เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา Jeff Bezos บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก, ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Amazon ได้ประกาศทาง Instagram ว่า Amazon จะบริจาคเงินช่วยไฟป่าออสเตรเลียเป็นจำนวน 1 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 690,000 ดอลลาร์สหรัฐ แต่กลับกลายเป็นถูกชาวเน็ตถล่มว่าบริจาคเงินน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ของ Amazon และของตัว Jeff Bezos เอง
เว็บไซต์ Business Insider คำนวณให้ว่าในเวลาสามเดือนที่ผ่านมา Jeff มีรายได้เฉลี่ยทุก 30 นาทีเท่ากับยอดบริจาค หรือฝั่งบริษัท Amazon เองก็มีมูลค่าถึง 9.36 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
View this post on InstagramA post shared by Jeff Bezos (@jeffbezos) on Jan 11, 2020 at 10:17pm PST
ด้าน Facebook ก็ประกาศบริจาคมากกว่า Amazon อยู่นิดหน่อย ที่ 1.25 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ผู้หญิงขายภาพโป๊ออนไลน์ยังระดมทุนมาบริจาคได้มากกว่า Amazon เกือบเท่าตัวเลยทีเดียว ในขณะที่วงดนตรีเฮฟวี่เมทัลอย่าง Metallica ก็บริจาคไป 750,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย
ที่มา - Business Insider
ภาพจาก @JeffBezos
Comments
936 ล้าน -> 936 พันล้าน
แก้ละครับ ขอบคุณครับ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
เรื่องนี้บอกอยาก แต่ว่าจริงๆป่านี้มีผลต่อคนทั้งโลก
ต้องถามคนแซะกลับว่า เงินที่เค้าใช้บริจาคมันเงินใคร ? เงินคนแซะหรือเปล่า (อาจจะใช่ก็ได้ ในแง่ของความเป็นลูกค้า Amazon) หรือเงินของ Bezos เอง
เค้าถึงแซะ Bezos ไงครับ ไม่ได้แซะตัวเอง
Best comment 5555 ชอบ
นักบุญในกระเป๋าตังค์คนอื่น
ถ้าลดสเกลลงมา ก็ประมาณว่า amazon มีเงินอยู่ 9แสนบาท แล้วบริจาคบาทเดียว. ดูน้อยนิด แต่อีก 8.99999 แสนนั่นเค้าก็ต้องเก็บเอาไปใช้ในกิจการของเขาไม่ใช่เหรอ
เงินเขาหรือเปล่า ใจบุญก็อย่าไปในบุญบนเงินคนอื่นนะครับ
I need healing.
ใจบุญในกระเป๋าคนอื่นนี่ไม่ได้มีแค่คนไทยแฮะ
+1
ผมมองว่าถ้าคนที่แซะ Bezos เค้ามีเงินเท่ากัน เค้าคงใจบุญในกระเป๋าเงินตัวเองครับ
ผมมองว่ามีเงินเท่าไหร่ก็น่าจะใจบุญในกระเป๋าเงินตัวเองได้นะครับ ทำบุญนี่มันเป็นอะไรที่ส่วนบุคคลมาก ไม่ใช่อะไรที่บังคับจ่ายเพื่อส่วนรวมแบบภาษีอะไรงั้น
แต่เงินในกระเป๋าของตัวเองมันไม่เยอะเท่าเงินของมหาเศรษฐีระดับโลก และเงินที่ตัวเองมีไม่ใช่เงินเย็นที่จะเอามาใช้จ่ายได้ไงครับ
รูปแบบมันถึงออกมาในแนวแซะ เพราะตัวเองรู้สึกด้อยที่อยากช่วยเยอะ แต่ไม่มีกำลังทรัพย์พอ จึงช่วยไม่ได้
พอรู้สึกด้อยก็ออกแนว passive aggressive ที่มาในรูปแบบของการแซะนี่แหละครับ
ถ้าไปแซะคนที่จนกว่านี่ผมว่าจะผิดปกติมากๆ ครับ
พวกที่ชอบแซะคนอื่นนี่ยังไงก็น่าจะมีปมอะไรสักอย่างอยู่ดี
ผมว่าผมก็พิมพ์ชัดเจนนะครับ
ต่อให้ไม่บริจาคเลย ก็ว่าอะไรเขาไม่ได้นะ
ไม่บริจาคเลย -> ไม่มีใครรู้ -> อาจจะไม่มีคนว่าก็ได้นะ ฮ่าๆๆ
อยากได้สัก 3 ล้านก็ไปนั่งกินชาเขียวหน้าอเมซอนสิครับ
ผมก็ไม่เข้าใจคนกลุ่มนี้เหมือนกันนะครับ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่เค้าต้องการจะบริจาคเท่าไหร่รึเปล่า
แล้วบรรดาพวกแซะๆนี่บริจาคกันบ้างมั้ย? ทำดีก็ชื่นชมกันไปดีกว่ามานั่งแซะเค้าครับ
คนแซะบริจากเท่าไหร่ดีกว่า
คิดเป็นกี่ % ของทรัพย์สิน
ฟิลเดี๋ยวกะพวกข่าวแซะดาราซื้อกระเป๋าแพง ควรเอาเงินไปบริจาคดีกว่า ?
ผมเห็นต่างกับหลายๆท่านแฮะ
ในสภาพสังคมแบบปิรามิด(ตอนนี้เรียกว่าเจดีย์ดีกว่า) การเรียกร้องของคนที่อยู่ส่วนฐานให้คนที่อยู่บนยอด(สูงสุดซะด้วย)คืนอะไรเพื่อสังคมเป็นเรื่องที่ปกติและผมว่าควรทำด้วยครับ
หลายๆกรณีนั้นคนทั้งสองกลุ่มใช้ blood, sweat and tears พอๆกัน(กลุ่มล่างอาจใช้มากกว่าด้วย) แต่คนกลุ่มบนดันได้ returns มากกว่าจากดวงและโอกาส ถ้าให้พูดตามตรงก็คือการที่คนกลุ่มบนรวยขึ้นมาได้ก็เพราะ blood, sweat and tears ของคนกลุ่มล่างด้วย ดังนั้นการเรียกร้องของคนกลุ่มล่างต่อคนกลุ่มบนจึงเป็นเรื่องปกติมากครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ค่อนข้างเห็นด้วยเลยครับ
ด้วยลักษณะทุนนิยมที่เดินไปในทางข้างบนกินรวบมากขึ้นทุกที การจะรักษาสมดุลของสังคมก็อาจต้องมีกฏอย่างอื่นเพิ่มเติมได้แล้ว เพราะสิ่งที่เคยวางไว้มันถูกแก้ทางได้ง่ายๆด้วยต้นทุนที่เหนือกว่าและกระบวนการในการเลี่ยงกฏเหล่านั้นหมดแล้ว
แต่ก็คงไม่มีใครแข็งขืน เพราะทุนนิยมให้ความหวังว่าวันนึงตัวเองก็อาจได้ขึ้นไปอยู่ด้านบน หรือปัจจุบันก็นับว่าอยู่ด้านบนเรียบร้อยแล้ว
อย่างน้อยก็มีคนคิดเหมือนผมแฮะ อธิบายด้วยโครงสร้างภาษีก็ได้นะผมว่า
ภาษีถึงให้คนที่ยิ่งรวยยิ่งต้องจ่ายเยอะ และสามารถลดหย่อนภาษีจากการบริจาคได้ ไม่ใช่แค่ว่ารวยแล้วไม่ต้องคืนสู่สังคม แต่มันมาในรูปแบบของแรงจูงใจ และทางเลือก ไม่ใช่การบังคับ
แสดงว่ารัฐเองก็หวังว่าคนที่รายได้สูงๆ ควรจะคืนบางส่วนกลับสู่สังคมด้วย
ใช่ครับ แต่ควรเป็นทางการกว่านี้ ผมเห็นเศรษฐีใครสักคนกำลังเรียกร้องว่าภาษีคนรวยยังโดนน้อยไปอยู่
คุ้นๆว่า Warren Buffet
ผมเห็นด้วย
ยกเว้นเรื่องการบริจาคเงินอะไรพวกนี้ สุดท้ายมันตามความสมัครใจ ว่ากันไม่ได้อยู่ดี ถึงจะอยากให้เค้าจ่ายเยอะกว่าเราก็เถอะ คนอยู่ระดับบนๆอีกเยอะที่ไม่ได้จ่ายเงินช่วยไม่เห็นโดนแซะเท่าไหร่
พออ่านดูแล้วก็จริงตามท่านท่านกล่าวมา
ลองนึกภาพถ้าประเทศไทยภัยภิบัติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง (ยกตัวอย่าง) บริษัทอย่างซีXีก็ควรบริจาคเยอะหน่อย ไม่งั้นเราก็คงแซะกันแน่ๆ เพราะเท่านี้ก็จะผูกขาดประเทศไทยอยู่แล้ว หรือบริษัทอย่าง Xing Powa ก็มีรายการทีวีที่ให้คนมาแสดงความสามารถแล้วให้เงิน 4-5 หมื่น แต่เทียบกับรายรับแล้วก็ถือว่ายังน้อยมาก (แถมยังได้ประโยชน์ในการโฆษณาอีกต่างหาก)
เป็น Programmer กรรมกรหน้าคอม รวยขึ้นได้เพราะตัวเองแต่เสียภาษีเพิ่มขึ้นทุกวัน T_T
+1
Loonshot: New Way of Work
blood, sweat and tears มันได้ "ค่าแรง (wage)" เป็นผลตอบแทนนะครับ
ในโลกทุนนิยม คุณไม่พอใจค่าจ้างคุณก็ไม่ต้องทำ ย้ายไปหาที่ใหม่ที่ค่าแรงสูงกว่าได้
กลายเป็นว่าเจ้าของกิจการต้องมาเป็นหนี้บุญคุณลูกจ้างอีก ถึงจะจ่ายค่าจ้างไปแล้ว
ในโลกเสรี คุณไม่พอใจใครคุณก็วิจารณ์, แซะเค้าได้นะครับ
เจ้าตัวยังไม่เห็นบ่นเลย
วิธีคิดทุนนิยมคลาสสิคแบบนี้ละครับ ที่จะสร้างปัญหาให้ระบบทุนนิยมเอง
สภาพสังคมตอนนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว ปิรามิดเริ่มมียอดสูงขึ้นเรื่อยๆจน"อำนาจต่อรอง"ของคนด้านบนเหนือกว่าคนด้านล่างสุดกู่
ถ้ามันยังดำเนินแบบนี้ไปเรื่อยๆไม่นานก็กลับไปซ้ำรอยกับระบบอำนาจนิยมเก่าแน่ เพราะทรัพยากรที่เคยกระจายออกมาจากชนชั้นสูงจะถูกกินรวบ สุดท้ายมันก็เป็นชนชั้นสูงรูปแบบใหม่นั่นแหละ
อืม...ถึงจะยังดีกว่าบ้านเราที่มีทั้งแบบใหม่แบบเก่ากินรวบยกชุดก็เถอะนะ
ส่วนตัว นิยาม การบริจาค = สมัครใจ
ถ้าต้องการจัดการโครงสร้างสังคม
หลักๆควรใช้ผ่านระบบภาษีเพื่อลดเหลื่อมล้ำจะดีกว่า
แล้วการกดดันทางสังคมเพื่อให้บริจาคเยอะหน่อยเป็นเรื่องรองลงไป (ถ้าเป็นไปได้ควรเป็นการสร้างค่านิยมมากกว่ากดดันทางสังคม
เพราะมันทำให้นิยามว่าสมัครใจเสียไป)
ยังไม่รู้ซึ้งถึงลัทธิเจฟ
เป็นสไปเดอร์แมนทำไมต้องมีภาระหน้าที่ที่ใหญ่ยิ่ง เรื่องของเค้า เรื่องส่วนตัว
ห้าๆ จริง คนรวยอีกเยอะ ที่ไม่ได้บริจาค ดันไม่ไปแซะ งี้ไม่บริจาคดีกว่า
ส่วนตัวผมคิดว่าขอให้บริจาคเถอะช่วยกัน แค่ 1 บาท ก็คิดว่ามีผลมาแล้ว ถ้าทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน อย่าไปมองว่ารวยแล้วต้องบริจาคมาก คนเราแค่คิดจะให้ก็ประเสริฐมาก ๆ แล้ว