิศวกรทั้งสองท่านเพื่อให้แก้ปัญหาโดยเร็วครับ
คุณ Shunsuke Nakamura (ซ้าย) และคุณ Masakuni Oishi (ขวา)
Comments
ที่เคยคิดไว้ เป็นจริง จริงๆ ด้วย 555
ดูแล้วคงต้องใช้แอพแชทตัวนี้ไปอีกพักใหญ่ อยากได้เวอร์ชั่นไลท์ที่เบาจริงๆ อิอิ
..: เรื่อยไป
เคยตอบแล้วก็จะตอบอีก
- รบกวนช่วยยกเลิกทุกอย่าง เกมส์ ข่าว wallet ฯลฯ ให้เหลือแค่ฟังก์ชั่นการแชท กับสติ๊กเกอร์ แค่นี้พอ
ทุกวันนี้ หน่วยงานราชการ หรือเอกชน รัฐวิสาหกิจหลายๆที่ ใช้ความ casual ส่วนตัวของ line
มาใช้งานจริงจัง จนไม่รู้ว่ามีบรรทัดนี้
/*
ส่วนประเด็นเรื่องสตอเรจว่าทำไมไม่เก็บข้อมูลแชทหรือรูปภาพให้ตลอดไป คำตอบก็ตรงไปตรงมาว่าเป็นเรื่องของต้นทุนฝั่งเซิร์ฟเวอร์นั่นเอง (LINE ใช้ระบบคลาวด์ภายในของตัวเองชื่อ Verda ที่พัฒนาบน OpenStack แต่ก็มีส่วนที่เขียนเองอยู่เยอะ) ด้วยต้นทุนการเก็บข้อมูลที่สูงมาก ทำให้ LINE ไม่สามารถรองรับข้อมูลทั้งหมดได้ และต้องปล่อยให้ข้อมูลแชทที่เก่าเกินไปนั้นหมดอายุและถูกลบทิ้งไป
*/
ก็อยากให้ทุกคนที่ใช้ไลน์ รู้สึกทีว่ามีเรื่องแบบนี้ แล้วจะได้เลิกใช้กัน และไปใช้อย่างอื่นกันบ้าง
อย่างน้อยก็การใช้ในเรื่องงานจริงจัง ไม่ควรเอา Line มาสั่งงานกันเลย มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ ทำไมถึงไม่มี messenger app อื่นๆเอาชนะ Line ในการใช้งานในประเทศไทยได้เลย
ผมโชคดีอย่างที่ ที่ทำงานเก่าแบนไม่ให้แชท (อีเมล์อย่างเดียว) และที่ทำงานใหม่ใช้ Slack
Line ผมก็เลยปล่อยมันรันไปตามปรกติเหมือน messenger ตัวอื่น ๆ จะอ่านก็ต่อเมื่อว่างเท่านั้น
Slack ก็ข้อความเก่า หายเหมือนกัน เพราะโดนเก็บเป็นตัวประกัน
Slack ข้อความเก่าหายเพราะเกิน limit ถ้าอยากได้เพิ่มก็จ่ายเงิน ก็ตรงไปตรงมา แต่จะใช้งานกี่เครื่องทุกเครื่องก็ sync ข้อความกันหมด ไม่ใช่ sync แบบมาๆ หายๆ แบบ LINE
ขอถามหน่อยว่า limit ที่ว่าคือจำนวนข้อความหรือความจุครับ เพราะตอนนี้กำลังศึกษาว่าจะใช้โปรแกรมแชทสำหรับองค์กรตัวไหนดีครับ
จำนวนข้อความครับ
Pricing - Slack
ตามความเห็นข้างบนครับ คือ 10,000 ข้อความล่าสุด และ sync ได้ทุกเครื่องเหมือนกันหมด ถ้าจ่ายเงินก็คือ Unlimited แต่ถ้าเลิกจ่ายเงินก็เหมือน 10,000 ข้อความล่าสุด
ไอ้เรื่องบริการไร้สาระเนี่ย ผมเองก็บ่นครับ ว่าไลน์พักหลัง ๆ มาเริ่มหลงทาง
แต่พอจะมีบางส่วนที่จะแก้ขัดไปได้บ้าง คือการสลับแท็บ LINE TODAY เป็นแท็บ Calls ให้ไปที่ Settings ของ LINE แล้วเลือกที่ Calls แล้วไปที่ตัวเลือกด้านล่างสุด เพื่อเปลี่ยนจาก LINE TODAY เป็น Calls
อีกอันที่พอลดไปได้บ้างคือ Chat List Banner (aka Glorified Ads) ไปปิดที่ Settings => Account แล้วเลือก Chat list banners แล้วเอาออกทุกอย่างเลย
โดยรวมแล้ว LINE ของผมสงบขึ้นเยอะ แต่ก็ยังหงุดหงิดไม่หาย แถมที่เหลือ ผมคงทำอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะพวกที่เป็นกลุ่ม user retention ต่าง ๆ (แม้พักหลัง ๆ มันเริ่มน้อยลงจากการเปลี่ยนตัวแจ้งเตือนส่วนนี้เป็นสีเขียวแทน ซึ่งลดความน่ารำคาญไปได้บ้าง)
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ขอบคุณมากครับ
ขอแบ็กอัพง่ายๆแบบ whatsapp ได้ไหม นี่จะย้ายเครื่องทีโครตลำบากเลย
back up version ใหม่ๆ sync google drive ได้แล้วหนิครับ ผมว่าค่อนข้างง่ายนะครับ
แต่ว่ามันไม่ได้รูป / sticker แบบ backup รุ่นเก่า
มองในมุมหนึ่งมันก็ยังไม่สะดวกนะ
แถมการ backup ที่มีอยู่ มันไม่รองรับข้าม platform (iOS <-> Android)
ผมกว่าการ Sync Drive OK นะ เห็น whatsapp ก็เหมือนจะทำเหมือนกัน
แต่เรื่อง iOS <> Android นี่ก็จริงแหะ เรื่องนี้ลืมคิดไปจริงๆ
มันไม่มี automatic backup รายวันแบบ WhatsApp น่ะสิครับ อยู่ๆ เครื่องพังกระทันหันก็โบกมือลาได้เลย
เห็นด้วย กดไลค์ล้านที
Telegram นี่ทำผมนิสัยเสียไปหล่ะ ไม่ต้อง Backup Login ก็ Sync เลย
เป็นกำลังใจให้ครับ
แต่ที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าซอฟแวร์ฝั่งญี่ปุ่น โค้ดไม่ค่อยสวยงาม(มีประสิทธิภาพ)และ Friendly ยืดหยุ่นเท่าไหร่นักในการพัฒนา(รวมถึงใช้งาน) เน้นพลังถึกมากกว่าเห็นแล้วว้าว
ผมว่าคนเขียนแบบเยอะ เน้นถึกมันเยอะกว่า เพราะเขียนง่ายตามความรู้และ Library ที่พวกเขามี มีน้อยนะที่จะเขียนโค๊ดได้สั้นและใช้งานได้ดีเท่าแบบเขียนยาว
ผมก็เน้นเขียนแบบยาว เข้าใจง่าย ไม่ถนัดเขียนอย่างสั้นเพราะความรู้ที่มีจำกัด กับโค๊ดสั้นบางตัวก็ทำความเข้าใจและเอามาใช้งานตามความต้องการยาก
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
เบื่อมากที่ต้องเอา Line ส่วนตัวมาติดต่องาน อยากให้มีแอพ Line อีกอันแยกออกมา อย่าง Line for Work
my blog :: sthepakul blog
มีในญี่ปุ่นมาสักพันใหญ่ๆละนะครับ https://line.worksmobile.com/jp/en/
แต่ยังไม่เปิดบริการในไทย
แต่ว่าองค์กรใหญ่ๆต้องเสียเงิน ซึ่งถ้ามาไทยก็คงยากมั้ง ที่จะยอมเสียกัน
https://line.worksmobile.com/jp/en/
อันนี้ไม่ใช่หรอครับ
มี LINE Works ครับ แต่ญี่ปุ่นล้วนเลย...
Coder | Designer | Thinker | Blogger
อยากรู้ความเห็นคนอื่น กับความเชื่อมั่นใน end to end encryption ของ line ว่าคิดกันยังไงบ้างครับ
blog
กากขนาดนี้ ก็ไม่อยากจะทนใช้หรอก ถ้าไม่ต้องใช้ทำงาน
บอกว่าขี้เกียจทำผมจะเชื่อกว่านะ แอพก็แถมขยะมาซะเยอะ
กาก
แหม่ เรียกว่าขี้เกียจก็ตรงเกิ๊น เรียกว่า technical debt ค่อยฟังดูดีหน่อย
เค้าเชิญไปทำข่าว ก็ต้องให้เกียรติกันบ้าง
ผมเห็นด้วยเรื่องอยากเลิกใช้ไลน์นะ แต่บ้านเรา?? เป็นอะไรที่แบบ Line Line Line Line
ไม่น่าให้ฮิตในไทยเลย โคตรไม่เหมาะ ข้อมูลหายนี่แย่มาก ตอนนี้สำรองข้อมูลรูปได้แต่ก็ไม่หมด เป็นปัญหาจัดๆ ไม่อยากใช้มากจนอยากให้เจ๊งในไทยเลยด้วยซ้ำ
ทำให้ไม่อยากเปลี่ยนมือถือบ่อยเลย ย้ายไปมา iOS Android ก็แชทหาย แอปก็หนักเครื่อง มีอะไรที่นอกเหนือจากการแชทเป็นไปหมด
อ่านแล้วก็แค่ขี้เกียจแหละ เลยตามไม่ทันเจ้าอื่น
น่าจะเป็น Style ของ Asia เปล่า ไม่ค่อยไร แบบมีเอกลักษณ์แปลกๆ 55 ไม่เหมือนฝั่งตะวันตก เคยใช้พวกโปรแกรมของญี่ปุ่นงี้ก็รู้สึกแปลกๆ UI/UX
พอเบบี้บูมเริ่มใช้ line ถึงตอนนั้นเราก็ถอนมันออกจากชีวิตไม่ได้เลยครับ
ทั้งๆที่อยากให้แอพอื่นฮิตแทนใจจะขาด
ถ้าบ่นคงมีเรื่องที่ระยะเวลาเก็บข้อมูลย้อนหลังน้อยมาก รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้น้อยลงกว่าเมื่อก่อนอีก ลูกค้าส่งรูปส่งไฟล์มาเมื่อไม่กี่วันจะกลับไปเปิดกลายเป็นดูไม่ได้แล้ว
ก็เข้าใจว่าทุกอย่างมันมีต้นทุน แต่ช่วยทำให้ผู้ใช้มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้หน่อยเถอะครับ
การทำเงินมหาศาล ขนาดเปิดบริการมากมาย แล้วบอกไม่มีงบ สำหรับ Storage นี่มัน... ข้ออ้างชัด ๆ ความจริงคือประหยัดต้นทุนมากกว่า
+1
Line เวอร์ชั่น Windows
สามารถ Login โดยการกรอกรหัส ได้ทั้งภาษาไทย และ อังกฤษ
เช่น ถ้าผมตั้ง Password เป็น helloworld ผมลืมสลับภาษาพิมพ์แล้วดันไปพิมพ์ ้ำสสนไนพสก ผมก็สามารถ Login ได้เหมือนกัน
+1 ยืนยันครับว่าทำได้
มองโลกในแง่ดีเขาอาจจะใจดีสลับตัวอักษรกลับเป็นภาษาอังกฤษให้ก่อนนำไปล็อกอิน
มองในอีกด้าน ก็... นะ
และสิ่งที่น่าทึ่งอีกมากๆคือ ตอนเลือกแนบไฟล์/รูปภาพ โฟลเดอร์ที่ซ่อนไว้ถ้าเปิดจากไลน์จะไม่ซ่อนอีกต่อไป เคยรายงานให้ LINE แล้วรอบนึงเงียบ ได้คำตอบแบบลิสค์ว่าต้องทำยังไงบ้าง(ซึ่งไม่เกี่ยวกับที่รายงานเลยแม้แต่น้อย)
Mekokung's Story บล็อกส่วนตัวที่ย้ายไป Blogger แล้วนะ
Login2เครื่องไม่ได้เข้าใจ
ไม่เก็บข้อมูลให้ก็เข้าใจ ต้นทุนสูง
แต่ของแอนดรอยด์ แต่ก่อนต่อคอมพิวเตอร์ backup ได้ทั้งหมดทั้งลูกสติ๊กเกอร์ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้ จะยกเลิกเพื่ออะไร
แต่ถ้าใช้ ios นี่มัน login แยกได้ระหว่าง iphone กับ ipad ไม่ใช่เหรอครับ (อันนี้ผมไม่เคยใช้นะ เพื่อนเคยบอก ถ้าไม่จริงขออภัย)
ได้ครับ
มีอธิบายอยู่ในข่าวนะครับ ว่าให้เป็นกรณีพิเศษ แต่เปลืองทรัพยากรมาก
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
เป็นท่ายากครับ (hack api) ลักษณะเดียวกับ Line ในเวอร์ชั่น Desktop ครับ
ล็อกอินทีนึง fetch กันสนุกสนาน
เรื่อง Backup สามารถทำแบบ offline ได้ ทำไมถึงไม่ทำให้ backup all ทีเดียวไปเลย ซึ่ง PC ควรจะทำมากมาก มันไม่เปลืองต้นทุนไลน์อะไรเลย
ขนาดใช้ไลน์ Business เสียตังก็ยัง Backup ได้แต่ตัวอักษร
ห่วยมากๆ
อ่านแล้วรู้สึกเสื่อมมาก
อย่ามาอ้างงบ หรือต้นทุนเลย แค่ขายสติกเกอร์ปีนึงได้ตั้งเท่าไร ข้างๆ คูๆ จริง
WE ARE THE 99%
ว่าแล้ว วิศวกรไลน ทักษะไม่เท่าพวก เฟสบุคเมสเสนเจอร์
มีแต่ คอมเมนต์ด้านบน บ่นๆๆ 55555
แนะนำให้ไปดูงานของ Wechat ดีกว่าครับ
ส่วนตัวได้ใช้บ้าง ติดต่อกับคนที่จีน ชอบมากมาย
ข้อมูล 5-6 ปี เปลี่ยนกี่เครื่องก็โอนย้ายได้หมด ทั้งรูป ทั้งข้อความ
(หนักเครื่อง แต่รู้สึกดี เวลาค้นหาข้อมูลเก่า ๆ ไม่ต้องห่วงว่าจะหาย)
เรื่องงบอย่าอ้างเลย มีเหลือเยอะจนบอกไม่ได้
ทำไมไม่เก็บไว้ที่อุปกรณ์ที่ใช้งานก็จบแล้ว ไปเก็บไว้เองทำไม
ก็ขายสติ๊กเกอร์ได้ จะพัฒนาทำไม ฮาๆๆๆๆ
ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้สึกว่า มันไม่น่ามาดังในไทยเลยจริง ๆ ไม่มีอะไรเหมาะกับการใช้คุยงานเลยแม้แต่นิดเดียว
ตอนนี้ขอให้ย้ายข้อมูล เอาแค่ข้อความอย่างเดียวก็ได้ ไฟล์/รูปภาพ ไม่ต้องตามมาก็ได้ ในการย้ายข้าม platform เป็นภาระในการตัดสินใจมาก เวลาจะย้ายค่ายระหว่าง ios - android
แล้วก็มี line for work หรือคล้ายๆ line square ก็ได้ เป็นห้องแชตพิเศษที่ใช้ทำงานได้ แยกกับไลน์ส่วนตัว
อีกอย่างคือทำไมจัดกลุ่มรายชื่อก็ไม่ได้??? ถ้า
fbmassenger หน้าตาเหมือนไลนใช้งานง่ายๆย้ายไปแล้ว!!
แยกการจ่ายเงินเป็นอีกแอพ และเอาให้เหลือแค่ แชท sticker theme พอ ทุกวันนี้บวมจนไม่รู้จะบวมไงละ
อยากให้เลือกเก็บข้อมูลแชทกับรูปไว้บนมือถือได้เลย นี่ต้องโหลดมาใหม่ทุกรอบ เปลืองต้นทุนฝั่ง server แล้วก็เลยปล่อยให้มันลบๆ ไปงั้น
ในมือถือกะdesktop ข้อความไม่ได้syncกัน100%ใช่มั้ย
ลบดีกว่า ขี้เกียจมาม่า
เอาใจช่วยไลน์ล่ะกันครับ
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ทุกวันนี้ ใครส่งเอกสารอะไรมาให้ทางไลน์ ผมด่ายับ พร้อมไล่ให้ไปส่งทาง mail หรือปล่อยแชร์ลิงก์ด้วย Drive
อีกประเภทที่จะด่าให้จมดิน คือ "ทำไมไม่ตอบไลน์ รู้ไหมว่าเรื่องด่วน" พร้อมแถมท้ายให้ว่า เป็น<คำไม่สุภาพ>ไรถึงต้องติดต่อเรื่องด่วนด้วยไลน์
อยากให้ whatsapp กลับมาฮิตอีกครั้ง
อยากให้ Line ตายๆไปซ่ะ
ทุกวันนี้คุยกันแทบไม่รู้เรื่อง พิมพ์ไปตั้งเยอะ ส่ง sticker กลับมาอันเดียว หมายความว่าไงหว่า????
ถ้ามีกระแสคนแห่ไปใช้ app อื่นกันหมด ปัญหา technical debt และต้นทุนการเก็บข้อมูลก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก จะทำทุกอย่างที่คนเคยขอได้ทันที แต่พอกระแสไหลไปแล้ว มันก็จะยากที่จะกลับมา
แล้ว fb messenger เค้าใช้สถาปัตยกรรมอะไรถึงเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ได้ครับ
focus on เสถียรภาพมันก็ดี แต่ว่าตั้งแต่เริ่มจนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีการ rebuild อะไรกันใหม่เลยหรือ? แล้วเพิ่งมาตั้งทีมเพื่อสร้างใหม่เนี่ยนะ?
รอดมาได้ยังไงจนป่านนี้เนี่ย -_-
มันตลกมาก เป็นฟีเจอร์ที่ควรมีตั้งแต่แรก ไม่ใช่ทำ noti ข่าว บราๆๆ
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
รู้สึกดี เหมือนคนสาย IT ไม่มีใครชอบ Line ผมล่ะโคตรเบื่อเลย ยิ่งผู้ใหญ่เดี๋ยวนี้แยกไม่ออกระหว่างแอพ messenger กะ social media ยิ่งเอามาสั่งงานอีก โอ้ยยย มันมา popular ในไทยแค่เพราะเรื่องสติกเกอร์แน่นอนผมว่า ชอบ WhatsApp มากกว่าร้อยล้านเท่า ทั้งในเรื่องของ UI และ reliability หรือจะใช้ Messenger กันก็ได้ เพราะส่วนใหญ่ก็มี Facebook กันอยู่แล้ว ทำไมต้องแอด Line ID กันอีก แถมยังใช้ multi-device ได้ด้วย เป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับคนพกหลายเครื่องอย่างผม
ที่ว่า Line กันแรงๆนี่ เค้าไปบังคับให้คุณใช้กันหรอ 5555
ที่บ่นๆ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพโดนบังคับทางอ้อมครับ
ก็อยู่ที่คนใช้อยู่ดีแหละครับ เพราะคนนิยมใช้กัน เลยใช้ตามๆกัน
เราในฐานะผู้ใช้งาน (ลูกค้า) ไม่สามารถวิจารณ์ ติชม หรือเสนอแนะตัวสินค้าหรือบริการใดๆ ได้ ก็น่าเศร้านะครับ ถ้าจะใช้แค่เหตุผลว่า ไม่พอใจก็เลิกใช้ไปเพียงอย่างเดียว
ที่ผมบอกว่า ว่าแรงๆ มันสื่อถึงความไม่อยากใช้ แต่จำใจต้องใช้ไงครับ ในฐานะผู้บริโภคก็มีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ใช้ครับ แต่กลายเป็นว่ามาลงที่ Line แทน เพราะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้ใช้เองได้ ทั้งๆที่บทความเค้าก็อธิบายมาแล้วว่าทำไมถึงไม่ทำ ตอนนี้ Loser คือคนที่บ่นครับ ไม่ใช่ Line
กำลังงงว่าทำไมถึงต้องไปว่าคนที่เค้าบ่นว่า loser ผมยังงงอยู่ (ซึ่งจากเคสที่ว่านี้ก็น่าจะรวมถึงผมด้วย)
การอธิบายว่ามันมีข้อจำกัดอะไร มันเป็นปัญหาของตัวบริษัท ส่วนว่าลูกค้าจะยอมรับได้หรือไม่ก็อีกเรื่อง ถ้าลูกค้ายอมรับไม่ได้ก็บ่นไปตามปรกติ บริษัทก็รับไปเข้าแผนพัฒนาต่อ (ตามบทความก็มีแผนว่าจะพัฒนา)
แน่นอนในฐานะผู้บริโภคมีสิทธิ์เลือกครับ แต่มันมีเคสที่สินค้าและบริการมีอำนาจเหนือตลาด และวิถีชีวิต มันไม่ใช่แค่ร้านอาหารข้างทางร้านหนึ่ง ที่ไม่กินก็ได้ แต่อันนี้มันเกี่ยวกับวิถีชีวิตคน ถ้านึกไม่ออกก็เคส 7-11, Microsoft Windows, Google Search หรือ Android เป็นต้น ซึ่งเสียงบ่น ต่างๆ นาๆ ก็เห็นเยอะแยะไป ไม่เห็น loser เลย เค้าก็ลูกค้า ถ้าไม่อยากได้ยินเสียงบ่นก็พัฒนาปิดช่องว่างที่คนบ่นเยอะๆ คือคนบ่นความสามารถใดเยอะๆ ว่ามันยังดีไม่พอ หรือคนต้องการความต้องการไหนมากๆ แสดงว่าเราขาดจริงๆ และควรรีบพัฒนาให้มี นั้นแสดงว่าลูกค้ายังต้องการใช้งานสินค้าและบริการของเรา ถ้าไม่มีเสียงบ่น แล้วยอดคนไม่เติบโต และค่อยๆ ลดลง อันนี้ซิน่าเศร้ากว่าในมุมบริษัท
ไม่ได้ชอบเขาแต่เอาชนะเขาไม่ได้ เหมือนแบนอเมริกาแต่ต้องใช้ของอเมริกา แบน CP แต่ก็ต้องซื้อของเค้า ไม่อยากใช้ LINE แค่ไหนก็สู้ไม่ได้ต้องจำใจใช้
ก็ไม่ผิดหรอกครับ
โอเค งั้น loser ก็ได้ ;)
แต่ผมก็อยู่ฝั่ง loser นะครับ ? ถ้าช่วยกันพัฒนาให้ไปข้างหน้าดีๆ ไม่ได้ก็
ผมว่าคุณร้อนตัวไปเองแหละครับ
จะกล่าวหาว่าคนอื่นร้อนตัว ก็ต้องถามกลับว่าคุณหมายถึงใคร? แบบเจาะจง
ถ้าคุณตอบไม่ได้แบบเจาะจงได้ แสดงว่าคุณพูดถึงคนหมู่มากซึ่งไม่เจาะจงตัวบุคคล เค้ามีสิทธิ์จะร้อนตัว หากความหมายของข้อความนั้นๆ คนรับสารรู้สึกว่าคือตัวของเค้าครับ
ผมงงว่าจุดประสงค์ของคอมเมนท์คุณต้องการอะไร? ต้องการมาสมน้ำหน้าคนที่ต้องจำใจใช้เพราะไม่มีทางเลือก?
ถ้าแบบนี้คือสิ่งที่ควรจะเป็นจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าฟีเจอร์รีวิวบน store ต่างๆ จะทำขึ้นมาให้รกให้เปลืองทรัพยากรทำไม
บริษัทเค้าก็ต้องหารายได้นะครับ
ตอนนี้ผมว่าเหมือนคุยกันคนละเรื่องแล้ว
ผมเข้าใจว่าคุณตอบผมเรื่องที่ผมบอกว่า เราใช้ service ตามๆกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยการที่คุณบอกว่าแล้วจะมีฟีเจอร์ต่างๆมาให้รกทำไม ผมกำลังจะตอบคุณว่า การที่บริษัทต่างๆสร้างอะไรขึ้นมาซักอย่างก็เพื่อพัฒนาสินค้าตัวเองให้ดี ให้รองรับรายได้และหวังผลกำไรทั้งนั้นแหละครับ ไม่ได้ตั้งใจสร้างมาเพื่อให้มันรกคุณหรอก มันเป็นความรู้สึกของคุณเอง
ก็นั่นแหละครับ คือเป้าหมายของการรีวิวคือการรับทั้งข้อติชมและข้อเสนอแนะ(ด่า) เพื่อเอาไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างที่มันควรจะเป็น และสร้างผลกำไรให้บริษัท ซึ่งเป็น common sense ที่ทุกคนก็รู้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ต้องทำ แต่ถ้าจะบอกว่าก็แล้วไงก็ยังใช้อยู่ดี มันเหมือนกับว่า feedback พวกนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไร ก็เลยเป็นที่มาว่า ถ้าเห็นว่ามันไม่จำเป็นหรือสำคัญก็ไม่เห็นต้องเก็บไว้ให้เปลืองทรัพยากร
อิหยังหนิ
คุณยังไม่เคยพลาดงานสำคัญ เพราะหน่วยงานคุณส่งให้เฉพาะทางไลน์สินะ หรือว่าคุณคือบุคลากรสำคัญในระดับที่คุณสามารถบังคับผู้ร่วมงานของคุณให้ใช้อย่างอื่นแทนไลน์ได้ หรือว่า... คุณยังไม่เคยทำงานเป็นทีม
กะลังโน้มน้าวเพื่อนๆให้ไปใช้ fb messenger อยู่หลายๆคนก็เริ่มใช้คู่กันกับไลน์แล้ว
ไป https://delta.chat/en/ กันครับ
*