ปัจจุบันสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ามีวิธีคิดค่าชาร์จไฟด้วยกันสองแบบ คือคิดตามนาทีที่ใช้ และคิดตามปริมาณไฟฟ้าหน่วยเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมงที่ชาร์จไป
ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานกฎหมายรัฐแคลิฟอร์เนียได้ผ่านกฎหมายใหม่ที่บังคับผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟต้องคิดค่าบริการตามปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ ห้ามคิดจากระยะเวลาที่รถมาจอดชาร์จ โดยระบุว่าสถานีชาร์จไฟนั้นให้บริการ "ไฟฟ้า" ซึ่งคือเชื้อเพลิง (fuel) ของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ต้องนับปริมาณไฟฟ้าที่จ่ายออกไปเป็นหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) หรือเมกะจูล (MJ) พร้อมระบุว่าการให้บริการชาร์จไฟไม่ถือเป็นการให้บริการที่จอดรถ จึงไม่สามารถคิดค่าบริการเป็นหน่วยของเวลาได้
ภาพตู้ชาร์จ Intercharge
กฎหมายนี้จะกระทบกับผู้ให้บริการสถานีชาร์จไฟหลายราย เช่น Electrify America และ EVgo ที่คิดค่าชาร์จไฟเป็นนาที และแม้จะไม่กระทบกับสถานี Supercharger ของ Tesla ที่คิดค่าบริการเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมงอยู่แล้ว แต่ Tesla จะต้องทำตามกฎหมายใหม่อีกข้อที่บังคับให้ตู้ชาร์จมีหน้าจอแสดงราคาต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง, กำลังไฟของตู้ชาร์จ และตัวเลขแสดงปริมาณไฟฟ้าที่ชาร์จไปแล้วในหน่วยกิโลวัตต์ชั่วโมง
กฎหมายที่ห้ามคิดค่าบริการเป็นนาทีจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2020 นี้เลย ส่วนกฎหมายบังคับให้มีหน้าจอแสดงข้อมูลนี้จะบังคับใช้เป็นระลอก โดยสถานีชาร์จแบบเร็วปานกลางจะต้องมีหน้าจอหากติดตั้งในปี 2021 เป็นต้นไป และสถานีชาร์จด่วนจะต้องมีหน้าจอหากติดตั้งในปี 2023 เป็นต้นไป
ที่มา - Electrek
Comments
ดีครับ
กินเป็นนาที นี่ก็โกงได้ แกล้งจ่ายไฟออกมาน้อยๆ ลูกค้าก็ต้องจอดชาร์ทนานๆ กินเงินฟรี
มองจากด้านผู้ให้บริการ บางคนจอดคานานๆ ใช้เป็นที่พักรถ ไล่ไม่ได้ด้วย
ถ้าจอดคาหลังชาร์จเต็มเกิน xx นาทีก็น่าจะคิดอัตราจอดรถได้นะครับ
ลองเล่าให้ฟังในเชิงปฏิบัติหน่อยครับว่าจะจัดการยังไงกับปั๊มน้ำมันที่อเมริกาที่ไม่มีพนักงานบริการ แล้วระบบจะจัดการยังไงกับการจอดหลังเติมน้ำมัน และจะบังคับให้ลูกค้าจ่ายเงินได้ยังไง
อันนี้ถามไม่ได้กวนนะครับ ถามเพราะผมคิดแนวทางไม่ออก ผมคิดออกแบบที่คุณ TeamKiller เสนอข้างล่าง
เรื่องแรก ถ้าเติมเสร็จแล้วจอดคาไว้ ถ้ามีคนต่อหลังเค้าไล่เองครับไม่ต้องทำอะไร เพราะคนอื่นเค้าก็จะเติม อีกอย่างก็คือในปั๊มจะมีคนดูแลคนนึงตลอดครับอยู่ในห้อง ระบบมันจะโชว์ข้อมูลทุกหัวจ่ายครับ ถ้าเลขหยุดวิ่งยาวแล้วไม่ไปเค้าก็รู้
ส่วนเรื่องที่สอง สอดบัตรก่อนเติมครับ เติมเสร็จก็กดตกลงจ่ายเงินมันก็หักบัตรไปไม่ยากอะไร ถ้าจะจ่ายเงินสด ก็ต้องเดินเข้าไปหาคนดูแลบอกว่าหัวจ่ายไหน เติมเท่าไหร่ แล้วก็เดินกลับไปเติม แค่นี้เอง
ขอบคุณครับ ผมเคยดูแต่ในวิดีโอรีวิว ไม่เคยเห็นพนักงานเลย
ความแตกต่างระหว่างสองอย้างนี้ ระหว่างน้ำมัน กับไฟฟ้า คือระยะเวลาที่ใช้เติมครับ น้ำมันมันง่ายเพราะเติมแป๊บเดียวเดินไปไหนไม่ได้ แต่ไฟฟ้ามันนานกว่า คนเติมอาจจะเบื่อเดินไปโน่นนี่ไม่ได้ดูตลอดเวลา ประมาณเวลาเสร็จเองก็ยาก
แก้ปัญหาง่ายๆกรณีไฟฟ้า คือตอนเสียบสายชาร์จ หัวจ่ายต่องบอกระยะเวลาที่ใช้เติมครับ ว่าถ้าเต็มจะเสร็จกี่โมง คนจอดจะได้ไม่มีข้ออ้าง ช่วงนี้ก็คิดแต่ค่าไฟเติมแบต ถ้าเต็มแล้ว ก็เริ่มคิดเป็นค่าจอดต่อนาที แต่อาจจะมี grace period ว่าจอดได้กี่นาทีก็ว่าไปไม่คิดเงิน
ชอบคำตอบแบบนี้แหละครับ ได้คิดตามไปด้วยเพราะผมมองภาพเองไม่เห็นเลย
ขอบคุณครับ
เรื่องใช้เป็นที่พักรถ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแรกๆ ที่เขาจะเอามาคิดในเรื่องของการให้บริการเลยมั้งครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร โดยยึดโมเดลจากปั้มน้ำมันปกติ ที่เจ้าของปั๊มคงไม่ยอมให้มีการบล็อคสล็อตใดสล็อตหนึ่งนานเกินไปจนเสียโอกาสที่จะได้ลูกค้าหมุนเวียนในแต่ละวัน
เต็มแล้วหยุดจ่ายไฟครับ ให้เจ้าของรถลงมาถอดๆ เสียบๆ สู้เอาละกันครับ
อาจจะเพิ่มกล้อง วิเคราะห์การใช้งานด้วยรถจอดนิ่งๆ นานๆ หลังจากชาร์ทเต็มแล้ว อาจจะคิดราคา surge ฮ่าๆ
ผมก็คิดแบบเดียวกันเลยครับ ผมไม่ได้เห็นด้วยกับการคิดเป็นนาทีนะ แต่เข้าใจได้ว่าทำไมถึงคิดเป็นนาที
ก็จริงนะ ไม่ได้นึกเรื่องนี้เลย
ของ EA ที่บ้านเรา ตอนนี้ยังฟรีอยู่ แต่บางที่มีราคาติดแล้ว คิดราคาเป็นนาที ซึ่งผมว่าแพงมาก
แล้วจ่ายไฟแค่ AC กระแสต่ำ
e-power ของ Nissan คล้ายๆ Chevy Volt คือทางออกสำหรับปัญหาสถานีชาร์จไฟ
น่าจะแบบว่า ชาร์จจนเต็มแล้ว แต่ยังจอดอยู่ทั้งวัน เลยต้องคิดเป็นนาทีดัดนิสัย
งัั้นควรแยกคิดครับ ค่าชาร์จไฟ กับค่าจอดต่างหาก
คิดเรทแพงสุด แล้วจัดโปร bundle ได้เปล่า?
ถ้าแบบนั้นก็ต้องคิดแยกให้ชัดเจนครับ ขืนคิดเหมารวมแบบนั้นก็โดนโกงกันพอดีแบบที่ comment ก่อนหน้านี้พูดถึง
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
ชาร์จฟรี คิดค่าจอด ?
+1
มันก็คิดเป็นนาทีสิครับ เพราะคิดแต่ค่าจอด มันก็คงไม่ต่างกัน
ถ้ายังไม่เต็มก็คิดตามปริมาณไฟฟ้าก่อน
แต่พอชาร์จเต็มแล้ว ก็ตัดไฟ เริ่มนับหน่วยเป็นนาทีแทน
ต้องทำอีกหน้าจอนึงสำหรับ นับเวลาด้วย
กระแส = คูลอมบ์ / วินาที
ถ้ามองจากบรรทัดฐานของคนอเมริกันแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากจอดแช่หรอกครับ เวลาเค้ามีค่า หรือเอาเวลาไปทำไรอย่างอื่นดีกว่า
ผมว่าปัญหาจากจอดแช่มันมาจากระยะเวลาที่ต้องใช้เติมเป็นหลัก ซึ่งต่างจากน้ำมัน น้ำมันมันแป๊บเดียวก็เสร็จหาข้ออ้างเดินไปไหนก็ไม่ได้
ส่วนไฟฟ้ามันนานกว่า แถมประมาณเองไม่ได้แม่นยำเท่าไหร่ด้วย คนขับก็คงเกิดความคิดที่ว่าไปหาที่นั่งรอเย็นๆดีกว่า สักพักก็กลับมาดูใหม่ ซึ่งแก้ได้ไม่ยากด้วยการบอกเวลาที่จะชาร์จเสร็จเอาไว้ด้วย ตอนนี้ก็คิดราคาตามปกติ ถ้าเลยเวลาแล้วไปกี่นาทีก็เริ่มคิดค่าจอดเป็นนาทีไป คนเติมก็อ้างไม่ได้เพราะมีเวลาบอกไว้แล้ว ส่วนเรื่องไม่ยอมจ่ายคงยาก เพราะที่โน่นรูดบัตรก่อนเติมครับ แต่เครื่องมันจะยังไม่ตัด พอเติมเสร็จรู้ว่าต้องจ่ายเท่าไหร่มันก็จะให้ยืนยัน ตล้ายๆกับโรงแรมรูดสลิปเปล่าไว้
ปัญหาที่คิดออกคือเครื่องมันจะรู้ได้ไงว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่จะเต็ม อาจจะต้อง implement ระบบให้รถกับหัวจ่ายคุยกันได้ว่า รถมี capacity เท่าไหร่ ตอนนี้มีเท่าไหร่ เติมได้อีกเท่าไหร่ถึงเต็ม ส่วนหัวจ่ายก็คำนวณเอาจากอัตราการจ่ายไฟของเครื่องเอง ได้เป็นเวลาออกมา
จอดแช่มีครับ เวลาหาที่จอดยากๆ ก็ทำเนียนจอดแช่ว่าเออ ชาร์จอยู่ ความจริงเต็มนานแล้ว
ในมุมมองผู้ประกอบการ รถแต่ละรุ่นความเร็วในการชาร์จไม่เท่ากันด้วยครับ ถ้าผู้สถานีชาร์จเช่าที่แพง แต่เก็บตามปริมาณไฟฟ้า ก็อาจจะเสียโอกาสในการขายถ้ารถรุ่นชาร์จช้ามาชาร์จ
รถอีกหน่อยคงชาร์ทเร็วกันหมดนะครับ ชาร์ทช้าคงขายไม่ได้แน่นอน
กฏอันนี้จะออกมาแก้กันผู้ให้บริการปล่อยไฟน้อยๆ ชาร์ทช้าและนาน หลอกกินตังค์