เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Mazda ได้เปิดตัว Mazda MX-30 รถยนต์ไฟฟ้าล้วนรุ่นแรกของ Mazda ซึ่งเป็นที่วิจารณ์กันเรื่องแบตเตอรี่ที่มีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้ออื่นๆ ในตลาด เพราะมีแบตเตอรี่ขนาดเพียง 35.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือวิ่งได้ราว 200 กิโลเมตรเท่านั้น
ล่าสุด Christian Schultze ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยฝั่งยุโรปของ Mazda ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเหตุผลที่ Mazda เลือกทำแบตเตอรี่ขนาดเล็กเป็นเพราะกระบวนการผลิตนั้นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ หรือเทียบได้กับการใช้รถ Mazda 3 เครื่องยนต์ดีเซล
ภาพโดย Mazda
เขายังบอกอีกว่าการใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่นั้นส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า โดย Mazda ได้คำนวณอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาวมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ Mazda จะนำเรื่องสิ่งแวดล้อมมาอ้าง แต่ลูกค้าที่ต้องการแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ก็ยังมีอยู่ ซึ่งอาจทำให้ Mazda เสียลูกค้ากลุ่มนี้ไป
ที่มา - Engadget
Comments
รถ Mazda ยุคใหม่ๆ เลยออกแบบมาเล็กเกือบทุกรุ่น แต่ราคานั้นไม่ค่อยเล็กเลย
my blog :: sthepakul blog
ดูทรงแล้วคนนั่งหลังไม่น่าสบายเลยนะ head room น่าจะน้อยมาก
That is the way things are.
ผมสูง 190 มาสด้า ทุกรุ่น ผมนั่งข้างหลังไม่ได้เลย ตั้งแต่ 2 3 cx3 cx5
มาสด้า ทำรถสำหรับนั่งสองคนจริงๆ
180 ก็นั่งหลัง CX3 ไม่ไหวแล้วครับ
เห็นสาวๆ 160-170 ใช้กันเยอะเลย พอคน 180 ขึ้นนี่ปวดคอมาก
ตอนผมไปลอง 2 กับ 3 นี่คือผมก็นั่งหลังไม่ได้ละครับ ผมสูง 174 เองนะ
คือแบบเหมือนอ้างมั่วๆยังไงไม่รู้ โอเคแบตน้อย วิ่งได้น้อย มันก็ใช้แบตน้อย ก็น่าจะรักโลกมากขึ้นอยู่แล้วไง คือจะกดราคาทำกำไรก็บอกมาเหอะ ยังจำได้ข่าวใน Brand inside เจอ ผ.จ.ก.การตลาดค่ายนี้ในไทยบอกยอดจองสูง ไม่สนภาวะตลาดเพราะลูกค้าเขา ไม่เน้นดอกเบี้ยถูก อะไรประมาณว่าลูกค้าเขาไฮอ่ะ มาเจอข่าวนี้อีก รู้เลยเป็นกันทั้งบริษัท
อันนี้ผมว่าถ้าไม่รู้ลึกเรื่องข้อมูลกระบวนการผลิตอย่าเพิ่งไปคิดแบบนี้จะดีกว่า ถ้าหากว่ากระบวนการผลิตมันลดปริมาณมาณก๊าซคาร์บอนได้เยอะกว่ากันจริงๆก็จบ
คิดไว้เสมอว่า บริษัทชั้นนำระดับโลกแบบนี้พนักงานของเขาเป็นพวกหัวกะทิชั้นนำกันอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ตาสีตาสาเหมือนนายกบางประเทศ
ผมว่ามันเป็นแค่คำพูดสวยหรูแค่นั้นแหละ จริงๆใส่ได้แค่นั้นดูจากผังมันก็ยัดไปเต็มใต้รถแล้ว ยกเว้นแบบเราใช้แบตแบบใหม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแต่ทำให้ความจุน้อยลงก็ว่าไปอย่าง
ตรรกะป่วย
คิดกลับกัน การให้แบตใหญ่มีโอกาสทำให้แบตเสื่อมช้ากว่า
จากการที่ไม่ต้องชาร์จจนเต็ม 100% ได้ และ Discharge แล้วมีประจุเหลือมากกว่า ให้แบตเล็กมันแค่ข้อแก้ตัวมากกว่า
หรือ อีก มุมนึงคือ แบตเล็ก อาจจะชาร์จ 1 ครั้งต่อวัน แบตใหญ่อาจจะชาร์จ 2 วันครั้ง ซึ่งทำให้ Cycle เดินช้ากว่าครึ่งต่อครึ่งอยู่แล้ว
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด Cycle การชาร์ท ไม่เกี่ยวกับขนาดแบตฯ ยิ่งแบตเล็กโอกาสจะเสียมีมากว่าแบตใหญ่ เพราะแบตฯ ต้องมีแรงดัน (Volt) ต่ำสุดอยู่ ถ้าปล่อยให้แบตหมดนานๆ จนแรงดันต่ำกว่า cell battery และทำวงจรป้องกันมาไม่ดี แบตจะพังทันที ในกรณีนี้ถ้าความจุสูงจะลงไปจุดนั้นยากกว่า อีกอย่างนึงคือ quick charge ในจะแร่งความเร็วในการชาร์ทช่วงที่ต่ำกว่า 60%-70% ทำให้แบตร้อนด้วยซึ่งตรงนี้เป็นปัจจัยนึงที่ทำให้แบตเล็กโอกาสพังเร็วกว่า
มันน่าจะหมายถึง แบตขนาดใหญ่ 1 Cycle จะมีพลังงานมากกว่าแบตขนาดเล็ก ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง
ผมว่าอารมณ์คล้ายๆ SSD ที่ SSD ใหญ่จะมี Write Endurance ปรมาณข้อมูลที่เขียนได้ก่อน SSD เสื่อมมากว่า SSD ตัวเล็ก
ส่วนกรณีที่คุณยกขึ้นมาเรื่องปล่อย Volt ต่ำนานๆแบตจะพังเร็วก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
ทอร์แลส์
ในลิงค์จะบอกว่า Mazda คำนวนจากกระบวนการผลิต ครับ ซึ่งมี Research รองรับจากการคำนวนสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าในยุโรป https://www.youtube.com/watch?v=6RhtiPefVzM&t=236s ดูได้ในนี้ครับสัดส่วนมลพิษในรถไฟฟ้าจะมาจากการผลิตแบต แต่เทสล่าออกมาโต้ว่า การคำนวนดังกล่าวไม่ได้พูดถึงมลพิษที่ปล่อนหลังจากใช้บนถนนแล้วและสัดส่วนการใช้ไฟฟ้าในยุโรปมีแก๊สธรรมชาติมากกว่า
ส่วนเรื่องแบตนั้นที่ มาสด้าให้มา 50 ถือว่าปานกลางเท่ากับพวกรถจีน Nissan Leaf ถ้ามองในมุมยุโรปและญี่ปุ่นแล้วส่วนใหญ่จะนั่งรถไฟกันให้แบตประมาณนั้นก็เหมาะสมแล้วครับแต่ถ้าในเมกานี้ขับกันไกลจริง
+1 ถ้าอ้้้้้้างเรื่อง สวล. ขนาดนี้ มันก็ต้องพิจารณาให้ครบวัฏจักรชีวิต ไม่ใช่ตอนผลิตปลดปล่อยน้อยกว่าอย่างเดียว ตอนใช้งานอาจจะเยอะกง่ามาก ๆ ก็ได้ (เพราะต้องชาร์จบ่อย เสื่อมไว)
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
คนจะขายของจะพูดอย่างไรก็ได้ให้ขายของได้ ก็เท่านั้นเอง โลกร้งโลกร้อน คาร์บ้งคาร์บอน อะไรจริงๆ ไม่ได้สนใจหรอกครับ
แบตลูกเล็กต้องรีชาร์จบ่อย รีชาร์จบ่อยก็ครบไซเคิลไว ครบไซเคิลไวก็ต้องเปลี่ยนบ่อย ต้องใช้ทรัพยากรมาผลิต และทำลายมากขึ้น
จ้า
เฉไฉความอ่อนด้อยทางเทคโนโลยีตัวเองชัดๆ บริษัทที่มีเทคโนโลยีดีจริงๆ ทำแบตลูกนึงใช้ได้ 10+ ปี ไม่ได้เปลี่ยนบ่อย
กล้าพูดมาได้ยังไงแบตลูกใหญ่แย่กับโลกกว่าดีเซล
วัดทั้งระบบ"ระยะยาว"ตามที่มาสด้าเคลม เอาน้ำมันมาปั่นไฟฟ้าส่งตามสายไฟชาร์จรถยังมีประสิทธิภาพกว่าขนน้ำมันส่งปั๊มเติมเครื่องสันดาป ไม่รวมลดการใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องยนต์อื่นๆที่ใช้แล้วทิ้งอีก
แบตรถนี่จัดการเป็นชิ้นเป็นอันง่ายกว่าแบตอุปกรณ์อิเล็กอื่นๆแล้วกระมัง
ถึงอย่างไรขนาดแบตนี้ก็เพียงพอต่อใช้ชีวิตประจำวันอยู่แล้วหล่ะ ผมไม่มีปัญหาอะไรหรอก อยู่ที่ลูกค้าจะเลือกใช้
แต่อย่าเอาความด้อยกว่าของตัวเองมาทำเป็นว่ารักษ์โลกกว่าชาวบ้านเลย 5555
ส่วนตัวว่าไม่ดีนะไหนจะต้องเสียเวลาชาร์ตบ่อย และต้องเปลี่ยนแบตบ่อยอีก
สเปกนี้ อาจจะโดน MG ZS EV กินไหมนี้
ถ้าไม่ขี้เหร่ก็ไม่น่าครับ
คืออย่าง MG นี่ผมยังสงสัยในคุณภาพ (มากๆ)
ส่วน Mazda นี่ผมยังให้รองกว่า Toyota honda nissan isuzu แต่ไม่เลวร้ายเท่า
ส่วนตัวเรื่องแบตเค้าต้องดู Carbon foot prints Cradle to grave
คุณแบตน้อย ชาร์จก็บ่อยกว่า เสื่อมเร็วกว่าอายุการใช้งานน้อยกว่า
คราวนี้ต้องมาเทียบ C02 foot prints ส่วนต่างการผลิต รอบแรกกับการซ่อมบำรุงแล้วหละ
รวมถึงการชาร์จด้วยซึ่งมองว่าที่จริงผลิตแบตใหญ่กว่าน่าจะ
ให้คาร์บอนทั้งช่วงชีวิตน้อยกว่าด้วยซ้ำ
2015 - Skyactiv-X จะไม่มีหัวเทียน!!
2017 - เออ มีก็ได้ แต่มีเพื่อการควบคุมการจุดระเบิดอันสมบูรณ์แบบ ปี 2019 เจอแน่!
2019 - ทำไม่ทันว่ะ ใส่เครื่องเดิมไปก่อนนะ
ไอ้เรื่องแบตสตอรี่น่าจะประมาณเดียวกัน
skyactiv x นี้ในยุโรปมีแล้วนะครับ แต่ในเมกาและเอเชียยังใช้เครื่องเก่าอยู่ แต่ผมว่า X มาช้าไป EV มาแรงมากจนไม่รู้ว่าทำ X มาจะคุ้มรึป่าว
เพราะ Mazda = New Alfa Romero ไงครับ แต่ยังไม่ถึงระดับ Lancia ยี่ห้อนี้สมัยก่อนโน้น ขับๆ เบรคล๊อกหมุนลงข้างทาง พวกแก้ปัญหาโดย ตัดเซอร์โวเบลคออกไปเลย เป็นสมัยนี้ฟ้องกันเละแน่นอน
ตรรกะโคตรย้อนแย้ง ถ้าห่วงมลพิษรักโลกมากก็ไม่ต้องมี CX-30 ป่ะ
ก็อยู่กับ CX-3 ต่อไปสิ ออกแบบมาแคบๆแบบนั้น พอขายไม่ได้ก็เลยต้องดัน CX-30 มาแทน
CX-30 ใหญ่กว่า กว้างกว่า เปลืองน้ำมันกว่า สร้างมลพิษกว่า งั้นสร้างมาขายทำไม 555